บทที่6 ย่าสวีกับคลองไส้ไก่

2509 คำ
วันนี้สวีนั่งออกแบบพื้นที่อยู่ข้างลูกสาว ผลัดเปลี่ยนกันกับหลง และหยง เพื่อเฝ้าตลอดเวลาด้วยความกังวล "เป็นยังไงบ้างครับคุณแม่ หงอาการดีขึ้นบ้างไหม" "อาการก็ยังเหมือนเดิม แม่รู้สึกไม่ดีเลย หลง หลังจากนี้ก็ไม่ต้องมีลูกกันแล้วได้มั้ย" คำถามของสวีถือว่าเสียมารยาทมาก แต่เมื่อคิดว่านี่คือแม่ที่เลี้ยงดูอุ้มชูเขามาแทบจะตั้งแต่เกิด หลงก็รู้สึกพูดไม่ออก แม้จะพยายามนึกคิดให้สวยหรูยังไง ทำตัวเป็นคนดียังไง แต่สัญชาติญาณของมนุษย์เพศชายก็ย่อมมี เขายังคิดว่าอยากมีลูกชายหลายๆคนเพื่อขยายวงศ์ตระกูล ไม่ให้เป็นการผิดต่อตระกูลพ่อที่แม้จะล่มสลายไปแล้วแต่เลือดมังกรอันสูงส่งก็ยังหมุนเวียนอยู่ในกายเขานี่เอง "หรือถ้าเธออยากจะมีลูก...ก็มีกับผู้หญิงคนอื่น ร่างกายของหงคงรับไม่ได้แล้ว" สวีไม่เห็นด้วยตั้งแต่ให้เด็กเล็กๆแต่งงานมีลูกกันแล้ว หงลูกสาวของเธอเพิ่งจะอายุสิบห้าปีเท่านั้นตอนตั้งท้อง แต่เพราะแต่เดิมสวีต้องการให้หลงมีทายาทเร็วๆ จึงได้สนับสนุนให้เด็กทั้งสองแต่งงานกัน แต่สวีคนใหม่ไม่คิดแบบนั้น เมื่อมองหลงที่ยังมีความเห็นแก่ตัวแบบผู้ชายหัวโบราณ เธอก็คิดว่าคนๆนี้เหมาะจะเป็นลูกชาย แต่ไม่เหมาะเป็นสามี ด้วยความที่เขามีปมด้อยในเรื่องการสูญเสียลาภยศครอบครัว เขาก็จะต้องยึดติดกับการขยายเผ่าพันธุ์มากเป็นแน่ "คุณแม่ ผมไม่คิดจะมีคนอื่น ผมจะมีแค่หงอย่างที่เคยให้คำสัตย์เอาไว้กับคุณแม่ ดังนั้นอย่ากังวลไปเลยครับ ถ้าหงไม่อยากมีลูก ผมก็จะไม่มี" หลงคิดในใจว่าอย่างไรหากเขาขอร้อง หงก็ย่อมต้องยอมมีลูกชายให้ตนเองหลายๆคน เพราะหงเป็นคนหัวอ่อน สวีก็รู้ความจริงข้อนั้นดี แต่เธอที่มาจากยุคอนาคต ย่อมรู้ดีว่าความคาดหวังของชายหนุ่มจะไม่เป็นจริง ดังนั้นจึงพูดขึ้นมา "ถ้าอย่างนั้น หากวันหนึ่งเธอเกิดผิดคำสัตย์ที่เคยให้ไว้กับฉันและหง ฉันจะยังถือว่าเธอเป็นลูกชาย แต่ไม่ใช่สามีของลูกสาวฉันอีกต่อไป เธอจะให้คำสัตย์เรื่องนี้ได้มั้ย" "กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ผมมีสายเลือดมังกรย่อมไม่ทำให้บรรพบุรุษดูถูก หากวันหนึ่งผมเกิดเสียคำสัตย์ที่เคยให้ไว้ คุณแม่จะทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจ" "เธอเรียกฉันว่าแม่ ฉันก็เป็นแม่ของเธอ แต่ก็จงจำไว้ว่าหงเป็นลูกสาวในอุทรณ์ของฉัน หงสำคัญที่สุดในชีวิตของฉันรองจากเธอ" คำพูดของสวีทำให้หลงเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ แต่กลับเห็นเพียงท่าทางเย็นชาราวกับกำลังคิดบางอย่างของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ ต้องรู้ว่าที่ผ่านมาเธอให้ความสำคัญกับเขาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆแม่ก็เปลี่ยนไป "เพราะผมไม่มีอำนาจ แม่ถึงได้พูดอย่างนี้หรือครับ" หลงอดคิดไม่ได้หากเขายังคงมีบัลลังค์ ทุกคนย่อมต้องประคบประหงมตนเองเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จนเขาเกือบลืมไปว่า ที่ผ่านมาสิบหกสิบเจ็ดปี แม้จะไม่ได้รับอะไรตอบแทนสวีและทุกคนก็ให้ความสำคัญกับเขาเป็นอันดับแรกเสมอ "เธอคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องนั้นหรือ ตั้งแต่ที่เราออกมาจากประเทศจีนก็คงไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว เธอไม่รู้เรื่องนั้นหรือ ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจ แล้วทำไมถึงถามฉันอย่างนั้นได้" สวีกล่าวด้วยท่าทางไม่พอใจ เธอไม่ชอบจริงๆที่เด็กคนนี้ดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวอย่างที่คิดจริงๆ ถ้ามาทันเวลาเธอจะไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับคนพรรค์นี้แน่นอน "ผมรู้...แต่ผมไม่เข้าใจ ทำไมจู่ๆคุณแม่ก็โกรธผม หรือเพราะหงป่วยเพราะลูกในท้องที่เกิดจากผม?" หลงแม้จะเป็นชนชั้นสูงที่ถูกสั่งสอนมาอย่างดีเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เลี้ยงดูมาและเป็นคนที่เขาไว้ใจได้ไม่กี่คนที่เหลืออยู่ เขาย่อมเปิดเผยความโง่เขลาออกมา "เราคุยกันเรื่องอะไรอยู่เธอจำได้มั้ย ฉันขอให้เธอมีลูกแค่เด็กสองคนนี้ได้มั้ย แต่เธอกลับไม่ยืนยันคำพูดแล้วเลือกจะหลีกเลี่ยง นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าในอนาคตข้างหน้า ฉันจะต้องเห็นลูกสาวเจ็บปวดอย่างนี้อีกครั้งเป็นแน่ ฉันจึงแสดงจุดยืน ว่าหงสำคัญอันดับหนึ่งในใจฉันเสมอมา แม้ว่าฉันจะให้ความสำคัญกับเธอมากกว่าก็ตามที" "ผม...เข้าใจแล้วครับ" หลงรู้สึกอึดอัดเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ก็ได้แค่ก้มหน้ายอมรับ เพราะตอนนี้เขาอาศัยบารมีของสวีจริงๆ ไม่สิ สมบัติที่เหมือนจะเป็นของเขาก็เป็นของเธอทั้งสิ้น สรุปแล้วในที่นี้นอกจากตัว เขาไม่ได้มีอะไรเลย สวีคล้ายรับรู้ความคิดของอีกฝ่ายแต่เธอต้องการกดข่มเขาเอาไว้ ไม่เช่นนั้นด้วยความต้องการขยายพันธุ์ของเขาสักวันก็ต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน อีกทั้ง... "ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ เธอเป็นลูกชายของฉัน ซึ่งบิดาของฉันท่านฝากฝังให้ดูแลเธออย่างดี" "ถ้าผมเป็นคนธรรมดาแต่แรกก็คงดี" "ถ้าเธอพูดแบบนั้น งั้นถ้าฉันพูดว่า หากฉันเป็นคนธรรมดาแต่แรกก็คงดีบ้างล่ะ สามีของฉันก็คง...ยังอยู่ ครอบครัวก็คงยังมีชีวิต ท้ายที่สุดแล้วไม่มีคำว่าหาก แต่ความเป็นจริงเราเหลือเพียงครอบครัวของเราสามคน ใช่มั้ยชิงหลง แม่พูดผิดรึเปล่า" "ไม่ครับ ผมแค่ รู้สึกไม่ดีที่แม่พูดว่าผมไม่ใช่คนสำคัญที่สุดของแม่อีกแล้ว" หลงแสดงท่าทางน้อยใจจริงๆ "อย่าน้อยใจไปเลย ต่อไปหลานๆก็จะมีอันดับความสำคัญสูงกว่าในใจของแม่ ต่อไปเหลนๆก็จะมีอันดับความสำคัญมากขึ้น ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา" "ผมรู้แล้วครับ คุณแม่จะออกไปสำรวจที่ดินกับตูอีกรึเปล่า" "ใช่ วันนี้ต้องวางแบบแปลนสระน้ำและคลองให้เสร็จ ก่อนที่จะทำอย่างอื่น" "ถ้าอย่างนั้นผมจะดูแลหงเป็นอย่างดี" "ขอบใจมาก หงเป็นภรรยาที่ดี และโชคดีที่มีสามีที่ดีเช่นเธอ" สวีกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะได้รับรอยยิ้มภูมิใจเหมือนเด็กๆของหลงตอบกลับมา เธอจึงวางใจและถือแบบแปลนออกจากห้องไป . ตูชี้ไปที่หินก้อนใหญ่ซึ่งวางขวางทางน้ำเดิม ทำให้น้ำเปลี่ยนเส้นทางไปยังที่ดินของคนอื่นข้างเคียง สวีเห็นอย่างนั้นก็รีบบอก "ให้คนเอาหินก้อนเล็กก้อนใหญ่มาเพิ่ม กั้นตรงจุดนี้ให้หมดแล้วขุดทางน้ำอ้อมหินใหญ่นี้ไป" "เอาอย่างนั้นเลยเหรอครับนาย" "เอาอย่างนั้นแหละ เธอเห็นมั้ยว่าถ้ามีต้นไม้ขวางเราก็แค่อ้อม ถ้ามีหินขวางทางเราก็แค่เลี่ยง ถึงฉันจะวาดแบบแปลนออกมาให้มันดูเหมือนตรง แต่ถ้าจุดไหนที่ควรเหลืออะไรไว้ก็ควรหลีกเลี่ยง อย่าไปทำลายสิ่งที่มีอยู่แล้วเพื่อสร้างสิ่งที่ยังไม่มี มันดูแปลกเกินไปไม่ใช่หรือ" "ผมคิดว่านายต้องการที่ดินไว้ทำกินเยอะๆ ทำคันดินหรือทางเดินน้อยๆ เหมือนกับที่ดินอื่นๆรอบด้าน" "ไม่เป็นไร มีที่ดินเยอะไปแล้วเราเก็บเกี่ยวได้เยอะๆเพื่ออะไร ในเมื่อบ้านเราก็มีเพียงไม่ถึงสี่สิบชีวิตให้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ทำนาแค่สิบไร่ก็พอมีข้าวกินแล้ว" "ถ้าอย่างนั้นที่ว่างที่เหลือล่ะครับนาย" ตูสับสน เขาคิดว่าการปลูกข้าวคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะที่จีนข้าวหนึ่งเม็ดก็มีค่ามาก "เธอเคยได้ยินทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมั้ย" "ไม่เคยครับ" "นั่นสิ นี่เรียกว่าทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ฉันเคยอ่านผ่านๆในหนังสือของพวกตะวันตก เหมือนเขาตีพิมพ์เกี่ยวกับ...รัชกาลที่เก้าในอดีตของสยาม ซึ่งส่งเสริมการเกษตรและทรงเผยแพร่ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นความอดอยากได้ด้วยตนเอง สอนให้ประชาชนคิดว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" "แบบนั้น...ผมไม่เข้าใจ พระราชาจะอยากให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้ไปทำไมกัน ไม่กลัวประชาชนลุกฮือมาต่อต้านตนเองหรือ" "ไม่เลย นี่ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งทำให้ประชาชนกินอิ่มนอนหลับมีความสุข แล้วเขาจะลุกขึ้นมาเรียกร้องทำไมล่ะ ถ้าประชาชนไม่มีความสุขเขาถึงได้ลุกขึ้นมาต่อต้าน" "ถ้าอย่างนั้น...ถ้าอย่างนั้นทฤษฎีนี้เป็นอย่างไรครับนาย" "ก็เป็นการทำการเกษตรแบบพออยู่ พอมี พอกิน โดยพึ่งพาธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ" "เพราะอย่างนี้สินะครับ นายถึงได้คิดขุดคลอง เพื่อเอาน้ำ" ตูไม่ใช่คนโง่ เขาแค่ไม่มีความรู้กว้างขวาง แต่เมื่อได้ยินแล้วก็พอจะเข้าใจได้ "ใช่ น้ำเป็นสิ่งสำคัญในการทำการเกษตร รัชกาลที่เก้าท่านให้มีการทำวิจัยแล้วด้วยว่า พืชแต่ละชนิดต้องการน้ำเท่าใด แล้วจะได้ขุดสระเพื่อสะสมน้ำให้พอใช้ได้ตลอดทั้งปี หรือขุดบ่อบาดาลเพื่อนำน้ำจากใต้ดินขึ้นมาใช้ก็ได้เช่นกัน" "แต่นายครับ ผมมองไปไม่เห็นที่ไหนมีสระเลย" "คนอื่นเขาไม่ทำ เราทำไม่ได้หรือ ตูเธอรู้มั้ย เมื่อวานนี้คุณหยกมาหาฉันพร้อมกับขอนำความรู้เรื่องแบบแปลนการสร้างบ้านไม้ที่ฉันให้หลงนำไปขออนุญาติ คุณเจ้าหญิงต้องการนำวิธีการสร้างบ้านนั้นบริจาคให้ประเทศ ทั้งที่มันไม่เคยมีใครสร้างบ้านแบบนั้นมาก่อน แล้วเธอคิดว่าการทำอะไรแตกต่างจากคนอื่น เป็นเรื่องไม่น่าทำอยู่อีกหรือไม่" "ก็แค่...ก็แค่คนเหล่านั้นยังไม่มีความรู้ เช่นเดียวกับผม ทำให้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่ทำในอนาคต เมื่อเห็นว่าดีใช่มั้ยครับ" "ใช่ เพราะประชาชนส่วนใหญ่คือผู้ตาม ต้องมีผู้นำ ต้นคิดในการทำอะไรสักอย่าง ให้พวกเขาเห็นว่าดี จึงจะทำตาม" "ผมเข้าใจแล้วครับนาย ผมจะพลิกแพลงเมื่อเจอต้นไม้ใหญ่และหิน และจะทำให้คลองไส้ไก่ ไส้ไก่...ครับคลองไส้ไก่ที่นายวาดแบบออกมาสมบูรณ์แบบโดยเร็ว" "ทำเครื่องหมายไว้ก่อน แล้วให้คนเทียวไปรดน้ำเอาไว้ก็พอ ยังไม่ต้องรีบทำ สร้างบ้านให้เสร็จก่อน" "ผมสามารถพักการสร้างบ้านข้ารับใช้ มาทำส่วนนี้ก่อนได้ครับ" "สร้างบ้านให้เสร็จทั้งหมดก่อนเถอะ เมื่อคนได้พักผ่อนเพียงพอจึงจะมีแรง ให้คนงานพักผ่อนเต็มที่พวกเขาจะได้มีแรงทำงานมากขึ้น" "ครับนาย!" สวีส่ายหน้าน้อยๆ เดินตามตูที่กำลังทำเครื่องหมายสำหรับคลอง เธอก็เฝ้ามองไปด้วยว่าพอจะทำอะไรได้อีกบ้าง ความจริงในอดีตได้สอนแล้วว่า การขุดคลองเฉยๆและรอน้ำตามฤดูกาลนั้นไม่ถูกต้อง มีแต่ต้องเสียเงินเพิ่มเท่านั้น ตั้งแต่มาถึงสยามประเทศ สวียังไม่เคยได้ใช้เงินเลยแม้จะแลกเปลี่ยนเครื่องประดับที่นำติดตัวออกไปมากก็ตาม แต่ที่ได้มาก็คือไม้ใหญ่ให้พึ่งพิง และที่ดินจำนวนหนึ่ง...จำนวนไม่น้อย แต่ตอนนี้คงเลี่ยงการใช้เงินไม่ได้แล้ว สวีพลันนึกถึงของตอบแทนเล็กน้อยที่คุณหยกมอบให้เมื่อหลายวันก่อน ซึ่งเป็นทองจำนวนหนึ่ง ค่าเงินที่ใช้ได้ตลอดไป "สงสัยต้องใช้เงินตรงนั้นเพื่อทำระบบน้ำก่อน" "หยง!" "นายหญิงหยงมาแล้วค่ะ" "ฉันจะไปคุยกับตาหลง เธอไปช่วยตูดูพื้นที่" สวีหันไปบอกแม่หยง ก่อนจะเดินดุ่มๆกลับบ้านคนเดียว . "คุณแม่พูดกับพี่อย่างนั้นเหรอคะ" เสียงหวานที่ดูอ่อนแรงด้านในดังขึ้น ทำให้สวีหยุดฝีเท้าและยืนแอบฟังอยู่หน้าห้อง "ใช่ พี่ไม่รู้ว่าทำไมคุณแม่ถึงเปลี่ยนไป แต่คุณแม่รักหงมากนะ" "คุณแม่...รักหงเหรอคะ รักมากกว่าพี่งั้นเหรอ" "พี่คิดว่าอย่างนั้น คุณแม่อยากให้เราแต่งงานกันเพราะต้องการให้พี่มีทายาท แต่...พอคุณแม่เห็นหงเจ็บปวด ท่านก็ดูเหมือนจะมีสติขึ้นมา จริงๆแล้วท่านรักหงมาก เพียงแต่...มีหลายเรื่องเกิดขึ้น" 'ฉันไม่มีสติงั้นเหรอ ใช่สิ ฉันในอดีตไม่มีสติจริงๆที่อยากให้เด็กๆแต่งงานมีลูกกันตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ' "พี่หลง ฉันกลัวจริงๆ" เสียงร่ำไห้ของหง กรีดลงกลางใจสวีทันที ลูกสาวของเธอเป็นเด็กหัวอ่อน เมื่อแม่บอกอย่างไรก็ว่าตามกันอย่างนั้น เมื่อสามีซึ่งเป็นพี่ชายที่โตตามกันมาว่าอย่างไรลูกสาวก็ว่าอย่างนั้น แต่ผู้เป็นแม่กลับมัวให้ความสนใจแต่ชิงหลง และเอาแต่คิดว่าเขาเป็นเด็กที่ไม่เหลือใครแล้ว แต่หง ลูกสาวของตนเองที่ถูกละเลย ทั้งๆที่ยังมีแม่แท้ๆอยู่ทั้งคนเล่า จะรู้สึกอย่างไร ชิงหลงชะงักไปเมื่อเขาเปิดประตูออกมาและพบว่าสวียืนอยู่หน้าห้องไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้ว ชายหนุ่มรีบปิดประตูแม้ว่าเขาจะปลอบภรรยาจนผลอยหลับไปแล้วก็ตาม "แม่" "เธอไม่ต้องตกใจหรอก ฉันแค่ให้เวลาพวกเธออยู่ด้วยกัน" "แม่มาแล้วทำไมไม่เข้าไปครับ หงเปราะบางมากในระยะนี้ ถ้ามีคุณแม่อยู่ด้วยเธอต้องรู้สึกดีขึ้นแน่" "..." สวีไม่ได้พูดอะไร หลงเลยเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น "แล้ววางแบบแปลนคลองไส้ไก่ที่ว่าเป็นยังไงบ้างครับ" "ตูกับหยงรับมือได้ อีกไม่กี่วันคงเริ่มขุดกันแล้ว" สวีตอบออกมา ชิงหลงจึงคลายความกังวลไปบ้าง แต่เมื่อเห็นแม่มองตนนิ่งๆเขาก็คิดจะเอ่ยปากถามว่ามีอะไร แต่หญิงสาวกลับพูดขึ้นมาก่อน "หลง เธออย่าทำให้ฉันผิดหวัง" "คุณแม่...เห็นอะไรในตัวผม?" "..." สวีเลือกจะไม่ตอบ ตบบ่าเขาเบาๆและเดินเข้าห้องไป หลงเองก็ไม่คิดจะตามเข้าไปถามเซ้าซี้ เขาแค่รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็ลืมเลือนไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม