ตอนที่ : 4 แรกพบไม่สบใจ

2435 คำ
3 แรกพบไม่สบใจ             นับจากวันที่ลากลายเซ็นลงบนกระดาษเป็นลูกหนี้ได้ผ่านมาสี่ปีแล้ว หลานชายกำนันสมบูรณ์ก็ไม่เคยแวะเวียนมาที่บ้านของเธอเลย สร้างความโล่งอกให้แก่สองยายหลานเป็นอย่างยิ่ง ส่วนตาเผือกนั้นได้ลาโลกนี้ไปเมื่อสองปีก่อน เพราะโดนลูกหลงจากการยิงอริกลางวงไพ่ กระสุนทะลุขมับดับคาที่ ยายศรีจันทร์ร้องไห้อยู่สามวันก่อนจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติตามเดิม เพราะยังมีหลานสาวที่ต้องดูแลกันต่อไปในภายภาคหน้า            ก่อนหน้านั้นโชคได้เข้าข้างบุญสิตาที่ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่เข้ามาเปิดบริการในตัวอำเภอ หญิงสาวจึงใช้วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายเข้าไปสมัครงาน และได้ทำงานเป็นพนักงานขายในร้านเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นก็ได้ลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดตามคำแนะนำของเพื่อนไปด้วย หญิงสาวสามารถทำงานควบคู่กับการเรียนหนังสือไปด้วย ซึ่งทางร้านก็ให้การสนับสนุนอนุญาตให้ลาหยุดในวันที่มีการสอบได้ สี่ปีผ่านมาบุญสิตาสามารถเรียนจบปริญญาตรีเหมือนเพื่อน และเนื่องจากหญิงสาวปฏิบัติตัวดีมาตลอด ทางร้านจึงปรับฐานเงินเดือนให้เหมาะสมกับปริญญาบัตรที่ได้รับมา            ช่วงพักเที่ยงวันนี้บุญสิตาได้เดินเข้าไปเลือกซื้อของใช้เข้าบ้าน ระหว่างนั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา ครั้นหันหลังกลับไปมองก็เห็นทุกคนเลือกซื้อของใช้กันตามปกติ            ‘คงคิดมากไปมั้งบุญ’            เดินหิ้วตะกร้าเดินต่อไปสักพักหนึ่ง ความรู้สึกเหมือนถูกเพ่งมองก็ยังคงอยู่ คราวนี้รีบหันขวับไปมอง ผู้ชายคนนั้นกำลังมองเธออยู่ก่อนหน้าและเขาก็ไม่ได้คิดหลบสายตา ทำท่าเหมือนคนทำผิดถูกจับได้            “มีอะไรหรือเปล่าคะคุณ” หญิงสาวตัดสินใจถามเขาตรงๆ            ศิลาดลหลบไม่ทันก็ต้องยิ้มแหยๆ ให้สาวเจ้า ก่อนจะเดินตรงเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าของคนถาม เขาเห็นผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามาในแผนกอาหารสด แค่แวบแรกที่เห็นก็สะดุดสายตาจนน่ามอง ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางแบบบางเบา ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่ม เรือนผมยาวสลวยถ้าได้จับคงนุ่มมือน่าดู            “คุณคะ”            “ครับๆ ว่าไงนะครับ”            “คุณมีอะไรกับฉันหรือเปล่าเห็นมองอยู่ได้ตั้งนาน” บุญสิตาไม่พอใจสักเท่าไหร่ที่ถูกแอบมอง โรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ คนสมัยนี้ยิ่งรู้หน้าไม่รู้ใจ            “เอ่อ ไม่มีครับ”            “ไม่มีแล้วคุณมายืนมองฉันทำไมคะ เรารู้จักกันเหรอ” คราวนี้บุญสิตาหน้างอ แม้เขาจะหล่อเหลาปานเทพบุตรแต่ก็แค่คนแปลกหน้าที่ผ่านมาแล้วก็คงผ่านไปเหมือนเช่นหลายๆ คน            “นั่นสิครับเราไม่เคยรู้จักกัน แต่จะเป็นไรไหมครับถ้าผมอยากจะขอเบอร์คุณ” วิธีขอเบอร์สาวแบบฝืดๆ ทำศิลาดลหน้าเจื่อน เพราะหญิงสาวตรงหน้ามองเขาแบบไม่สบอารมณ์เท่าที่ควร            “เอ่อ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ขอโทษที่รบกวน” เขาพูดอย่างคนรู้ตัวว่าคงแห้วรับประทานแน่นอนงานนี้            “ค่ะ อย่าตามฉันมาอีกนะคะ” บุญสิตารีบเดินไปให้พ้นตรงนี้ คนบ้าอะไรจู่ๆ ก็มาขอเบอร์โทรศัพท์ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ถ้าให้ก็บ้าแล้ว            ศิลาดลเพิ่งมีประสบการณ์ถูกสาวปฏิเสธแทบจะเรียกได้ว่าครั้งแรกในชีวิต ส่วนใหญ่แล้วจะไว้หน้าเขานิดหนึ่ง แต่นี่ไม่ให้และไม่สน นั่นแหละที่ทำให้เขายิ่งสนมากกว่าคนไหนๆ ที่ผ่านมา ‘สวยและไม่ง่าย น่าสนแฮะ’          ชายหนุ่มเลือกซื้อของใช้นิดหน่อยก่อนจะหาร้านอาหารนั่งกินก่อนกลับบ้าน เขาเพิ่งรู้ว่าบ้านเกิดของตนมีห้างสรรพสินค้ามาเปิดในตัวอำเภอด้วย ยกนาฬิกาขึ้นดูก็พบว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว กะจะนั่งกินข้าวในศูนย์อาหารสักพักแล้วค่อยกลับ ตอนนี้ทุกคนที่บ้านคงกินข้าวกันหมดแล้ว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้บอกล่วงหน้าด้วยว่าจะกลับวันนี้ กินข้าวเสร็จศิลาดลก็เดินไปยังลานจอดรถ แต่แล้วสายตาเจ้ากรรมก็ปะทะกับเข้าหญิงสาวคนเดิมที่เขาเคยเจอตอนเลือกซื้อของ เขาจำชุดเสื้อผ้าได้ หมวกกันน็อกที่ใส่ก็แค่ครึ่งหน้าเลยมั่นใจว่าใช่คนเดียวกันแน่ๆ และแม่สาวคนสวยก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปทางเดียวกับที่เขาจะไป ศิลาดลขับช้าๆ เลี้ยวไปยังถนนที่รถสัญจรผ่านไปมาค่อนข้างน้อยคัน จากดินลูกรังในสมัยก่อนเปลี่ยนเป็นถนนลาดยางง่ายต่อการขับขี่ ไฟตามท้องถนนก็ยังพอมีให้ได้ส่องแสงสว่าง มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ เขาก็เกือบจะเหยียบเบรกไม่ทัน เพราะเจ้ารถมอเตอร์ไซค์คันข้างหน้าได้หยุดจอดอยู่กับที่ เจ้าของรถก็เดินลงมายืนพิงขอบเบาะอยู่ ล้วงโทรศัพท์ออกมาเหมือนกำลังพูดสายกับใครสักคนเพียงลำพัง            ‘เอาไงดีวะ’            ถ้าจอดสนิทอยู่กับที่คงเป็นที่น่าสงสัย เขาจำต้องขับเลยไปอย่างช้าๆ ระหว่างนั้นทั้งคู่ได้สบสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง ศิลาดลตะลึงเล็กน้อย เพราะแม่สาวคนงามถลึงตาใส่เขาผ่านกระจกรถอย่างโกรธๆ คงรู้ตัวว่าถูกตาม            ‘เฮ้อ ตามไปบ้านสาวสักหน่อยก็ไม่ได้’ คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มให้คนที่มองเห็นผ่านกระจกมองข้าง ผู้หญิงคนนั้นไม่คิดแม้แต่จะขึ้นรถ คงรอให้เขาพ้นสายตาไปก่อน ‘อำเภอก็แค่นี้คงได้มีโอกาสเจอกันอีกนะคนสวย’            กลับถึงบ้านในช่วงสองทุ่มกว่า ทุกคนในบ้านตื่นเต้นที่เห็นรถของศิลาดลแล่นเข้ามาจอดภายในตัวบ้าน ต่างรีบออกมาต้อนรับเขาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน กำนันสมบูรณ์ปลื้มอกปลื้มใจจนน้ำตาซึมเบ้า ส่วนนางสินใจกับนายศิวัฒน์ก็ปลาบปลื้มอยู่ไม่น้อย เพราะลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวจากบ้านไปทำงานตั้งหลายปี ยิ่งพอรู้ว่าศิลาดลจะกลับมาอยู่แบบถาวรก็ยิ่งสร้างความยินดีให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก            “กลับมาอยู่บ้านเรานะศิลา ตาบ่นคิดถึงเราบ่อยมากรู้ไหม” นายศิวัฒน์ตบบ่าลูกชายเบาๆ            “จริงเหรอตา” ศิลาดลหันไปยิ้มให้ผู้เป็นตา            “เออ ก็คิดถึงกันทุกคนนี่แหละ นึกว่าจะต้องลงโลงก่อนแกถึงจะกลับมาอยู่บ้าน” กำนันสมบูรณ์ประชดกลายๆ            “โห ตา ทั้งแก่ทั้งเหนียวขนาดนี้ไม่ตายง่ายๆ หรอก”            “ไอ้ศิลา เอ็งนี่ปากหมาไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”            “แต่ผมก็ปากหมาแต่กับตาคนเดียวนะครับ คิดถึงจังเลย” ชายหนุ่มเข้าไปกราบแนบอกของผู้เป็นตาแล้วสวมกอดท่านด้วยความคิดถึง            “ทั้งปากหมาทั้งปากหวานมาเลยนะเอ็ง” คนเป็นตาพูดไปหัวเราะชอบใจไปด้วย            “คิดถึงจริงๆ กอดพ่อกับแม่ด้วย” ชายหนุ่มโผเข้ากอดบิดามารดาต่อ เป็นภาพที่ทำให้กำนันสมบูรณ์รู้สึกอิ่มเอมหัวใจเป็นที่สุด            “กลับมาอยู่บ้านเราแล้วก็อย่าไปไหนอีกนะศิลา ตาอยากวางมือจากกิจการทั้งหมดแล้ว มันเหนื่อยอยากเป็นตาแก่เลี้ยงหลานอยู่บ้านเฉยๆ” กิจการที่ว่าน่าจะเป็นลูกหนี้ทั้งหลายที่แกควบคุมดูแลอยู่            “ตาขอมากไปไหมครับ เมียยังไม่มีเลยจะเอาหลานซะแล้ว”            “สงสัยจะแห้วว่ะใจ ลูกชายเอ็งไม่มีน้ำยาพอ”            “ดูถูกกันเห็นๆ พ่อตาว่าพ่อแน่ะ”            “อ้าว โยนมาเชียวนะเจ้าศิลา ถ้าพ่อไม่มีน้ำยาแล้วเอ็งจะเกิดมาได้ยังไงพูดไม่คิด สงสัยจะออกมาจากกระบอกไม้ไผ่เองละมั้ง”            “ทุกคนรุมผม งั้นผมกลับกรุงเทพฯ ดีกว่า” ชายหนุ่มแสร้งทำงอนให้คนง้อ            “ศิลาอย่าทำแม่ใจเสียสิลูก เก็บกระเป๋าขึ้นห้องไปเลย มาแล้วห้ามหันหลังกลับ มาอยู่เป็นแก้วตาดวงใจของบ้านนะลูก มีลูกก็เหมือนมียาวิเศษบำรุงหัวใจทุกคนในบ้านให้มีความสุขนะลูก”            “แม่พูดซะผมอายเลยนะครับ ผมไม่ได้ดีขนาดนะแม่”            “แค่มีลูกอยู่ในบ้าน ทุกคนก็มีความสุขแล้ว ไม่จำเป็นต้องดีเด่อะไรมากมายหรอก ไปเก็บของได้แล้วเดี๋ยวแม่ทำกับข้าวให้ใหม่จะได้กินร้อนๆ มาแบบไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้าเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้”            “จริงๆ แล้วผมกินมาแล้วนะแม่ที่อำเภอ แต่ถ้าแม่ทำให้อีกก็กินอีก” เห็นสีหน้ามารดาเต็มใจหุงหาอาหารให้เขาแล้ว ศิลาดลก็พร้อมจะพุงกางอีกรอบเหมือนกัน            “จ้าไปเถอะลูก”            ศิลาดลนำเสื้อผ้าของใช้ทั้งหมดขึ้นมาเก็บบนห้องนอน สภาพห้องดูสะอาดสะอ้านเหมือนได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ เขาเปิดประตูอ้ากว้างเพื่อให้ระบายอากาศ เปิดพัดลมช่วยไล่ฝุ่นที่ยังตกค้างอยู่ จัดการกวาดทำความสะอาดอีกรอบแล้วค่อยเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำในลำดับสุดท้าย เสียงเคาะเรียกทำให้ชายหนุ่มวางมือจากกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อไปเปิดประตู            “ยกขึ้นมาบนห้องเลยเหรอแม่” เขามองถาดกับข้าวในมือของมารดาอย่างขอบคุณ            “ศิลากินตรงระเบียงนอกห้องนะลูก คนอื่นๆ เขาเข้านอนกันหมดแล้ว”            “อ้อ นี่สี่ทุ่มแล้วเหรอแม่ ผมก็เก็บของเพลินไปหน่อย”            “จ้ะ บ้านเราสองสามทุ่มก็นอนกันหมดแล้ว แม่เองก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่นะลูก แม่เอาไปวางไว้ตรงระเบียงหลังห้องให้นะ” นางสินใจเดินถือถาดไปตรงระเบียงแล้ววางจานข้าวพร้อมน้ำดื่มไว้ให้ลูกชาย            “ขอบคุณครับแม่ แม่ไปนอนเถอะ ดูซิตาปรือๆ คงไม่ชินกับการนอนดึกล่ะสิ ผมอยู่กรุงเทพฯ สี่ทุ่มบางทียังไม่เข้าคอนโดฯ ด้วยซ้ำไป”            “งั้นแม่ไปก่อนนะ มาให้แม่หอมที” นางสินใจโน้มคอลูกชายเข้ามากอดแล้วหอมให้ชื่นใจ วันเวลาผ่านไปนานแค่ไหนลูกชายคนนี้ก็ยังเป็นเด็กชายน่ารักน่าเอ็นดูอยู่เสมอ            ศิลาดลทำทุกอย่างเสร็จแล้วก็อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ทว่าใบหน้าของแม่สาวในห้างสรรพสินค้าก็ลอยมาให้ต้องอมยิ้ม คิดแล้วก็รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย รู้ไปถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น มีอย่างที่ไหนจะขอเบอร์สาวทั้งทีก็ถูกถลึงตาดุๆ ใส่ จนต้องออกปากล่าถอยไปเอง ทั้งที่สาวเจ้ายังไม่ได้ปฏิเสธสักคำ ‘คนสวยเราต้องได้เจอกันอีกแน่’ เขาคิดอย่างกระหยิ่มเพราะชุดที่ผู้หญิงคนนั้นใส่ บ่งบอกว่าเป็นพนักงานที่ทำงานในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นอย่างแน่นอน                      ด้านบ้านไม้สองชั้นของยายศรีจันทร์ หลานสาวคนงามได้ใช้เงินจากการทำงานต่อเติมให้แข็งแรงขึ้น ด้านล่างก็ก่ออิฐขึ้นทำผนังรอบทิศเพื่อทำห้องครัวและสำหรับเก็บของใช้ต่าง            “ทำไมกลับดึกกว่าทุกวันล่ะบุญ” ยายศรีจันทร์ถามเพราะรู้ว่าหลานสาวกลับบ้านตรงเวลาตลอด เลิกงานหนึ่งทุ่มกลับถึงบ้านไม่เคยเกินสามทุ่มในแต่ละวัน ซึ่งนางก็จะรอจนหลานกลับถึงบ้านจึงค่อยเข้านอน แม้บุญสิตาจะบอกให้นอนก่อนแต่ผู้เป็นยายก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จนกลายเป็นความเคยชินต้องนั่งดูละครหลังข่าวทุกวันเพื่อรอหลานสาว            “เจอคนโรคจิตน่ะยาย” คนเป็นหลานบอกแบบยิ้มๆ            “ว่าไงนะโรคจิตเหรอ แล้วมันทำอะไรบุญหรือเปล่าลูก” แต่ยายศรีจันทร์ได้ยินแล้วตกใจแบบจริงจัง            “ไม่ได้ทำอะไรบุญหรอกยาย หน้าตาก็ดีไม่น่าโรคจิตเลย นี่แอบมองบุญตั้งแต่ในห้างแล้วพอบุญขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านก็ยังขับรถตามมาอีก ดีนะที่บุญไหวตัวทันเลยแกล้งจอดรถคุยโทรศัพท์ให้มันขับผ่านไป”            “ดีแล้วบุญทีหลังให้รีบบิดรถกลับบ้านเลยนะลูก อันตรายกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ มันมีอาวุธหรือเปล่าก็ไม่รู้”            “ไม่เท่าไหร่หรอกยาย มีรถคันอื่นๆ สวนไปมาอยู่ อีกอย่างบ้านเรากับอำเภอก็ห่างกันแค่ห้ากิโลเมตรเอง มีไฟส่องสว่างตลอดทางด้วย” บุญสิตารีบบอกเพราะรู้ว่ายายเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยมาตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานใหม่ๆ แล้ว แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของบุญสิตาที่เธอไม่เคยเจอคนร้ายระหว่างทางกลับบ้านสักครั้งเดียว            “ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะบุญ คนเราสมัยนี้มันไว้ใจไม่ได้ ไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาเถอะมาเหนื่อยๆ”            “จ้ะยาย อ้อนี่ขนมบุญซื้อมาฝาก” หญิงสาววางถุงขนมไว้บนโต๊ะแล้วขึ้นบันไดบ้านไป ผลัดผ้าถุงลงมาอาบน้ำในห้องน้ำที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็เข้านอนตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน            หญิงสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนเล่นอยู่บนฟูก คิดไปถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของตนเอง ในแต่ละวันที่ผ่านมานั้นบุญสิตามักจะภาวนาให้หลานชายกำนันสมบูรณ์แต่งงานมีลูกมีเมียไป และขอให้เมียเขาเป็นผู้หญิงที่ดุดันเอาสามีอยู่ อย่าให้เขาคนนั้นต้องมายุ่งเกี่ยวกับเธอเลยชั่วชีวิตนี้ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่เคยได้ข่าวว่าเขาแต่งงานสักที ทั้งที่ยายศรีจันทร์บอกเธอว่าเขาอายุสามสิบสองปีเข้าไปแล้ว ‘เฮ้อ! จะให้บุญลุ้นแบบนี้ไปอีกนานไหมคุณศิลาดล’ ใช่ว่าจะไม่มีคนเข้ามาจีบ แต่บุญสิตาพึงระลึกอยู่เสมอว่าเธอเป็นคนที่มีเจ้าของแล้ว จำต้องปฏิเสธทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และเฝ้ารอคอยเขาคนนั้นมาปลดปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระเสียที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม