“นับตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณต้องมาทำงานให้ผมในตำแหน่งเลขาฯ งานของคุณขึ้นตรงกับผม ต้องฟังคำสั่งผมคนเดียวเท่านั้น เข้าใจหรือเปล่า”
นาราพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะบอส”
เปลือกตาบางที่ปิดดวงตากลมโตสดใสเหลือบขึ้นมองเขา ชาร์ลส์ก้มลงสบตากับนารา เห็นเพียงขนตาหนาเป็นแพพาเอาหัวใจเต้นตุบๆ ก่อนจะรีบออกคำสั่ง
“ถ้าเข้าใจดีแล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อนได้ พรุ่งนี้เจอกันที่ออฟฟิศ สามโมงเช้า แล้วก็ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของคลินิกรักษาสัตว์ไว้ให้ผมด้วย เดี๋ยวผมจะพาเจ้าออสการ์ออกไปให้สัตวแพทย์ดูอาการ”
นาราพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ใครบอกว่าจะกลับไปพักผ่อน ในเมื่อคืนนี้มีอะไรน่าสนุกรออยู่ เธอมีนัดปาร์ตี้ปิ้งย่างกับพี่หมอบัว คุณจาคอบ และสาวเพื่อนบ้านในละแวกนี้ และไม่มีทางเอ่ยปากชวนเขาไปร่วมงานด้วยอย่างเด็ดขาด
ครึ่งชั่วโมงถัดมา
หลังจากนาราพาเจ้าเหมียวขนฟูกลับมาถึงบ้าน คิ้วเรียวสวยก็ขมวดชนกันเมื่อมองไปที่คุณหนูถ้วยฟู มันกำลังทำท่ากลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นดูเหมือนเด็กทารกกำลังอ้อน
“เหมียว เหมียว”
ดวงตาคู่แป๋วกำลังจ้องมองนางทาสสาวที่หยิบถุงอาหารแมวออกมาจากถุงผ้าดิบสีขาว สีหน้าของนางทาสสาวดูขุ่นมัว คงเป็นเพราะวีรกรรมที่มันไปก่อไว้เมื่อคืน แมวน้อยฉลาดเฉลียวจึงทำท่าน่ารัก หวังจะร่ายมนตร์ใส่นางทาส
ฟากทาสแมวหยิบกรรไกรขึ้นมา ดวงตาคู่สวยมองไปที่กรรไกรในมืออย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะย้ายสายตามองไปที่แมวตัวเก่งของมารดา แล้วแลบลิ้นใส่
“แบร่ แมวดื้อ”
หญิงสาวใช้กรรไกรตัดปากถุงอาหารแมวขณะที่ได้ยินเสียงร้องเหมียวๆ ของตัวแสบที่หางานให้เธอ แล้วนึกหมั่นไส้จึงก้มลงไปมองลูกรักของมารดาอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถึงฉันจะไม่ใช่ทาสแมวโดยสายเลือด แต่ก็ไม่คิดจะใจร้ายตัดหางแมวลงโทษหรอก ถึงถ้วยฟูจะดื้อ น่าตัดหางปล่อยวันก็เถอะ” ก็พูดขู่ไปแบบนั้น
นาราพยายามข่มอารมณ์ แม้จะขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย แต่งานนี้ถือว่ามีความผิดร่วมหาร แมวตัวแสบดูเหมือนว่าจะรู้ตัวว่าผิด ถ้วยฟูยืนสี่ขา จากนั้นก็เดินเข้ามาหานาราแล้วเอาหัวถูไถกับขา จนคนที่ออกตัวว่าเป็นนางทาสจำเป็นก้มลงไปมองอาการอ้อนเก่งของมัน
“เหมียว เหมียว”
“ไม่ต้องมาร้องเหมียวๆ รู้แล้วย่ะว่าเป็นแมว นี่ถ้าไม่ติดว่ามีความผิดร่วมด้วยฐานที่ฉันขี้เกียจตัดเล็บให้เรา ฉันจะฟ้องคุณนายทองอยู่แน่นอน ว่าเราไปทำรถคนบ้านนั้นเขาเสียหายหลายแสน เชอะ!”
‘รถบ้านนั้นมีตั้งหลายคัน ดันไปข่วนรถซูปเปอร์คาร์!’
นาราหันกลับมากอดอก ใบหน้าสวยเชิดขึ้น นึกสนุกอยากแกล้งแมวเหมียวตัวแสบขึ้นมาบ้าง
“มีแรงไปปีนรถคนอื่น ทิ้งรอยไว้รอบคัน จนฉันต้องเดือดร้อน ทำงานล้างหนี้ ถ้างั้นเทอาหารแมวกินเองได้แล้วใช่ไหม”
ว่าแล้ววางถุงอาหารแมวลงบนตู้สีขาวที่ใช้เก็บอาหารและของใช้ต่างๆ ของแมว ก่อนจะยิ้มเยาะเมื่อเห็นแมวน้อยมองเธอแล้วยกหางขึ้น ก่อนจะเอียงคอมองถุงอาหารสลับกับนางทาส
“เหมียว เหมียว”
สักพัก ทาสแมวก็แทบร้องกรี๊ด เมื่อแมวขนฟูสีขาวกระโดดขึ้นไปบนตู้เก็บของแล้วใช้ขาหน้าเตะถุงอาหารแมวตกลงมา อาหารเม็ดหล่นกระจายเต็มพื้น จากนั้น เจ้าถ้วยฟูก็กระโดดลงไปไล่ใช้ลิ้นเล็กๆ แลบเลียอาหารเม็ดสีน้ำตาลรสปลาแซลมอนกินอย่างเอร็ดอร่อย
ส่วนนางทาสดวงซวยก็ต้องไปหยิบไม้กวาดและที่ตักผงมากวาดเศษอาหารแมวที่ตกกระจายเพราะคุณหนูถ้วยฟูกินไม่หมด
“โอย...ถ้วยฟู ตัวแสบ หางานให้จริงๆ”
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอไปท้าให้ถ้วยฟูเทอาหารกินเอง จึงระบุไม่ได้ว่าใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้ถุงอาหารแมวหล่นลงมาหกเกลื่อนพื้น
นาราจ้องไปที่คุณหนูประจำบ้าน เอ่ยคาดโทษเอาไว้ เพราะหลังจากนี้ เธอจะรีบกลับเข้าบ้านไปอาบน้ำเพื่อไปร่วมงานปาร์ตี้กับพี่หมอบัว หญิงสาวชี้นิ้วสองนิ้วเข้าหาตาตัวเอง แล้วหันไปชี้ทางเจ้าเหมียวที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหม่ำอาหาร
“ฉันจับตาดูเราอยู่นะ คืนนี้ห้ามออกไปดื้อที่ไหน ไม่งั้น ฉันจะยุคุณนายทองอยู่ให้เลี้ยงเราระบบปิด” นาราเห็นเท้าเล็กๆ นั่นเปื้อนโคลนก็ตกใจ ก่อนถอนหายใจออกมาหนักๆ “ตายแล้วถ้วยฟู ไปย่ำดินในสนามหญ้าบ้านคุณชาร์ลส์จนเลอะไปหมดใช่ไหม ถ้าแม่เรามาเห็น รู้ไหมว่าใครจะถูกเล่นงาน”
แม้คุณนายทองอยู่จะรักแมวมาก แต่ต้องไม่ชอบใจแน่ๆ ถ้าเห็นรอยเท้าแมวเปรอะเปื้อนภายในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ทาสแมวผู้ได้รับค่าจ้างเดือนละห้าพันบาทเป็นค่าดูแลแมวระหว่างที่ตกงานจึงเร่งรีบไปหาอุปกรณ์และผ้ามาเช็ดขาให้แมวจนสะอาดเกลี้ยงเกลา
“ฉันจะไปปาร์ตี้ที่บ้านพี่หมอบัว ห้ามตาม อยู่เฝ้าบ้าน ห้ามออกไปไหน เข้าใจไหม” นาราสั่งเสร็จแล้วก็เดินเข้าบ้าน
เหมียวน้อยมองตามหลังนางทาสแสนซื่อ ก่อนรีบเดินตามพลางส่งเสียงโอดครวญเหมือนอยากจะตามไปด้วย
“เหมียว เหมียว”
สาวสวยหันกลับมามองเจ้าตัวขนฟู แล้วก้มลงเอาปลายนิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากแมว “นี่มันปาร์ตี้คนจ้า ไม่ใช่ปาร์ตี้แมว ไปไม่ได้ อยู่เฝ้าบ้าน เข้าใจไหม”
แวบหนึ่งดวงตาของมันฉายแววเจ้าเล่ห์ “เหมียว เหมียว” ราวกับจะบอกว่า ถ้ามันไปปาร์ตี้กับคนไม่ได้ งั้นคืนนี้ก็ขอออกนอกบ้านไปปาร์ตี้กับแมวที่บ้านหลังอื่นในละแวกนี้ได้เหมือนกัน
บ้านเดี่ยวสองชั้นกินเนื้อที่เจ็ดสิบตารางวา ผู้เป็นเจ้าของบ้านคือ ‘หมอบัว’ หรือ ‘บัวบุษยา’ ญาติผู้พี่ของนารา เมื่อก่อน ครอบครัวของเธออยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก หากแต่เมื่อสองปีก่อน บิดามารดาของเธอตัดสินใจไปซื้อที่ดินเพื่อปลูกผักออแกนิกส์ขายที่เชียงใหม่ เหตุผลนั้นก็เพื่อไม่ให้ตัวเองว่างจนเกินไป แม้ว่าบัวบุษยาจะคัดค้านเพราะไม่อยากให้พวกท่านต้องลำบาก แต่บุพการีทั้งสองก็ยืนกรานว่าอยากใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดและอยากอยู่กับธรรมชาติมากกว่าอยู่ในเมือง คนเป็นลูกจึงไม่อยากขัดความสุขของพ่อแม่
เวลานี้ บ้านหลังใหญ่นี้จึงมีคุณหมอสาวสวยอาศัยอยู่แค่เพียงคนเดียว แต่ก็ไม่ได้เหงาเพราะยังมีญาติอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน นารา มักจะแวะมาฝากท้องและพูดคุยด้วยเสมอ วันนี้ เธอตั้งใจจัดปาร์ตี้ส่วนหนึ่งก็อยากทำให้ญาติผู้น้องคนนิ้กลับมาสดใสเหมือนเดิม หลังจากที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าก้าวสู่เบญจเพสหรืออย่างไร ถึงได้ถูกความซวยมาเยี่ยมเยือนพร้อมๆ กันทั้ง
‘ตกงาน’