ทว่า หมอเอกรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสายตาของบุรุษหนุ่มหล่อจัดที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของนารา สายตาคมกริบของผู้ชายหล่อเหลาสมบูรณ์แบบ เค้าโครงหน้าได้รูป ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล รูปร่างสูงใหญ่บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นชาวต่างประเทศ จดจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาไม่พอใจ จนเอกรัตน์ต้องหลุบสายตากลับมามองนารา
“สวัสดีครับนารา มาซื้อของเหรอครับ”
‘เข้ามาร้านสะดวกซื้อ ไม่ซื้อของจะให้มาถูพื้นหรือไง’
หญิงสาวลอบถอนหายใจ ก่อนจะตอบสั้นๆ “ค่ะ นารามาซื้อของ”
นี่ถ้าเอกรัตน์จะมองผ่าน ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกัน มันยังจะดีกว่านี้
แล้วรีบตัดบท เกรงว่า ‘อดีตแฟนหนุ่ม’ จะชวนคุยต่อ เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าหรือสนทนากับเขาได้เหมือนปกติ
“นาราขอตัวก่อนนะคะพี่หมอ นาราออกมาซื้อของให้แม่ค่ะ ต้องรีบกลับ”
“อ้อ...ครับ”
นาราก้าวเดินฉับๆ ผ่านหน้าอดีตแฟนหนุ่มกับชายหนุ่มอีกคนที่หน้าตาไม่เลวนัก แค่เดินห่างจากพวกเขาก็รู้สึกว่าถูกสายตาหลายคู่จับจ้องมองตามมา จึงแสร้งหยิบของตรงหน้าไปมั่วๆ ใส่ลงในตะกร้าสักสามสี่ชิ้น จากนั้นก็รีบตรงดิ่งไปที่แคชเชียร์
“คิดเงินด้วยค่ะ”
“ได้ค่ะคุณลูกค้า” พนักงานสาวยิ้มให้ แล้วเหลือบไปมองผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้รับคำสั่งให้เชียร์ขาย “รับขนมปังทานเพิ่มไหมคะ มาใหม่ ไส้เยอะ อร่อยมากค่ะคุณลูกค้า”
นาราเหลือบมองสาวพนักงานขายที่ยิ้มแย้มแจ่มใสดี แต่เวลานี้ เธอไม่มีอารมณ์จะรับขนมปังอะไรทั้งนั้น อยากรีบจ่ายเงินแล้วออกไปให้พ้นจากสถานการณ์อึดอัดเช่นนี้
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ”
พนักงานสาวหัวใจรักบริการหรือถูกป้อนให้พูดเสนอสินค้าออกใหม่ที่วางอยู่หน้าเชลฟ์กับลูกค้าทุกคนก็รีบแนะนำผลิตภัณฑ์ออกใหม่เพิ่มเติมอีก
“มีเยลลี่เกาหลีมาใหม่ค่ะกำลังฮิต คุณลูกค้ารับด้วยไหมคะ”
“รับก็ได้ค่ะ พอแล้วนะคะ ไม่ต้องนำเสนออะไรอีก วันนี้ยังไม่มีอารมณ์กินขนม อยากกินคนมากกว่า” นาราตัดความรำคาญเพราะอยากรีบๆ ออกจากร้าน ส่วนคนที่เธอว่าไม่ได้หมายถึงสาวแคชเชียร์
ทว่า น้ำเสียงแข็งขัดกับใบหน้าหวานล้ำทำเอาสาวพนักงานยิ้มแห้งๆ คิดว่าตนเองนำเสนอสินค้ามากเกินไป รีบก้มหน้าก้มตาคิดเงินอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นารารีบเปิดกระเป๋าหยิบถุงผ้าสีขาวที่พับไว้ออกมาคลี่เตรียมจะหยิบของที่พนักงานคิดเงินเสร็จแล้วใส่ลงไป
พนักงานสาวรีบแจ้งราคา “ทั้งหมดสองร้อยเจ็ดสิบสองบาทค่ะ คุณลูกค้า”
นารารีบล้วงมือไปในกระเป๋าสะพายที่แนบลำตัวแล้วควานหากระเป๋าสตางค์ แต่ไม่เจอ พอก้มลงไปมองก็พบว่า...
‘ตายแล้ว ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา’
ให้ตายเถอะ คราวนี้ คนยิ้มแห้งๆ จึงเป็นเธอ ไม่ใช่พนักงานสาวตรงหน้า คิ้วเรียวสวยยู่เข้าหากัน ก่อนถอนหายใจออกมาแรงๆ เพราะตอนนี้
‘ใจที่ว่าพัง ยังไม่เจ็บเท่าลืมเอากระเป๋าสตางค์มา’
“คือว่าพี่ลืมเอากระเป๋าสตางค์มาค่ะ รับโอนไหม”
“ถ้าอย่างนั้น คุณลูกค้าต้องโอนเงินเข้าแอปทรูมันนี่วอลเล็ตเพื่อชำระค่าสินค้าค่ะ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า กำลังจะทำตามคำแนะนำของพนักงานสาว คือเติมเงินเข้าทรูมันนี่วอลเล็ต ทว่าเมื่อคืน ความเมาเป็นเหตุทำให้เธอลืมชาร์จแบตฯ โทรศัพท์ แสงสว่างที่หน้าจอดับวูบลงทันตาเห็น
“แบตฯ หมดพอดี มันซวยอะไรแบบนี้วะ”
“เท่าไหร่”
เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้นาราหันไปมองด้วยอาการงงๆ ปนตกใจและไม่ค่อยไว้ใจนัก เมื่อเห็นธนบัตรสีเทาลอยผ่านหน้าเธอไป
“นี่ครับ” คนจ่ายเงินแทนหญิงสาวไม่รอคำตอบจากพนักงาน คิดว่าสินค้าไม่เกินมูลค่าธนบัตรที่เขายื่นให้ เมื่อครู่ เขาได้ยินทั้งหมดว่าหญิงสาวลืมเอากระเป๋าสตางค์มา
ไม่คาดคิดว่าจะมีคนมาจ่ายเงินแทนให้ นารากลอกตาขึ้น ใบหน้าสวยหวานหันกลับไปมองเขา แวบแรกเธอเห็นดวงตาทอประกายยั่วเย้าของคนคิ้วเข้มที่โน้มหน้าหล่อเข้ามาใกล้
“คุณคงไม่ว่า ถ้าผมช่วยจ่ายแทนให้”
“เอ่อ ไม่ว่า แต่นาราเกรงใจค่ะ”
“ถ้าคุณไม่สบายใจก็เอาเฟซ เอาไลน์ผมไปขอเลขบัญชี แล้วโอนเงินคืนให้ทีหลังก็ได้”
เวลานี้ นาราไม่มีเงินติดตัวสักบาท แล้วเงินที่เขาช่วยออกให้ก่อนก็ไม่ได้มากมายอะไร เธอไม่ใช่คนเรื่องเยอะ จึงพยักหน้ารับ แล้วกล่าวขอบคุณที่ชายหนุ่มช่วยเหลือจ่ายค่าสินค้าให้ก่อน
“ขอบคุณมากนะคะ เดี๋ยวนาราขอแอดไลน์ ทักไปขอเลขที่บัญชี แล้วจะโอนเงินคืนให้”
ชาร์ลส์ลอบยิ้ม “ครับ”
เขาโน้มตัวลงมาจนได้กลิ่นกายหอมสะอาด หอมยิ่งกว่าตอนที่พี่หมอเคยมอบดอกไม้วาเลนไทน์ให้เธอเมื่อปีที่แล้วและพยายามจะขอหอมแก้ม แต่เธอรู้สึกทั้งเขินทั้งจั๊กจี้ อีกทั้งเกสรของดอกไม้ยังทำให้เผลอจามใส่หน้าเขา จนพี่หมอรีบถอยร่นออกห่างจากเธอไปสามก้าว แม้ว่านาราจะยกมือปิดปากทันก็ตาม
ทุกอิริยาบถของนารากับชาวต่างชาติมาดนักธุรกิจบุคลิกดีเยี่ยมตกอยู่ภายใต้สายตาคมเข้มของหมอหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปี ที่เริ่มสับสนในอารมณ์ของตนเองอย่างบอกไม่ถูก จนต้องสูดหายใจลึกๆ เหลือบตามองอดีตแฟนสาวที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเพื่อแลกไลน์กับอดีตบอสหนุ่ม ในบริษัทที่เคยฝึกงานด้วย
“คุณหมอหึงเธอเหรอครับ”
ประโยคที่ดังขึ้นมาจับน้ำเสียงได้ว่ากำลังประชด เอกรัตน์หันกลับไปมองคนที่มาด้วยกันแล้วไม่ได้ตอบอะไร พอเหลือบสายตากลับไปที่หน้าแคชเชียร์อีกครั้งก็ไม่เห็นใครอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์อีก