EP.10
จากเพลงแรกก็ต้องมีเพลงที่ 2 จึงกลายเป็นว่าปาร์ตี้ในค่ำคืนนี้ ทุกคนต่างดื่มกินและเต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง และคนไม่สนุกก็ต้องล่าถอยไป รวมทั้งนีน่าด้วย เพราะหล่อนคงไม่ลดตัวลงไปสนุกสนานกับผู้หญิงเหล่านั้นแน่ โดยเฉพาะหล่อนจะไม่พาตัวเองไปเสริมความเด่นให้ยัยเลขานั่น แต่หล่อนจะไม่ยอมกลับไปโดยไม่ได้อะไร
นีน่ามองมาลีและอัคนีที่ยังคงเต้นรำอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะอัคนีนั้นอยู่ในวงล้อมของสาวๆ แทบทั้งงาน นางแบบสาวสวยร่างระหงก้าวตรงไปยังบริกรคนเดิมที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง
มือเรียวสวยหยิบเครื่องดื่มสีชมพูสดสวยขึ้นจิบเพียงนิด ก่อนจะชี้ชวนให้บริกรดูหญิงสาวคนเดิมที่หล่อนให้นำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้ไม่อั้น โดยอ้างชื่อสัญชัยวานให้มาบอก
“เอานี่ให้เธอดื่ม ทำให้สำเร็จ แล้วนี่ค่าจ้าง”
ธนบัตรสีเทาถูกยื่นตรงหน้าให้บริกรรับไป แต่บริกรหนุ่มกลับอิดออด จนหล่อนต้องเพิ่มจำนวนธนบัตร
มาลีปรือตาขึ้นมองคนที่ตระกองกอดหล่อนแล้วพาก้าวเดิน แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครหล่อนก็ยิ้มกว้าง จากที่เดินเองได้ก็คล้ายจะตัวอ่อนเดินไม่ไหว หล่อนซบหน้ากับแผงอกกว้าง ทำให้คนที่กอดและพาหล่อนก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน ทำอะไรไม่ถนัด
“อื้อ... หนูมาลี เดินเร็วๆ”
เขาบอกและพยายามพยุงให้เดินต่อ แต่หล่อนไม่อยากเดินแล้วนี่นา หล่อนอยากนอน
“ไม่เร็วอะ ไม่อยากเดิน อยากนอน อยากให้พี่ไฟอุ้ม”
“ไม่ได้... เดินเร็วๆ เข้า”
น้ำเสียงเขาคือเหนื่อยใจแต่หล่อนกลับขืนตัวอย่างสนุก เมื่อเขาเร่งแล้วหล่อนช้า
“หนูจะเดินช้าๆ ถ้าพี่ไฟอยากให้หนูเดินเร็ว พี่ไฟก็อุ้มหนูไปสิ”
หล่อนพูดพลางซุกซบใบหน้าเข้าหาแผงอกอุ่น เพราะมีความสุขเหลือเกินที่ได้แนบชิดอิงซบแบบนี้ ได้ซบอกมิสเตอร์เกรย์
สุดท้ายอัคนีก็ต้องอุ้มมาลีมาที่รถยนต์ของเขาจนได้ เพราะขืนปล่อยให้มาลีเดินเอง คงอีกนานกว่าจะออกจากงาน เขาต้องพามาลีไปส่งที่คอนโดฯ ด้วยตัวเอง เพราะสภาพรั่วๆ แบบนี้คงปล่อยไปกับใครไม่ได้แน่ แค่ปล่อยให้เต้นแร้งเต้นกาปลดปล่อยเต็มที่ก็พอแล้ว
“อ้าว... พี่ไฟไปส่งหนูเหรอคะ”
น้ำเสียงยานคางเหมือนช้าลง 1 สเต็ปเอ่ยถามขณะที่เขากำลังค้อมร่างคว้าเข็มขัดนิรภัยเพื่อคาดทับตัวหล่อน และกลิ่นแอลกอฮอล์กรุ่นกับกลิ่นผลไม้ก็ทำให้เขาส่ายหน้าระอา
“ใช่สิ แล้วใครจะไปส่งล่ะ”
“ลุงเข้มไงคะ”
“เข้มไม่ว่าง ไปส่งนีน่า”
“เหรอ... ดีจริง งั้นคืนนี้พี่ไฟก็เป็นของหนู”
“อย่างนั้นเลยเหรอ” อัคนีถามอย่างติดตลกเพราะความรู้สึกร้อนวูบในช่องอกย้ำเตือนว่านับจากวันนี้ไปเขาคงมองมาลีเหมือนเดิมไม่ได้แน่
มาลีดอกนี้ไม่ได้ควรค่าเฉพาะปักแจกันในบ้านของเขาอีกแล้ว แต่มาลีเบ่งบานส่งกลิ่นหอมล่อแมลงจนเขานึกหวง ยิ่งตอนนี้ที่เจ้าหล่อนเมาแล้วรั่ว มาลีก็ยิ่งดูน่ารักน่าใคร่มากขึ้นอีก
หล่อนทาบฝ่ามือที่สองแก้มของเขา ขยี้เบาๆ เหมือนเขาเป็นเด็ก
“ก็ใช่สิคะ คืนเนี้ย พี่ไฟล้อหล่อ หล่อมากกกกก... แล้วคนนี้” นิ้วจิ้มอกอวบอิ่มของตัวเอง “หนูก็สวยมากด้วย”
“คนอะไรชมตัวเองก็ได้”
“ก็คนเมาไงคะ ถ้าไม่เมาอะ ทำไมได้เลยนะเนี่ย”
“ดื่มไปกี่แก้วล่ะ รู้สึกจะคุยกับผู้ชายไปทั่วทั้งงาน”
“อืม... หนูจำไม่ได้หรอกค่ะ หนูอะ ดื่มทุกแก้วที่บริกรเดินผ่านนั่นแหละ”
“ฮะ! แล้วดื่มเยอะทำไม ไม่กลัวเมาเหรอ”
“กลัวทำไมคะ ไม่กลัวหรอก เพราะเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน”
อัคนีแทบหลุดขำ เพราะมาลีกลายเป็นคนเจ้าสำบัดสำนวนไปตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่มันกลับทำให้เขานึกสนุกอยากจะถามอะไรหล่อนให้มากกว่านี้ เพราะลองมาลีแทนตัวเองว่า ‘หนู’ นั่นย่อมหมายถึงว่ามาลีไม่ได้อยู่ในสติสัมปชัญญะที่พร้อมจะพูดคุยกับเขาเลย และเขาก็อยากจะรู้นักว่าคนเมาจะปากกับใจตรงกันจริงหรือเปล่า
เขารีบปิดประตูรถฝั่งหล่อนแล้วอ้อมมาขึ้นประจำฝั่งคนขับ คืนนี้เขาต้องรู้ทุกเรื่อง และระยะทางจากที่นี่ไปจนถึงคอนโดฯ ของมาลี ดึกแบบนี้รถไม่ติดคงกินเวลาราวๆ 20 นาที ไม่ดึกเกินไปที่จะซักไซ้ไล่เลียงเอาคำตอบจากทุกอย่างที่สงสัย
ไม่นานอัคนีก็พามาลีมาถึงคอนโดฯ แต่กว่าจะพาขึ้นไปถึงห้องก็ทุลักทุเลเพราะมาลีพูดไม่หยุด
“หนูมาลี เดี๋ยวค่อยพูดถึงห้องแล้ว” เขาบอกพลางเปิดประตูห้องพักสุดหรูซึ่งเป็น ‘บ้าน’ ของมาลี สมบัติที่พ่อแม่หล่อนทิ้งไว้ให้ ทั้งคอนโดฯ หรูกลางเมือง ทั้งธุรกิจ ทั้งหุ้น ซึ่งมาลีสามารถสานต่อกิจการได้เลย แต่หล่อนกลับเลือกที่จะมาเป็นเลขาของเขา โดยให้เหตุผลว่า ตอนนั้นหล่อนยังเด็ก ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหาร หากเรียนรู้งานกับเขาไปหลายๆ ปี หล่อนค่อยกลับมาพลิกฟื้นกิจการก็ไม่สายไป
“พี่ไฟไม่เชื่อที่หนูพูดเหรอ ไหนเขาบอกว่าคนเมาอะพูดจริงทุกอย่างไง แล้วทำไมพี่ไฟไม่เชื่อที่หนูพูด”
“จะให้เชื่ออะไรล่ะ เราน่ะพร่ำมาตลอดทาง”
“ก็เชื่อหนูไง หนูคนเนี้ย”
“ก็จะให้รเชื่อว่าอะไรเล่า”
“ก็ถามหนูสิ ถามหนู ถามว่าหนูอะรักพี่ไฟไหม”