" แม่นาย เจ้าขาแม่นายของบ่าวมาแล้ว" เสียงของบ่าวสอพอลเรียกเจ้ายายของตัวเองที่เดินเข้ามาหลังจากที่ไปหาพ่อของนางมาจากเมืองหัวช้าง
" มีอันใดว่ะอีขมิ้น ทำท่าทำทางอย่างกับมีเรื่องจะฟ้อง" มะลิที่จับทางอีบ่าวสอพอเพราะท่าทางของนังขมิ้นมันบอกว่ามีเรื่องจะเล่า
" ก็มีนะสิอีมะลิอีชบาเอ้ย..... ก็แม่นายพิกุลนะสิ นับตั้งแต่แม่นายจันทร์เจ้าไปเมืองหัวช้าง แม่นายพิกุลก็ไดทีเอาอกเอาใจ ท่านขุนอย่างใหญ่เลยละเอ็งเอ้ย" ขมิ้นทำท่าทางได้
ด้านพิกุล
“ แม่นาย แม่นายพูดแบบนั้นกับแม่นายจันทร์เจ้า แม่นายต้องระวังตัวนะเจ้าคะ “ จำปาที่อยู่ในเหตุการณ์นางตกใจเป็นอย่างมากที่แม่นายของตนพูดกับ แม่หญิงจันทร์เจ้าคนที่เคยคิดจะฆ่านางมาแล้วครั้งหนึ่ง จำปาและแม้นที่เป็นบ่าวสองคนที่สามารถตายแทนเจ้านายตนได้ นางก็เลยเป็นห่วงแม่นายของตนพิกุลที่เห็นสีหน้าท่าทางของ จำปา และ แม้นที่มองมายังเธอด้วยสายตาที่เป็นกังวลและเป็นห่วงเพื่อความสบายใจของบ่าวที่รักและตายแทนแม่นายอย่าเธอได้ เธอก็เลยพูดบางอย่างออกมาเพื่อความสบายใจของพวกนาง
“ เอาน่า….พี่อย่าเป็นห่วงข้าเลย ข้าแค่ไม่อยากออ่นแอให้นางเห็นแล้วก็มาทำร้ายข้ากับพวกพี่ได้อีก ข้าที่รักพวกพี่อย่างกับญาติผู้ใหญ่ของข้า เพื่อนข้า และคนที่ยอมตายแทนข้าได้แล้วแบบนี้พี่คิดว่าข้าต้องยอมให้นางข่มขู่ข้า ข่มขู่พวกพี่อีกอย่างนั้น รึ “ พิกุลอธิบายเหตุผลให้บ่าวฟังว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พูดแบบนั้นกับแม่นายจันทร์เจ้า แต่ด้วยใจจริงแล้วนางก็อยากออกกำลังกาย เพราะความแค้นที่แม่นางพิกุลเจ้าของร่างได้พูดและขอร้องไว้กับเธอ ว่าช่วยนางแก้แค้นผู้หญิงที่ฆ่านางได้อย่างเลือดเย็น และอีกอย่างผึ้งเธอคิดว่าเธอจะได้ไปเกิดหรือว่ากลับไปที่ๆ ที่ตัวเองจากมา เมื่อบ่าวได้ยินคำพูดเหตุผลว่าทำไมแม่นายของตนถึงได้พูดแบบนั้นออกมา จำปาและ แม้น พร้อมกับบ่าวคนอื่นๆต่างก็ทราบซึ่งใจและก็เห็นด้วยกับแม่นาย ก่อนจะนั่งลงกอดขาของเจ้านาย พิกุลเป็นคนไม่ถือตัวเมื่อบ่าว
ที่นั่งอยู่ที่ขาของเธอ เข้ามากอดนางก็ก้มไปกอดบ่าวของตนอย่างไม่ถือตัวและไม่เคยมีเจ้านายคนไหนทำแบบนี้กับบ่าวของตน จากนั้นพิกุลก็เหลือบมองไปยังบ่าวผู้หญิงที่นั่งมองเจ้านายของตนกอดเพื่อน ทุกคนก็ยิ้มทั้งน้ำตา พิกุลเธอไม่ใช่แค่ไม่ถือตัวเธอยังเรียกให้บ่าวที่นั่งร้องไห้ใกล้ๆ ให้เข้ามาร่วมวงกันด้วย บ่าวอีกสามคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเมื่อเจ้านายเรียกตนเอง ทั้งสามก็ทำหน้าตกใจแต่ก็ยอมค่อยๆคลานเข้ามาหาเจ้านายของตน
“ เร็วๆ “ พิกุลเอ้ยปากเร่งบ่าวทั้งสามที่ค่อยๆก้มหน้าคลานเข้ามาหาตน นางก็เลยเอ้ยเร่งด้วยความที่เธอเกิดมาในสมัยเลิกทาส เธอก็เลยไม่สนว่าคนนนั้นจะเป็นใครทำงานอะไรและยิ่งคนที่ยอมตาย และยอมทนกับเธอ คนนั้นจะเป็นเพื่อนแท้และเป็นคนที่เธอยอมตายแทนได้เช่นเดียวกัน เมื่อบ่าวสามคนได้ยินเสียงเร่งของเจ้านาย นางก็รีบคลานเข้าหาแม่นายทันที จากนั้นทั้งบ่าวทั้งนายต่างก็มองหน้ากันแล้วก้ยิ้มบ้างวหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง แต่รวมๆแล้วหน้าจะมีความสุขมากกว่าความเศร้ามากกว่าที่เรือนของ แม่นายจันทร์เจ้ามากกว่า
เวลาต่อมา
“ อีชบามึงไปหาไอ้กล้า แล้วให้มันเอายาที่แรงกว่าเดิมมาให้กู แล้วอีก3วันมึงก็ให้มันไปรอกูอยู่ที่เดิม บอกมันว่ากูจะฆ่าอีพิกุลอีกครั้ง “ จันทร์เจ้าออกคำสั่งให้บ่าวไปเอายาพิษกับนักเลงที่อยู่ในตลาด มันชื่อไอ้กล้ามันทำทุกอย่างที่มีคนจ้างเพื่ออัด แล้วต่อให้ฆ่าคนมันก็ทำ และเรื่องฆ่าแม่นางพิกุลไอ้กล้าและพักพวกก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อชบากับมะลิได้ยินคำสั่งของเจ้านายแล้ว ทั้งสองก็รีบวิ่งออกมาทำตามคำสั่งของคนที่เป็นเจ้านายทันที
“ มึงได้ยินแล้วใช่ไหม ไอ้ยศว่าแม่หญิงจันทร์เจ้าจักทำอันใดแม่หญิงพิกุล “ ขุนไกรที่หาของบางอย่างอยู่ที่พุ่มไม้กับบ่าวคนสนิทอีกคนของตน ทั้งคู่ก็รีบหุบปากเงียบฟังเรื่องที่แม่หญิงจันเจ้าเมียเอกของตนพูดว่าจะฆ่าเมียเพียงคนเดียวของเขา เมื่อจันทร์เจ้าเดินออกไปจากตรงนั้นขุนไกรและบ่าวชื่อยศก็ดผล่ออกมาจากที่ซ้อนก่อนขุนไกรจะถามเหมือนขอความเห็นมากกว่าจะถาม ว่าที่เขาได้ยินมึงได้ยินเหมือนเขาใช่หรือไม่ เมื่อไอ้ยสได้ยินคำถามของผู้เป้นเจ้านาย ไอ้ยศก็ก้มตัวลงเล็กน้อยก่อนจะพูดกับเจ้านายของตัวเองว่า
“ ขอรับท่านขุน กระผมได้ยินขอรับ “ ยศพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตกใจเล็กน้อยและดูเหมือนจะร้อนใจอีกด้วยเพราะ
เรื่องที่ตนกับท่านขุนได้ยินนั้นเป็นเรื่องคิดที่จะฆ่า แม่หญิงพิกุลเมียเพียงคนเดียวของท่านขุนเท่านั้น เพราะวันนี้ท่าน ขุนโดนเรียกตัวเข้าวังเพื่อไปพูดเรื่องของแม่นายจันทร์เจ้า
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้
วังหลวง
“ เป็นไงว่ะไอ้ขุนไกร มึงมันไม่มีน้ำยาอย่างที่เสนาบอดี้พูดไว้จริงๆเหรอว่ะ ไหนมึงรองบอกกูมาสิ “ เสียงเข้มของขุนหลวงถามขุนไกรทหารเอกคนสนิทของท่าน แต่คำถามที่ท่านถามนั้นดูไม่ได้จริงจังเท่าใดนัก ขุนไกรเมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็หันหน้าไปมองเสนาบอดี้ผู้ที่เป็นพ่อตาของตน ด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนจะหันมาตอบขุนหลวงด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น
“ หามิได้ขอรับขุนหลวง ข้าพระพุทธเจ้า มิได้เป็นอันใดอย่างที่ท่าเสนาพูดไว้ขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม้ได้คิดอันใดกับแม่นางจันทร์เจ้า ข้าเจ้าเลยมิบังอาจแตะต้องตัวนางให้หม่นหมองได้ พระพุทธเจ้าค่า” ขุนไกรพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขุนหลวงที่รู้จักกับขุนไกรมาตั้งแต่เกิดท่านรู้ดีว่า สิ่งที่ขุนไกรพูดหรือว่าคิดอะไร ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อเสนาได้ยินสิ่งที่ขุนไกรผู้เป็นลุกเขยพูดแบบนั้นเขาก็รู้สึกเสียหน้าและเดือดดานเป็นอย่างมาก เพราะ สิ่งที่ได้ยินมันคือการปฏิเสธลูกสาวที่เป็นที่รักของตนเอง
“ ขุนไกร เจ้า “ เสนาบอดี ทนไม่ได้ที่ลูกเขยพูดแบบนั้นเขาก็เอ้ยเรียกชื่อขุนไกรผู้เป็นลุกเขยทันที แต่ก็ต้องหุบปาก ลงอย่างอัตโนมัติเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเข้ากับ ขุนหลวงที่มองมายังตน
“ ท่านเสนา ท่านใจเย็นก่อน “ ขุนหลวงพูดออกมาด้วยเสียงเข้ม เพราะเห็นท่าทางของท่านเสนาแล้วดูท่าจะโมโหเป็นอย่างมาก เรื่องที่ขุนไกรปฏิเสธลูกสาวของเสนาบอดีไม่ได้ เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแม่ชีแม่ของขุนไกรที่เป็นแม่นมของขุนหลวง และนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ขุนไกรไม่สามารถปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ได้เลย เมื่อขุนหลวงห้ามทัพระหว่างลูกเขยกับพ่อตาเสร็จขุนไกรก็เลยกลับบ้านมาด้วยอารมณ์ที่ดีเพราะเขาได้พูดสิ่งที่เขาอยากพูดมาแล้วตั้งนาน ก่อนจะมาได้ยินเหตุการณ์ที่จันทร์เจ้ากับบ่าวของนางคุยกัน