เตียวหยวนหยวน ร้อนวูบวาบในร่มผ้า แทนที่จะเห็นการ์ดตัวละครของกัวเจิ้งอี้ นางกลับเห็นฉากยามที่เขาสับสะโพกไหวกับสตรีนางหนึ่ง และมันประกอบกลอนของว่าที่แม่สามี ซึ่งเขียนได้อย่างสัปดนที่สุด
ตั้บๆ อ้าๆ ฉีกแข้ง ฉีกขา เขียนตำราพลิกสวรรค์
สามขา สองเต้าหู้ มังกรหมุดถ้ำ โน้มเนื้อ เลือนลั่น
อ๊ะ ฮ้า อี้ๆ ๆ สุขสันต์ฟาดฟันสนั่นปฐพี
และยามนี้ขาที่สามของกัวเจิ้งอี้ เหมือนจะพองขยาย และเตรียมจู่โจมนาง มันใหญ่โตนัก ซึ่งดูเหมือนว่านางไม่อาจสลัดภาพดังกล่าวหลุดทิ้งจากหัวได้ง่ายๆ
“อย่า อย่าเอามันเข้ามาใกล้หม่อมฉัน” เตียวหยวนหยวนเอ่ย และยกมือขึ้นปัดป้องภาพของแท่งหยกกัวเจิ้งอี้
“เอ เจ้าเป็นไข้หรือไม่ เหตุใดใบหน้าถึงได้แดง และมีอาการประหลาดเช่นนั้น”
“ปละ เปล่าเสียหน่อย เป็นเพราะอ๋องเจิ้ง เอาแต่รั้งหม่อมฉันไว้เช่นนี้ ถึงได้กลัวจะไปดูแม่หมูคลอดลูกไม่ทัน”
“อืม เช่นนั้น ให้ข้ารีบไปส่งเจ้าดีหรือไม่”
เอ่ยจบเขาก็ไม่รอให้นางได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างของนางก็ลอยหวือ และไม่ได้ขึ้นรถม้าอันใด หากถูกจับให้นั่งบนม้าตัวโต โดยมีเขาซ้อนอยู่ด้านหลัง
“อ๊ะ...อ้า...”
นางร้องประท้วงได้เท่านั้น เพราะขืนร้องแรงกว่านี้ ความแข็งแรงของเขาคงทำให้นางต้องปลดปล่อยความโล่งสบายออกมาแน่ๆ
ยามนั้นหญิงสาวนึกโกรธเหม่ยหลินที่เขียนเรื่องราวสัปดนได้เก่งกาจนัก ดูเอาเถิดอ๋องเจิ้ง นุ่งกางเกงตัวบาง ส่วนนางมีชุดสีเหลืองงามพริ้งชุ่มน้ำ และยังต้องถูกจับให้นั่งบนหลังม้าตัวเดียวกัน พอเขาควบขี่ม้าห้อทะยานบนพื้นดิน ร่างทั้งสองก็เสียดสีเนื้อตัว เบียดชิดกันให้ต้อง หวิวไหวซาบซ่าน
“อี้...อ๊ะ...อ่า”
เตียวหยวนหยวนร้องอยู่เช่นนั้น และจังหวะของคนที่อยู่ข้างหลังก็เคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ ในบางคราลมหายใจผะผ่าวร้อน มันรินรดหลังตนคอนาง
หญิงสาวขยับห่างจากแผ่นหลังเขา และขยุกขยิกไม่หยุด เป็นช่วงเวลานั้น ที่ม้ากระโจนข้ามก้อนหินใหญ่ นางจึงเกือบพลัดตกลงไป แต่มือใหญ่ๆ รั้งเอวนางไว้ ก่อนที่สัมผัสอุ่นซ่าน ซ่านทั้งจากแผงหน้าอก รวมถึงเป้ากางเกงจะทำให้นางแทบจะทนไม่ไหว
“อ๊ะ...อ๋องเจิ้ง”
“อืม...เอ่อ คุณหนู จะ เจ้าต้องการสิ่งใด แวะข้างทางก่อนดีหรือไม่”
เตียวหยวนหยวนเกือบสิ้นสติเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำ อันแหบพร่าเอ่ยถามนาง!
หญิงสาวไม่ได้หูฝาด และไม่ทันได้ตอบคำถามใดบุรุษที่มีไออุ่นแผ่ซ่านไปทั้งตัว จู่ๆ สายลมพัดผ่านร่างกายจนหนาวสะบั้น ไม่เพียงแค่ลม ทั้งฝุ่น ทั้งเม็ดฝนเล็กๆ พลันตกลงมา
ม้าที่กัวเจิ้งอี้ควบไปนั้น ถูกเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ก่อนเปลี่ยนเส้นทางอย่างกะทันหัน ไม่ได้ไปที่โรงเลี้ยงสกุรของสกุลเตียว
“เอ อ๋องเจิ้น ทะ ท่านจะไปที่ใด”นางถามด้วยความสงสัย ยามนั้นหัวสมองหมุนติ้ว ก่อนจะเห็นภาพเหตุการณ์ต่อมา ซึ่งชวนจั๊กจี้อย่างที่สุด
“คุณหนูฝนตกหนักเหลือเกิน หลบพักที่กระท่อมข้างหน้าดีหรือไม่”
“ละ แล้วหมูของหม่อมฉันเล่า”
ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมาคำโต และเอ่ยว่า “ให้สาวใช้ไปดูเถิด อีกทั้งรองแม่ทัพ และทหารที่มีความรู้ด้านนี้อีกหลายคน ล้วนกำลังเดินทางไปสมทบ”
“อ๋องเจิ้ง ท่านหมายความเยี่ยงใด!?”
ต้าหยวนสับสนเล็กน้อย เมื่อบทในตอนนี้หายจากสิ่งที่นางรู้ ดูเหมือนคนเขียน ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียด อีกทั้งจงใจจะให้พระเอกกับนางร้าย มุ่งเข้าหาเรื่องคาวโลกีย์ เพื่อสนองความต้องการคนอ่านที่รอลุ้นเรื่องวาบหวิวอยู่ ด้วยนิยายเรื่องนี้ ว่าที่แม่สามีเขียนแบบกระดิกนิ้วเรียกทุกคนเข้าสู่เนื้อหา 25+ นั่นคือสิ่งที่ต้าหยวนรับรู้อยู่เต็มอก
“หลบที่กระท่อมข้างหน้าก่อนเถิด เสื้อของคุณหนู เปียกหมดแล้ว”
เมื่อเขาเอ่ยจบ นางก็รู้ตัวว่าหลังจากนี้นางคงต้องเนื้อตัวอ่อนระทวย และถูกกัวเจิ้งอี้ ลงลิ้น และนาบแท่งหยกกับกายสาวที่งดงามผู้นี้เป็นแน่ ซึ่งระหว่างที่นางคิดหาทางเอาตัวรอด สายฝนก็ตกลงมาจนลืมตามองแทบไม่เห็นสิ่งใด
ในกระท่อมหลังเล็ก มีเชื้อเพลิง และเสื้อผ้าของคนล่าสัตว์อยู่ ซึ่งทั้งสะอาด และยังเนื้อผ้าไม่หยาบระคายผิว
“เปลี่ยนเสียเถอะ ข้าจะหันหลังให้เจ้า รับรองไม่เสียมารยาทกับสตรี”
เขาว่าแล้วจึงก้าวไปเติมฟืน ที่เตาผิงกลางกระท่อมหลังเล็ก กระทั่งเตียวหยวนหยวนก้าวมาอยู่ข้างๆ นางก็รู้สึกว่า ร่างกายนี้กำลังถูกเขาดึงดูดเข้าหา
“หม่อมฉันรู้สึกปวดหัว และยังหนาวด้วย” นางบอกอย่างไม่ปิดปัง ยามนี้เนื้อตัวนางไม่ได้มีอาการเหมือนคนเป็นไข้ ทว่ากับมีความรู้สึกต้องการบางอย่าง ราวกับถูกกระตุ้นด้วยแรงสิเน่หาของบุรุษ
ดวงตากลมโตมองไปยังแผงหน้าอกกว้าง และหน้าท้องแกร่ง กัวเจิ้งอี้เปลือยกายท่อนบน ด้วยแสงที่มีจำกัดในกระท่อม อีกทั้งบรรยากาศเป็นใจยิ่ง นางจึงหายใจ หายคอไม่สะดวกเอาเสียเลย
“ข้าอุ่นสุราหมักผลไม้เอาไว้ ดื่มคลายหนาวสักหน่อย ดีหรือไม่”
นอกจากสุรา กัวเจิ้งอี้ยังมีเนื้อกวางตากแห้ง ดูเหมือนกระท่อมหลังนี้ จะเป็นเรือนรับรองของนางกับเขา มากกว่าที่หลบฝน
“เมื่ออ๋องเจิ้งเสนอ สาวงามก็ไม่เกรงใจ”
นางว่าจบจึงยกจอกสุราของตนขึ้นจิบ จิบเพียงรู้รส แต่ความร้อนวูบวาบไหลแล่นผ่านลำคอสู่ท้องน้อย หญิงสาวทั้งแปลกใจ ทั้งซาบซ่านจนต้องรีบหนีบต้นขาเขาหากัน พอเบียดชิด นางก็เกิดความต้องการในเรื่องที่ชายหญิงพึงมีต่อกัน
“สุรานี้ มีสิ่งแปลกปลอมหรือไม่”
“เอ... เจ้าคงไม่ได้หมายความถึงพิษ... ราคะ!”
กัวเจิ้งอี้เอ่ยแล้วจึงบีบขมับของตน และสลัดความร้อนวูบวาบที่เกิดขึ้นกับร่างกาย มิต่างจากนาง
“คุณหนูคิดมากเกินไป ข้าหรือจะทำเช่นนั้น อีกอย่างสุราผลไม้ ยามอุ่นให้ร้อน มีผลต่อร่างกายเช่นนี้ คือเลือดไหลเวียน และรู้สึกสบายตัว”
“ก็ในนิยาย เอ่อ กระท่อมหลังนี้ มันมีหลายสิ่งเตรียมพร้อมเกินไป”
“ฮ่าๆ ๆ นั่นเป็นเพราะข้าให้องค์รักษ์เงาเตรียมเอาไว้ให้ยามล่าสัตว์ หรือต้องใช้ชีวิตปลีกวิเวกจากค่ายทหาร”
“ถึงอย่างนั้นก็ตาม เหตุใดถึงได้รู้สึกแปลกพิกล”
ต้าหยวนว่าจบ นางก็ลูบลำคอตน ลูบแล้วมือเรียวสวยเผลอไปแตะที่เนินหน้าอก หากนางเลื่อนลงไปอีกนิด คงเป็นยอดปลายถันของนางที่ตังชี้ชันในร่มผ้า
“อ๊ะ... หม่อมฉันไม่สบายตัวเหลือเกิน”
นางว่าเสียงกระเส่า จากนั้นจึงคว้าเนื้อแห้งที่เขาย่างหอมๆ เข้าปาก เนื้อมีรสชาติดี ปรุงด้วยเกลือ พริกไทย และน้ำมันงา ยิ่งเคี้ยวนางยิ่งเพลิน โดยหารู้ไม่ว่าท่าทางของนางกำลังยั่วยวนกัวเจิ้งอี้
“มีใครบอกเจ้าหรือไม่ เวลาเจ้ากิน ช่างเร่าร้อนเหลือเกิน”
เตียวหยวนหยวนฟังชายหนุ่มพูดตาโต ก่อนแลบลิ้นเรียวของตน แล้วเลียริมฝีปากล่างเต็มอิ่ม ช้าๆ กิริยานั้น เรียกร้องบุรุษอย่างกัวเจิ้งอี้นัก
“อ๋องเจิ้ง ฝนลงเม็ดหนักเช่นนี้ กว่าจะหยุดคงอุดอู้อยู่ที่นี่ นานทีเดียว”
“ไม่อุดอู้สักนิด สุรา อาหารมีพร้อม นารีงามก็อยู่เคียงข้าง”
“เอ่ยเช่นนั้น อ๋องเจิ้งกำลังทำให้หม่อมฉันลำบากใจ”
“ฮ่าๆ ๆ อย่าคิดมาก ข้าเพียงหาเรื่องพูดคุยเพื่อให้เจ้าคลายกังวล”
เป็นยามนั้นที่ต้าหยวนรู้สึกขอบคุณเขา บุรุษรูปงามผู้นี้ นับว่ามีความดีอยู่บ้าง
จากนั้นต้าหยวนจึงหยิบชิ้นเนื้อเข้าปากอีกชิ้น แต่ไม่ทันได้กลืน นางต้องขวัญเสียเมื่อเกิดเสียงฟ้าผ่าดังกึงก้อง
ร่างทรงเสน่ห์ผวาเข้าไปกอดกัวเจิ้งอี้ นางไม่ได้กอดเปล่ายังบีบกล้ามเนื้อแน่นๆ ของเขาเสียด้วย
ไอร้อนจากกายแกร่ง และความนุ่มนิ่มของสองก้อนเต้าหู้นางส่งผลให้กัวเจิ้งอี้ มิอาจทนต่อไฟราคะ
“หยวนหยวน ข้าเรียนรู้ตำราพลิกสวรรค์มามิน้อย เพียงแต่เจ้า โอนอ่อนผ่อนตาม รับรองว่าเราจะอภิรมย์อย่างหวานชื่น ราวกับได้ท่องแดนสวรรค์!”