8.ล้ำเส้นแล้วไง

2017 คำ
ณ บริษัท MRB อินเตอร์ไพร์สกรุ๊ป “แดนเทพ....นี่นายล้ำเส้นฉันไปหน่อยไหมวะ.......” นพเก้าเปิดประตูห้องทำงานของแดนเทพเข้ามาแล้วโวยวายเสียงดังเลย “อ่อ ผมพยายามห้ามคุณนพแล้วนะครับ แต่เขาดึงดันจะเข้ามาให้ได้..” สารินรีบพูดไปเมื่อแดนเทพเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตานิ่งๆแบบนั้น “นายออกไปก่อน ฉันจัดการเอง...” แดนเทพตอบคนสนิทของเขาไปแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองหน้านพเก้าลูกพี่ลูกน้องที่ชิงดีชิงเด่นกับเขามาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าเขาได้อะไรมันก็อยากได้อย่างนั้น โดยเฉพาะตำแหน่งประธานบริษัทนี้ “นายเข้ามาโวยวายแบบนี้มีอะไรก็พูดมา ฉันไปล้ำเส้นอะไรนาย...” แดนเทพถามไปแล้วเขาก็เอนตัวพิงเก้าอี้ไปแบบสบายๆ แต่สายตาที่มองไปที่นพเก้ากลับดุดันมาก “นายรับนักเขียนเข้ามาโดยไม่ผ่านฉันอย่างนี้มันข้ามหน้าข้ามตาฉันเกินไปแล้วนะ แบบนี้คนอื่นเขาจะมองฉันยังไง...นายอยู่โซนบริหารก็บริหารไปสิ จะมายุ่งอะไรกับเรื่องนักเขียนวะ” นพเก้าพูดไปแล้วมองแดนเทพแบบไม่พอใจ “หึ อย่างแรกเลยนะที่ฉันจะต้องบอกนายให้จำเอาไว้ขึ้นใจ ว่าฉันคือประธานบริษัทนี้ การที่นายเข้ามาโวยวายกับฉันแล้วพูดจาแบบนี้มันไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง...นายเป็นถึงผู้อำนวยการแล้ว นายต้องหัดรู้จักมีมารยาททางสังคมด้วยนะ...ว่านายควรจะพูดกับฉันยังไง ที่นี่คือบริษัทไม่ใช่ที่บ้าน...นายต้องเคราพฉันในฐานะเจ้านายของนาย...” แดนเทพพูดสั่งสอนนพเก้าไปแบบเรียบๆแต่เจ็บจี๊ดทุกคำ นพเก้าได้ยินแบบนั้นก็กัดฟันขบกรามแน่นอย่างข่มความโกรธของเขาไว้ แล้วเขาก็มองแดนเทพแบบจดจ้องเลย เพราะถ้ามันไม่ใช่หลานชายที่เกิดกับลูกชายคนแรกของตระกูล มันก็คงไม่ได้มานั่งชูคออยู่แบบนี้หรอก ต่อให้มันจะเก่งแค่ไหนก็เถอะ “งั้นนายก็คงจะรู้ว่านายไม่ควรมายุ่งกับงานของฉัน เรื่องนิยายและนักเขียนมันอยู่ในส่วนที่ฉันดูแลอยู่ นายไม่ควรเอาใครเข้ามาโดยที่ไม่บอกฉัน...เป็นถึงท่านประธาน นายก็ควรจะรู้นะว่างานไหนที่นายควรยุ่งไม่ควรยุ่ง...หรือว่านักเขียนคนนั้นใช้เต้าไต่ นายถึงได้รับเข้ามาเป็นนักเขียนแล้วประเคนเงินเดือนให้เยอะขนาดนั้น...” นพเก้าพูดด้วยเสียงและสายตาท้าทายแบบไม่เกรงกลัวใดๆ “หึ..ที่ฉันต้องยุ่งเพราะนายไม่ได้มีความรู้ด้านนิยายหรือนักเขียนเลยสักนิด นายเอาแต่ให้ลูกน้องทำงานให้ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ...ถ้าฉันปล่อยให้นายทำต่อไปแบบนี้ บริษัทของฉันก็คงขาดทุนย่อยยับน่ะสิ...และก่อนที่นายจะว่าคนอื่นใช้เต้าไต่เข้ามาทำงานที่นี่ นายก็อย่าลืมว่าที่ได้เป็นผู้อำนวยการอยู่ที่ฝ่ายบรรณาธิการได้ก็เพราะพ่อฉันให้ตำแหน่งนี้กับนาย...ก่อนจะว่าคนอื่น...นายก็หัดดูตัวเองด้วย...” แดนเทพพูดไปแบบไม่ไว้หน้า เพราะมันรู้ทั้งรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับฝ่ายนี้มาก แต่มันก็กล้าไปขอพ่อของเขาเพื่อจะได้ตำแหน่งนี้มา “คนอื่นเข้าเข้ามาเพราะความสามารถที่ฉันเห็น แต่นาย..นอกจากจะเข้ามาแบบไม่มีความสามารถแล้ว ยังไร้ประโยนช์อีกด้วย” แดนเทพพูดเสริมไปอีกแล้วเขาก็มองหน้านพเก้าไป “แดนเทพ มันจะเกินไปแล้วนะโว้ย...อย่าคิดว่าแกเก่งอยู่คนเดียวสิวะ...แกคอยดูเลย ฉันจะหานักเขียนที่เก่งกว่าคนของแกให้ดู ดูสิว่าสายตาของฉันกับแกใครมันจะเจ๋งกว่ากัน....” นพเก้าขี้หน้าใส่แดนเทพแล้วเขาก็เดินหันหลังออกมาไปจากห้อง พร้อมกับปิดประตูห้องของแดนเทพอย่างแรง ทำให้สารินรีบเปิดประตูเข้ามาเพราะคิดว่าทั้งสองหนุ่มคงมีเรื่องปะทะคารมณ์กันอีกแน่ๆ เพราะตั้งแต่ที่นพเก้าเข้ามาทำงาน ก็มักจะมีปัญหาแบบนี้อยู่เสมอ “เมื่อไหร่มันจะโตสักที..จะทำตัวแบบนี้ไปถึงไหนกัน...” แดนเทพบ่นไปอย่างอดไม่ได้ เพราะนพเก้าจะเอาชนะเขาท่าเดียวเลย “คุณนพเขามาหาเรื่องเจ้านายอีกแล้วเหรอครับ...ครั้งนี้เรื่องอะไรอีกล่ะครับ” สารินเดินเข้ามาถามอย่างอยากรู้ "เรื่องที่ฉันรับวทนิกาเข้ามาทำงานน่ะ มันบอกว่าฉันรับคนข้ามหน้าข้ามตาไม่บอกมัน...ไร้สาระสิ้นดี...ต่อไปมันคงจะพุ่งเป้าไปที่วทนิกา...ถ้ามันรู้ว่าฉันจ้างวทนิกามาเพราะอะไร มันคงทำแบบที่ผ่านมา...นายปกปิดเรื่องเงินสิบล้านที่ฉันให้วทนิกาเรียบร้อยใช่ไหม” แดนเทพพูดไปแบบนั้น เพราะเขาใกล้ชิดผู้หญิงคนไหน นพเก้าก็จะไปยุ่งกับคนนั้น เพื่อจะได้ตัวผู้หญิงของเขาไป “ครับคุณแดน...คุณนพเก้าไม่มีทางรู้เรื่องเงินสิบล้านนี้แน่นอนครับ...” สารินพูดไปแบบมั่นใจเพราะเขาไม่ได้ใช้เงินของบริษัท แต่เข้าใช้เงินของแดนเทพไปต่างหาก ดังนั้นใครจะมารับรู้ล่ะ นอกจากพวกเขาและวทนิกา “อืม...เรื่องที่จะให้วทนิกาไปอยู่ที่คอนโดของฉัน ฉันเปลี่ยนใจแล้ว...นายหาคอนโดใหม่ให้ผู้หญิงคนนี้ที ฉันจะไปๆมาๆแทน...คนอื่นๆจะได้ไม่รู้ความสัมพันธ์ของฉันกับวทนิกา....” แดนเทพพูดบอกไป เพราะคอนโดที่เขาอยู่ประจำนี้คนในครอบครัวและคนสนิทรู้หมด ดังนั้นถ้ามีใครไปหาเขาก็ต้องเจอกับวทนิกา และถ้าเขาจะเอาเธอมาเป็นนางบำเรอ เขาก็ควรจะมีรังรักสำหรับเธอสิ “ได้ครับ...ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยครับ...งั้นขอตัวก่อนนะครับ...” สารินได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าอึ้งทันที หาคอนโดใหม่ตอนนี้แล้วเข้าอยู่วันพรุ่งนี้เลย ตายๆ เขาจะไปหาจากที่ไหนล่ะเนี่ย “อืม...” แดนเทพพยักหน้าตอบไป สารินก็รีบเดินออกไปทันที เพราะงานใหญ่ของเขากำลังมาแล้ว... ส่วนแดนเทพก็ทำหน้าครุ่นคิดออกมาเพราะเขากำลังคิดว่า ถ้าวันหนึ่งนพเก้ารู้ถึงความสัมพันธ์ของเขาและวทนิกาแล้ว วทนิกาจะเป็นเหมือนผู้หญิงของเขาที่ผ่านมาไหม เพราะทุกคนที่เจอคารมณ์ของนพเก้าก็มักจะตกหลุมพรางแล้วทรยศเขาทั้งนั้น ดังนั้นเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นแบบไหน... วันต่อมา....เวลา 9.30 น. สารินก็ไปรอรับวทนิการตามที่อยู่ที่เธอให้มา ซึ่งเป็นตึกแถวคูหาซึ่งด้านล่างเปิดร้านทำผมที่ตกแต่งแบบสวยงามเลย “นี่ใช่ไหมที่จะมารับเพื่อนของฉันน่ะ...” พัชราเดินออกมาจากร้านทันทีที่เห็นผู้ชายคนนี้ลงมายืนรอข้างๆรถ เธอก็เลยรีบออกมาดูหน้าคนที่จะเอาเพื่อนของเธอไปเป็นนางบำเรอสักหน่อย พอมาดูใกล้ๆเธอก็คิดในใจทันทีเลย นี่หล่อของยัยเนยแล้วเหรอเนี่ย.. “ใช่ครับ...ไม่ทราบว่าคุณวทนิกาอยู่ไหนครับ...พอดีผมนัดกับเขาไว้ตอนเก้าโมงครึ่งน่ะครับ...” สารินตอบไปแบบสุภาพด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวก็ลงมาแล้วค่ะ...หน้าตาของคุณก็ไม่ได้ดูเจ้าเล่ห์เลยนะคะ ทำไมถึงใจร้ายกล้าหลอกเพื่อนฉันไปเป็นนางบำ...อื้อ...” พัชราเอามือกอดหน้าอกแล้วมองชายตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าก็พูดออกไปแบบอดไม่ได้ แต่ก็ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกมือของใครบางคนเข้ามาปิดปากไว้ซะก่อน “อ่อ อย่าไปสนใจที่เพื่อนฉันพูดเลยนะคะคุณสาริน....เพื่อนฉันพูดไปเรื่อยน่ะค่ะ..ยัยแพท นี่คุณสาริน เลขาของท่านประธานที่ฉันจะไปทำงานด้วยน่ะ...” วทนิกาเดินออกมาแล้วได้ยินเพื่อนสาวพูดแบบนั้นก็รีบเข้ามาห้ามทันที เพราะเธอเซ็นสัญญาไปแล้วว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกเธอและเขา ดังนั้นเพื่อนเธอจะปล่อยโป๊ะตอนนี้ไม่ได้นะ เธอเลยต้องรีบบอกเพื่อนสาวไปแล้วขยิบตาให้แบบส่งสัญญาณไป “อื้อ...อือ...อ่อ...เลขาของท่านประธานนี่เอง..ก็ว่าอยู่ทำหน้าหน้าตาไม่เห็นหล่อแบบที่แกบอกเลย..” พัชราพูดบอกไปแบบเนียนๆอย่าลืมตัว จนวทนิกาทำหน้าตกใจเลย “หึ..? อะไรนะครับ...หน้าตาไม่หล่อแบบที่บอก ใครบอกครับ..” สารินก็ทำหน้างงๆออกมา แล้วก็พยายามจับใจความได้ว่าเขาหน้าตาไม่หล่อเท่ากับท่านประธานงั้นเหรอ “ยัยแพทพ แกหุบปากไปเลย อยู่เงียบๆ...อ่อ ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพื่อนฉันสติสตางค์ไม่ค่อยดีน่ะค่ะ ชอบพูดเองคนเดียว” วทนิกาพูดไป จนพัชรานั้นหันหน้ามามองหน้าเพื่อนสาวทันที แต่ก็ต้องยอมเพราะเพื่อนสาวสงสายตาบอกให้เธอยอม “ไม่เป็นครับ...นี่กระเป๋าของคุณมีแค่ใบเดียวเหรอครับ” สารินพยักหน้าเข้าใจแล้วเขาก็เปลี่ยนคำถามไป “ใช่ค่ะ แค่ใบเดียวค่ะ คุณสารินเอาขึ้นรถเลยก็ได้ค่ะ ฉันขอคุยกับเพื่อนฉันแบบส่วนตัวแปปนึงนะคะ” วทนิกาพูดไปก็รีบจับมือเพื่อนสาวเดินมาหน้าร้านของเธอทันที เพราะตรงนี้สารินคงไม่ได้ยินแล้ว เพราะเขากำลังยกกระเป๋าไปใส่ที่ท้ายรถแล้ว “ยัยแพท แกเกือบทำให้ฉันซวยแล้วนะ ในสัญญาบอกว่าฉันห้ามให้ใครรู้เรื่องสัญญานี้ เพราะฉะนั้นต่อไปแกห้ามเผลอพูดแบบนี้กับใครอีก...เข้าใจไหม...” วทนิกาพูดกำชับกับเพื่อนสาวไปแบบจริงจัง “โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว เมื่อกี้ฉันขอโทษ ฉันลืมตัวไปหน่อยอ่ะ...เฮ้อ แกจะไปแล้วแบบนี้ฉันก็ใจหายอ่ะ...แกต้องดูแลตัวเองดีๆนะเนย...ถ้าเขาทำร้ายแกแกรีบโทรมาหาฉันนะ ฉันจะรีบไปช่วยแกเลย..” พัชราพูดไปแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่อยากให้เพื่อนสาวไป ด้วยความห่วงและความกังวลต่างๆที่เธอกลัวว่าเพื่อนสาวจะต้องไปเจออะไรบ้าง “อืม...เขาไม่ได้จะพาฉันไปซ่าไปแกงนะแก แล้วฉันก็มีวิธีเอาตัวรอดน่า แกไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเดี๋ยวว่างๆฉันจะมาหา...พรึบ....แกก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะ ” วทนิกาพูดบอกไปแล้วก็เข้าไปโอบกอดเพื่อนสาวทันที “อืม...แกก็เหมือนกันนะเนย...” พัชรากอดเพื่อนสาวแล้วน้ำตาคลอดเบ้าเลย เธอไม่คิดว่าเธอจะต้องมาส่งเพื่อนสาวให้ไปเป็นนางบำเรอของใครแบบนี้ คอยดูนะ เธอจะรีบหาเงินแล้วไปช่วยปลดปล่อยเพื่อนของเธอจากสัญญาบ้าๆนี่ให้ได้... จากนั้นสองสาวก็ล่ำรากันเรียบร้อย วทนิกาก็ขึ้นรถไปกับสารินและเขาก็พาเธอมุ่งตรงไปยังที่พักของเธอที่จะต้องอยู่หลังจากนี้ไปอีกห้าปี วทนิกาคิดไปแล้วก็ทำหน้าเศร้าออกมา เพราะเอาเข้าจริงเธอก็ยังทำใจไม่ได้หรอกที่จะต้องไปเป็นนางบำเรอให้ใครก็รู้ที่เธอเจอหน้าเพียงแค่ครั้งสองครั้งแบบนี้ ต่อให้เขาจะหล่อดูดีแค่ไหน แต่เขาก็ยังเป็นซาตานอยู่ดี...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม