หลายราตรีผันผ่าน
ในที่สุดหยวนจงก็ได้กลับเข้าเมืองหลวง
แสงตะวันยังคงร้อนแรง แต่หนทางจากปลายเท้าเข้าวังหลวงเหลืออีกไม่ไกลเท่านั้น ไม่ถึงสองชั่วยามก็สามารถเข้าวังไปรายตัวได้แล้ว
หากแต่หยวนจงกลับไม่ทำ เพราะในระยะไม่กี่ลี้จากนี้ คือโรงเตี๊ยมร้อยห้องที่เขาต้องผ่านทาง
เสียงทุ้มต่ำของแม่ทัพหนุ่มจึงดังออกมา
“เข้าพักที่โรงเตี๊ยมข้างหน้า”
“หา!”
รองแม่ทัพที่ติดตามพากันอุทาน
“อีกหนึ่งชั่วยามสามเค่อก็เข้าวังหลวงแล้วนะขอรับ”
“ข้าเหนื่อยแล้ว”
“...”
หยวนจงตอบแค่นั้น ก่อนพาร่างสูงใหญ่เดินไปเรื่อยๆ
“พักก่อน แล้วเดินทางต่อ นี่คือคำสั่ง”
“...”
จบคำของแม่ทัพหนุ่ม รองแม่ทัพกับหัวหน้ากองต่างหันมองหน้ากันไปมาด้วยสีหน้าเหลอหลา ไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่า ท่านแม่ทัพจะพาเดินทางอ้อมเมืองทำไม แล้วเหตุใดต้องเข้าพักทั้งที่ยังไม่พลบค่ำ
แต่สงสัยไปก็เท่านั้น มิสู้เข้าพักแล้วสั่งอาหารเลิศรสมากินให้อิ่มท้อง แล้วนอนหลับให้สบายดีกว่า
เบื้องหน้าของเหล่าทหารคือโรงเตี๊ยมร้อยห้อง ซึ่งแท้จริงแล้วมีเพียงยี่สิบห้อง อีกแปดสิบห้องยังไม่มี และชื่อนี้ก็ตั้งเอาไว้เพื่อรองรับภายภาคหน้าก็เท่านั้น
เมื่อทุกคนเดินเข้ามายังโรงเตี๊ยม สิ่งแรกที่เห็นก็คือหลงจู๊ตัวโตหน้าตาเหี้ยมโหดคอยต้อนรับ
เหล่าทหารพากันผงะถอยหลังไปถึงสองก้าว ก่อนจะพากันเดินเข้าด้านในด้วยหัวใจเต้นแรงโครมครามประหนึ่งเจอสาวงามเปลื้องผ้า
หลังจากนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยดีแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็เดินเข้ามาบริการด้วยท่าทางปราดเปรียวผิดกับรูปลักษณ์ที่ตัวใหญ่กล้ามแน่นหน้าดุ
เหล่าทหารพากันผงะอีกครา มิคาดว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีลูกน้องน่ากลัวเหลือเกิน
“ที่นี่มีอาหารใดขึ้นชื่อบ้าง” รองแม่ทัพเผิงเอ่ยถามด้วยท่าทางห้าวหาญกร้าวแกร่ง หมายข่มขวัญเสี่ยวเอ้อร์ผู้น่ากลัว
“อาหารของที่นี่รสเลิศทุกอย่างขอรับนายท่าน” เสี่ยวเอ้อร์ตอบอย่างนอบน้อม น้ำเสียงทุ้มนุ่ม ผิดกับหน้าตาท่าทาง
พาเอาเหล่าทหารลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อาการตัวเกร็งหายไปทันที
หยวนจงที่นั่งนิ่งตรงหัวโต๊ะเพียงกวาดสายตาคมเข้มมองไปทั่วโรงเตี๊ยม เห็นมีคนงานรูปร่างสูงใหญ่แผ่กลิ่นอายดำทะมึนเต็มไปหมด เขาไม่แปลกใจเลยสักนิดกับลักษณะของคนงานที่นี่
เพราะทุกคนล้วนเป็นสมุนของสำนักหมื่นโลกันต์ ที่ได้รับคำสั่งว่าให้ช่วยกันดูแลโรงเตี๊ยมแห่งนี้
โดยมีเถ้าแก่เนี๊ยนามว่าฟางหลันเป็นเจ้าของ
ดวงตาของหยวนจงทอประกายชั่วร้าย มุมปากยกยิ้มร้ายกาจทันที ยามมองหาเถ้าแก่เนี๊ยคนงาม
นามว่าฟางหลัน
เวลาผ่านไปราวครึ่งเค่อเท่านั้น
อาหารหอมกรุ่นก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะอย่างนุ่มนวลโดยฝ่ามือหนาของเสี่ยวเอ้อร์กล้ามใหญ่
ทุกถ้วยล้วนสวยงามน่ากิน เมื่อได้ลิ้มรสก็ให้รู้สึกติดใจ รสชาติดีทุกอย่าง
รองแม่ทัพและหัวหน้ากองพากันกิน ไม่เงยหน้าจากถ้วยเลยทีเดียว
“ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านแม่ทัพจึงต้องการมาพักที่นี่ อาหารของเขาเลิศล้ำไม่เบา”
หัวหน้ากองเอ่ยชมทั้งๆ ที่ข้าวเต็มปาก
“จริงแท้ รสชาติดียิ่ง” รองแม่ทัพอีกคนชมบ้างตามด้วยซดน้ำแกงเสียงดัง
ริมฝีปากของหยวนจงพลันยกโค้งมากกว่าเดิม เขารู้สึกภูมิใจยิ่ง ประหนึ่งสามีกำลังรับคำชมแทนภรรยา
ในขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหาร เสียงดังโครมครามพลันดังมาจากทิศหนึ่งของโรงเตี๊ยมด้านใน
เพียงชั่วอึดใจเดียว ก็มีชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งถูกโยนออกมาอย่างไร้ปรานี ตามด้วยเสียงหวานตวาดก้องว่า
“พามันผู้นี้ออกไป อย่าให้เข้ามาเหยียบที่นี่อีก มิเช่นนั้นข้าจะจับมันตอนเสีย!”
เหล่าทหารพากันหันมองอย่างตกใจจนตะเกียบเกือบหลุดมือ ลูกค้าที่นั่งอยู่ถัดไปไม่กี่โต๊ะก็ตกใจไม่แพ้กัน
ส่วนหยวนจงเพียงเงยหน้าขึ้นมองเงียบๆ
ชายหนุ่มผู้ที่ถูกโยนออกมานั้น มีสภาพย่ำแย่มาก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาบวมเป่ง ริมฝีปากมีรอยเลือดซึม
เขาพยายามลุกขึ้นด้วยท่าทางอ่อนแรง ยามเอ่ยเสียงกดต่ำด้วยความลำบาก
“เจ้า...เจ้า” เขาเอ่ยได้แค่นั้น พยายามลุกขึ้นมองผู้ที่โยนเขาออกมาอย่างไม่ไยดี “เจ้า...” เสียงสั่นเหลือเกิน มิรู้ได้ว่าโกรธหรือเจ็บ หรือว่าอับอายกันแน่
เพียงชั่วครู่ เจ้าของเสียงหวานก็เดินตามออกมา พาชุดสีแดงพลิ้วไหวโผล่พ้นมุมห้อง เผยใบหน้างดงามสะดุดตา
นางเป็นสตรีร่างระหง เป็นโฉมสะคราญปานล่มเมือง ดวงตาเรียวยาวโดดเด่นแต่ทอประกายดุร้าย นางยกมือขึ้นกอดอกเชิดหน้าคำรามต่อว่า “ข้าทำไม หือ...ข้าทำไม...”
นางหรี่ตาลากเสียงยาวพร้อมสืบเท้าย่างสามขุมเข้าใกล้ แผ่กลิ่นอายอันตรายคุกคามไปทั่วบริเวณ
นัยน์ตาของชายผู้นั้นฉายแววหวาดหวั่น แต่ยังคงทำใจดีสู้เสือ ตั้งท่าจะเดินเข้าหาแล้วฟาดฝ่ามือใส่
หญิงสาวเพียงยืนนิ่งเชิดหน้ารอปะทะ ไร้ท่าทีกลัวเกรงใด
แต่ทว่าเสี่ยวเอ้อร์ตัวใหญ่กลับพุ่งปราดเข้ามา แล้วจับกระชากชายผู้นั้นเหวี่ยงกระเด็นออกนอกประตูโรงเตี๊ยมไป
“อ๊า...” เสียงของมันลอยไปกับสายลมแล้วถูกแสงแดดกลืนหายในที่สุด
“ไอ๊หยา!” หลงจู๊หน้าโหดอุทานเสียงดังยามเดินเข้าหาสตรีชุดแดงแล้วโอดครวญ
“หัวหน้าฟางหลันทำร้ายลูกค้าอย่างนี้มิได้นะขอรับ มันผู้นั้นเป็นคุณชายเงินถุงเงินถังเชียว เสียดายๆ”
“หึ!” ฟางหลันแค่นเสียงไม่พอใจ
“อาหวู่นะอาหวู่ แทนที่เจ้าจะบ่นว่าข้า เจ้าช่วยไปดูป้ายหน้าร้านที ว่ามันมีตัวอักษรใดบอกว่าที่นี่เป็นหอนางโลมบ้าง มันผู้นั้นถึงได้กล้ามาเกี้ยวข้า บังอาจนัก!”
“โธ่เอ๋ย!” หลงจู๊นามว่าอาหวู่ส่งเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่ยินยอม
“มิรู้หรือไรว่าโรงเตี๊ยมในเมืองนี้ ต่างก็มีสาวงามคอยบริการลูกค้าด้วยกันทั้งนั้น สาวงามเหล่านั้นยังสะคราญโฉมไม่ถึงครึ่งของหัวหน้าฟางหลันเสียด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดมิใช้มารยาให้เป็นประโยชน์เล่า ท่านหัวหน้างดงามถึงเพียงนี้ มีบุรุษมาเกี้ยวพานับว่าเป็นเรื่องธรรมดา หากข้างามเช่นท่าน ข้าจะไม่ปฏิเสธชายใดเลย โอ๊ย!”
ประโยคยาวเหยียดยังไม่ทันสิ้น อาหวู่ก็ถูกจับทุ่มพื้นห้องเสียงดังโครม ตามด้วยถูกผ้าผืนยาวคล้ายงูใหญ่เข้ารวบร่างแกร่ง แล้วม้วนตัวหลายตลบ จนกลายเป็นขนมจ้าง อึดใจก็แขวนค้างกับขื่อห้องโถง
อาหวู่ได้แต่ร่ำไห้อย่างเจ็บปวด มิใช่ว่าเจ็บตัว แต่กำลังเจ็บหัวใจ
เพราะมันเริ่มเห็นเค้ารางรำไรว่า ความเจ๊งของโรงเตี๊ยมแห่งนี้กำลังกล้ำกรายเต็มที
เหตุเพราะเถ้าแก่เนี๊ยคนงาม ช่างร้ายกาจเหลือเกิน
ฟางหลันเห็นใบหน้าโหดเหี้ยมของอาหวู่ที่กำลังแสดงออกมาว่ารวดร้าวปานนั้น จึงถอนหายใจหนึ่งทีแล้วปล่อยตัวลงมาอย่างใจดี ทำให้อาหวู่ซาบซึ้งใจนัก
หญิงสาวมองหน้าหลงจู๊ของตนอย่างปลดปลง มิใช่ว่านางจะไม่ตระหนักถึงความกังวลใจของอาหวู่ นางเองก็มิได้ต้องการให้โรงเตี๊ยมอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้
แต่นางมั่นใจว่าชอบงานด้านนี้ นางจึงต้องการทำให้ดี
จริงๆ นะ
เสียงของอาหวู่ยังคงลอยมากับสายลมให้ฟางหลันได้ยิน
“ที่นี่มิใช่สำนักหมื่นดาราที่ท่านหัวหน้าจะใช้ความโหดร้ายดูแลปกครองเช่นกาลก่อนนะ” จบคำก็วิ่งหนีไปราวกับลูกธนูแล่นออกจากแหล่ง
หากแต่ก็หาได้พ้นเงื้อมมือของฟางหลันไม่!
หญิงสาวปล่อยผ้ายาวอันเป็นอาวุธร้ายประจำกายออกไปรัดตัวอาหวู่เอาไว้ แล้วแขวนที่ขื่อดังเดิม ก่อนจะเดินหายเข้าไปทางโรงครัวทันใด
หลงจู๊ร่างใหญ่ทำได้แค่ร่ำไห้อีกครั้ง เสี่ยวเอ้อร์ทำได้เพียงคอยปลอบใจลูกค้า ว่าไม่มีอะไร ไม่มีอะไร แค่ล้อเล่นกันเท่านั้น
หยวนจงยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม เขาเห็นทุกสิ่ง สายตาดำขลับทอประกายหวามไหวอย่างไม่อาจควบคุมได้
“อ่า...น่ากลัวจริงๆ” รองแม่ทัพเผิงบ่นออกมา “เถ้าแก่เนี๊ยของที่นี่ช่างร้ายกาจนัก หากเป็นที่อื่นนะ เถ้าแก่เนี๊ยแทบจะนั่งตัก ป้อนเหล้าเข้าปากให้ลูกค้าด้วยซ้ำ อุ๊บ!”
ยังมิทันจบประโยค ถั่วในถ้วยบนโต๊ะก็ถูกยัดเข้าไปจนเต็มปากของผู้พูด
หยวนจงละฝ่ามือที่กำลังป้อนถั่วให้ลูกน้องทั้งถ้วย แล้วลุกขึ้นเดินหายไปทางโรงครัวอีกคน
ภายในโรงครัวของโรงเตี๊ยม
ฟางหลันเข้ามาดูแลความเรียบร้อยในโรงครัวอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยสั่งการแม่ครัวและพ่อครัวไม่กี่ประโยค ก็เดินไปตรวจตราความเรียบร้อยทั่วไป
นางดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือน การจัดตกแต่ง ผ้าม่านหน้าต่าง ผ้าโปร่งตรงประตู ความสะอาดทุกที่ กำชับกับลูกน้องถึงความปลอดภัยยามลูกค้าเข้าพัก
หญิงสาวดูแลทุกอย่างเป็นอย่างดี โรงเตี๊ยมที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารรสล้ำ ความสะอาดดีเยี่ยม การตกแต่งเป็นเลิศ และที่สำคัญปลอดภัยเป็นที่สุด หากใครได้เข้าพักแล้ว ไม่มีคำว่าถูกลอบทำร้าย
เฮ่อ! แต่ดูเหมือนว่าเท่านี้จะไม่เพียงพอ
อันที่จริง เรื่องมารยาร้อยเล่ห์นั้น ฟางหลันมีอยู่เต็มเปี่ยม
หากเป็นกาลก่อน รับรองได้ว่าเหล่าบุรุษล้วนต้องสยบแทบเท้านาง มีเงินให้เงิน มีบ้านให้บ้าน มีอำนาจยังละทิ้งได้เพื่อนาง เพียงแต่ตอนนี้นางไม่ต้องการนำมาใช้กับชายใดทั้งสิ้น
เมื่อหญิงสาวคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นมา
เขาเป็นแม่ทัพหนุ่มรูปงาม เป็นชายชาตินักรบ ที่ถูกภรรยานอกใจ ลอบคบชู้อย่างน่าอาย
เขาผู้นี้ต้องถูกหยามเกียรติไม่เหลือดีไปแล้วหนึ่งครั้งในชีวิต หากนางคิดจะรักเขา นางต้องทำตัวดีๆ ไม่ข้องเกี่ยวกับชายใดทั้งนั้น
ไม่แม้แต่จะชายตาแลผู้ใด และต้องเป็นสตรีที่เขาได้ภาคภูมิใจ
อันดับแรก นางต้องรวยก่อน!
ฟางหลันไม่รู้ตัวเลยว่า เป้าหมายชีวิตของนางมิได้ทำเพื่อตนเองเลยสักนิด และหยวนจงเองก็ไม่รู้ความคิดนั้นเช่นกัน
แต่กระนั้น พวกเขากลับซื่อสัตย์ต่อกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ในขณะที่ฟางหลันกำลังจมอยู่ในภวังค์ของตน เสียงทุ้มนุ่มคุ้นเคยพลันดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ข้าต้องการห้องพักพิเศษหนึ่งห้อง รบกวนเถ้าแก่เนี๊ยจัดการได้หรือไม่?”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นนี้ ทำเอาร่างระหงของฟางหลันแข็งทื่อ ดวงตาคู่งามทอประกายสั่นไหว หัวใจเต้นผิดจังหวะ หญิงสาวรีบหันหน้าไปหาทันที
“หยวนจง!”
แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วยกยิ้มอย่างยียวน พลางยืนพิงต้นเสาริมระเบียง ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะเย็นชาเผยความรู้สึกลึกล้ำ ออกมาจากสายตา ยากเก็บงำ
“อย่าลืมเตรียมอาหาร ถังอาบน้ำ และผ้าปักลายสำหรับเปลี่ยนด้วยนะ” เขาสั่งต่อหลายคำ พร้อมยกนิ้วไล่ลำดับประหนึ่งสามีสั่งภรรยา
ฟางหลันพลันยู่หน้า เอ่ยเสียงเข้มว่า “จ่ายเงินด้วยนะ”
“...”