“ต่อให้ผมจะมีคนอื่นแต่ผมก็ให้เกียรติคุณ ดูแลคุณกับลูกให้มีชีวิตสุขสบาย อย่ามาต่อว่าผมด้วยคำนั้น!”
ตบขา ดีดตัวลุกขึ้นมาชี้หน้าภรรยาท่าทางขึงขัง
“เงินคุณไม่ทำให้ฉันมีความสุข! ฉันเป็นหมอมาทั้งชีวิต หาเลี้ยงตัวเองได้! แต่ที่ฉันทนมาถึงทุกวันนี้เพราะฉันรักลูก! ไม่อยากให้คุณยกลูกที่เกิดจากเมียน้อยมาอยู่เหนือลูกฉัน ฉันเคยคิดว่าตราบใดที่มีฉันปกป้องจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้น แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้! คุณหลงสิรีถึงขั้นเอาธีที่เรียนไม่จบมาบริหารโรงพยาบาล อนุญาตให้มันออกคำสั่งลูกฉัน! ทำถึงขนาดนั้น คุณยังมีหน้ามาพูดว่าคุณให้เกียรติฉัน เลี้ยงลูกดีงั้นเหรอ! เลี้ยงดีมาก แต่ดีแค่กับลูกยัยสิรี! กับตาปลื้มที่มีความสามารถ คุณไม่สนใจ!”
กาญจนาหมดความอดทน ตะเบ็งเสียงเผ็ดร้อนชนิดที่ไม่คนพูดก็คนฟังจะต้องอกแตกตายกันไปข้าง
“ใครว่าผมไม่สนใจลูก! ผมรู้ว่าปลื้มเก่ง แต่เขายังอายุไม่เท่าไหร่จะให้เลื่อนขั้นขึ้นมาแซงหน้าหมอคนอื่นได้ยังไง! อย่ามาหาเรื่องใส่ความผมนะคุณนา คุณน่ะ เข้าข้างลูกตัวเองมากไป!”
“ใครกันแน่ที่เข้าข้างลูกตัวเองมากเกินไป คุณไม่ใช่เหรอ!”
“ไม่ใช่ผมแน่นอน คุณต่างหากเข้าข้างลูกตามใจลูกจนเสียคน ตาปลื้มไม่เคยไว้หน้าผมเลย เขากล้าด่าได้แม้กระทั่งพ่อตัวเอง! อกตัญญูไม่รู้คุณคนอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ลูก ผมไม่สนับสนุนด้วยซ้ำ!”
“ที่คุณทำทุกวันนี้เขาเรียกว่าไม่สนับสนุนมาแต่ไหนแต่ไร ตาปลื้มไม่เคยมีความสุขที่เกิดมาเป็นลูกคุณ!”
ประโยคนั้นจริงมากที่สุดจนสามีไม่สามารถเถียง อย่าคิดว่าการเกิดบนกองเงินกองทองจะทำให้ทุกคนมีความสุข ถ้าเลือกได้ ปรเมศวร์อาจจะเลือกพ่อที่รักเขามากกว่าพ่อที่ให้เงิน ลมหายใจแพทย์หญิงกาญจนาแผ่วลงทุกขณะ เหนื่อยไปทั้งร่างกายและหัวใจ ไม่มีเรี่ยวแรงจะทะเลาะหรือต่อสู้แย่งชิงสมบัติอีกต่อไป
“คำที่ตาปลื้มพูดกับคุณทำให้ฉันตาสว่าง บ้านหลังนี้มันนรกดีๆ นี่เอง ฉันทนอยู่มาได้ยังไงตั้งหลายปีทั้งที่ฉันควรไปตั้งแต่คุณพาผู้หญิงคนนั้นเข้าบ้าน ฉันเหนื่อย อยากมีชีวิตสงบสุข เราหย่ากันเถอะคุณเดช หย่าขาดให้จบๆ ไม่ต้องกลับมาเจอหน้ากันอีก ถ้าไม่มีฉันกับลูกสักคน คุณจะได้อยู่กับคนพวกนั้นอย่างสบายใจ”
“คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เราอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี”
“ฉันอยู่คนเดียวต่างหาก ฉันกลายเป็นส่วนเกินของคุณกับสิรีมากี่ปี หลังจากหย่ากัน ทรัพย์สมบัติคุณพอใจจะแบ่งให้ฉันกับลูกเท่าไหร่ หรือจะไม่แบ่งเลยก็ได้ ตามใจคุณ ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น”
ภรรยาจริงจังเกินกว่าจะมองในแง่มุมประชด นายแพทย์สิทธิเดชไม่ต้องการให้เรื่องเป็นอย่างนี้เข้าไปคว้ามือ
“ผมไม่หย่ากับคุณเด็ดขาด เราจะไม่คุยเรื่องนี้อีก”
“คุณไปได้แล้ว อยู่ที่นี่นานๆ สิรีจะไม่พอใจ”
ลากแขนสามีออกไป ปิดประตูกลับเข้ามา ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นบนเตียงกวาดเอาเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวลงไป
จัดได้ไม่ถึงครึ่งลดตัวลงมานั่งกอดเข่าร้องไห้ คนวัยนี้ควรเกษียณจากการทำงานมาใช้ชีวิตบั้นปลายกับลูกหลานให้มีความสุข แต่ความฝันนั้นช่างริบหรี่ ตราบใดที่ดื้อดึงอาศัยในบ้านหลังนี้ เมื่อต้องเลือกระหว่างความสุขที่เหลือกับเงินทอง กาญจนาในวัยนี้ขอเลือกความสุข ไม่อยากทนทุกข์ทรมานในสถานะเมียหลวงต่อไป
“ไปห้องนั้นไม่กี่นาที ทำไมหน้าเศร้ากลับมาล่ะคะคุณพี่”
สิรีข่มอารมณ์โกรธถามราวกับไม่รู้สึกรู้สาที่สามีไปหาภรรยาหลวง หล่อนอาบน้ำเพิ่งเสร็จมานั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก แต่งตัวสวยสวมชุดนอนอวดสรีระ อายุแม้จะเข้าเลขห้า แต่หล่อนยังสาวยังสวยกว่าอายุจริงเนื่องจากดูแลตัวเองดี สิรีเคยเป็นนักแสดงตัวประกอบไม่โด่งดัง ชีวิตพลิกผันหลังได้รับการเลี้ยงดูจากเศรษฐีเจ้าของโรงพยาบาล เสียแต่ท่านมีภรรยาอยู่แล้ว ถูกนักข่าวรุมถามก็หาได้แคร์ เชิดหน้าใส่
นับว่าเป็นความโชคดีของหล่อนที่นายแพทย์สิทธิเดชเมตตา แม้จะให้ทะเบียนสมรสไม่ได้ แต่อนุญาตให้เข้ามาอยู่ในบ้านร่วมกับภรรยาหลวง ทอดทิ้งภรรยาหลวงย้ายของใช้ส่วนตัวมาหลับนอนกับหล่อน ถึงวันนี้นานกว่ายี่สิบปี สิรีกล้าพูดเต็มปากว่าสามารถมัดใจนายแพทย์สิทธิเดชได้ แต่ไม่กล้าแสดงอิทธิฤทธิ์มากนัก ค้างคาใจกับบางเรื่อง หากนายแพทย์สิทธิเดชรักหล่อน ทำไมถึงไม่หย่ากับภรรยาหลวง
“อย่าอยากรู้ไปหมดทุกเรื่องนักเลย”
นายแพทย์สูงวัยเดินผ่านเก้าอี้ที่หล่อนนั่งเข้าไปในห้องแต่งตัวดึงกระชากผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ
“ถามนิดหน่อยจะเป็นไรไปคะ พี่นาพูดอะไรกับคุณพี่”
สิรีตามหลังมาติดๆ จะเอาใจช่วยอาบน้ำ
แต่นายแพทย์สิทธิเดชปิดประตูก่อนหล่อนเข้าถึงตัว จากหัวไหล่ลงมาถึงแผ่นหลังสั่นสะท้าน เสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้ทุกคนในบ้านไม่มีความสุข มีลูกชายที่พอจะฝากความหวังไว้ได้คนเดียว กลับลั่นวาจาไม่เอาพ่อตัวเอง ตัดขาดสายสัมพันธ์ง่ายราวกับกรรไกรตัดกระดาษ ภรรยาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขและให้คำมั่นว่าจะรักกันไปจนวันสุดท้าย ก็ไม่สามารถทนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันได้อีกต่อไป บอกจะขอหย่าขาด
นายแพทย์สิทธิเดชรู้ต้นเหตุเรื่องทั้งหมดมาจากตัวเอง มันลุกลามบานปลายไปไกล แม้แต่ท่านก็ทำให้กลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้
เช้าวันต่อมา โรงพยาบาลยังคงวุ่นวายเนื่องจากมีคนไข้เข้ามารับการรักษาเป็นจำนวนมาก การบริหารจัดการดีเยี่ยม บุคลากรทางการแพทย์ ขยันขันแข็งช่วยเหลือคนไข้ ตรีวิทย์ยึกๆ ยักๆ ยืนดักหน้าห้องแห่งหนึ่งรอกันต์ดนัย เพื่อนสนิทงานล้นมือผ่าตัดคนไข้กลุ่มใหญ่ทั้งวันทั้งคืน ตาดำ ตาโบ๋เดินวนเวียนในโรงพยาบาลแต่ถึงอย่างนั้นก็หล่อมัดใจสาวๆ อยู่มือ เขาสิ นอนครบเจ็ดชั่วโมงหน้าใสปิ๊งสาวๆ ไม่ชายตามอง
“ขอเวลาสักครู่นะครับ” เพิ่งออกจากห้องผ่าตัด พยาบาลอีกคนเอาแผ่นภาพเอ็กซเรย์กระดูกขาคนไข้รายอื่นไล่ตามมารายงาน
“กันต์ ปลื้มโทรหาหรือเปล่า โทรไม่ติดตั้งแต่เมื่อคืน”
“ไม่ได้โทร มันทะเลาะกับผู้อำนวยการออกจะบ่อย นายยังไม่ชินอีกเหรอ อย่าห่วงเลยน่า สบายใจเมื่อไหร่ก็กลับมาเอง”
“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ปลื้มจริงจังมาก แม่นาบอกมันประกาศตัดขาดพ่อ ท้าให้พ่อยกสมบัติให้คุณสิรี ส่วนตัวมันบอกว่าจะลาออก มันไม่มีความสุข ไม่อยากทะเลาะกับพ่อ ไม่อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ บอกตามตรง กลัวปลื้มไม่กลับมาว่ะ”
กันต์ดนัยเก็บมาคิด ลำบากใจตามไปด้วย
“ก็จริง พักหลังมานี้ปลื้มเศร้า เหงา หน้าตาไม่มีความสุข”
“สงสารมันว่ะ เครียดสะสมเรื่องเดิมๆ มาไม่รู้กี่ปี”
“ลองโทรถามน้องญาหรือยัง เผื่อมันไปหาลูกที่เชียงใหม่”
“เออ จริงด้วย ลืมไปเลย ฉลาดมากกันต์ ปลื้มอาจไปหาลูก ทำไมคิดไม่ได้ตั้งแต่ตอนไปส่งปลื้มที่สนามบินวะ”