เจ้าของชื่อหันไปสบตาผู้เป็นบิดา “ท่านพ่อ...” ริมฝีปากบางพึมพำแผ่วเบาก่อนจะเม้มเข้าหากัน กายบางบนหลังจิ้งจอกขยับไปมาอย่างกระสับกระส่าย ยามนี้ดูเหมือนชีวิตของนางจะก้าวข้ามสู่เรื่องมหัศจรรย์ไปแล้วครึ่งตัว ไม่ว่าจะเลือกไปต่อหรือก้าวถอยกลับมา... สิ่งเดียวที่กระจ่างแน่ชัดที่สุดคือนางไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีกต่อไป
ทุกอย่างช่างกะทันหันนัก ทว่าน่าแปลกที่นางกลับรู้สึกว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้มานานแล้ว
นางแตกต่างจากคนอื่นตั้งแต่ระลึกชาติได้ ไม่แน่ว่าบางที... มันอาจมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้
“ท่านพ่อ!” นางกระชับมือที่กอดลำคอเจ้าจิ้งจอกพูดได้เพื่อรวบรวมกำลังใจ ไม่แน่ว่าบางทีจิ้งจอกตัวนี้อาจจะมีคำตอบให้แก่นางก็เป็นได้ “แล้วข้าจะกลับมาเจ้าค่ะ!”
“อี้เอ๋อร์!” หยวนเสียนใบหน้าซีดเผือดร้องเรียกบุตรสาว หากก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อร่างของจิ้งจอกตัวใหญ่หายลับเข้าไปในป่าพร้อมกับผู้เป็นแก้วตาดวงใจของตนเอง
เพียงแค่คิดว่าเขาอาจจะสูญเสียบุตรสาวไปตลอดกาลเหมือนกับสตรีอันเป็นที่รัก ตรงหัวใจก็รู้สึกราวกับถูกอะไรเสียดแทงเข้าอย่างจัง ความปวดร้าวส่งผลให้เหงื่อไหลซึมออกมาทางฝ่ามือ ก่อนที่เจ้าตัวจะเป็นลมหมดสติไปทันที!
“ท่านหยวน!”
“ท่านอาหก!”
ฮูหยินฟางกับชายหนุ่มสกุลหยวนทั้งสองตะโกนร้องกันอย่างตกใจ เหตุการณ์ที่ชวนอกสั่นขวัญแขวนกลับเกิดขึ้นมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกันจนพวกเขาแทบทำอะไรไม่ถูก
“เสี่ยวจู รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า!”
เด็กชายตัวน้อยที่ยืนตัวสั่นสะดุ้งตัวโยนก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านตามที่มารดาสั่ง ดูเหมือนการที่ฝนตกก่อนหน้านี้จะทำให้ชาวบ้านที่เอาแต่หลบอยู่ในบ้านเรือนมิทันสังเกตเห็นฝูงค้างคาวหรือเปลวเพลิงสีฟ้าแปลกประหลาดแต่อย่างใด
พวกเขาทั้งหมดมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการรักษาชีวิตคน จนมิทันสังเกตว่าบนผืนฟ้ามิใกล้มิไกลจากพวกเขามีชายหนุ่มตาบอดผู้หนึ่งในชุดนักพรตขี่กระบี่สีขาวยวงดั่งงาช้างมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้น
“ก่อเรื่องใหญ่เข้าเสียแล้ว” เหวยเซียวพึมพำก่อนจะรีบบังคับกระบี่ให้มุ่งหน้าตามเด็กน้อยในคำทำนายไปเพื่อมิให้คลาดสายตา
สายลมวูบใหญ่พัดผ่านหมู่บ้านเล็ก พาเอากลิ่นอายเข้มข้นของมวลปีศาจให้จางหาย หลงเหลือแค่เศษขี้เถ้าสีดำสนิทที่ล่องลอยไปมาในอากาศแต่เพียงเท่านั้น
เสียงย่ำเท้าและเสียดสีของพุ่มไม้มีให้ได้ยินตลอดทางที่สัตว์ร่างหนาวิ่งผ่าน หยวนจื่ออี๋หลับตาพลางสูดเอาอากาศเข้าไปเต็มปอด จิตใจรู้สึกสงบและปลอดโปร่งขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่มันจะถูกแทนด้วยความรู้สึกผิดในเวลาต่อมา
นางทำเช่นนี้คล้ายกับกำลังหนีปัญหาก็จริงอยู่ แต่อย่างน้อย... นางก็ขอได้เข้าใจความผิดปกติของตนเองตามลำพังดีกว่าให้บิดามาลำบากใจด้วย
เด็กน้อยกวาดสายตามองทัศนียภาพรอบกายที่เริ่มแปรเปลี่ยน ครั้นเห็นบึงขนาดกลางท่ามกลางป่าโปร่งก็อดเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจมิได้ นางอยู่ที่หมู่บ้านมาตั้งแต่เกิด ทว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่นี่มีบึงตั้งอยู่ด้วย
ในที่สุดเจ้าจิ้งจอกก็ทิ้งกายหมอบลงที่พื้นให้นางปีนลง หยวนจื่ออี๋เรียบเรียงคำถามในใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยถามทันทีเพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา
“ค้างคาวเหล่านั้น... เหตุใดมันจึงคิดทำร้ายข้า?”
“ก็แค่ปีศาจชั้นเลว” เจ้าจิ้งจอกยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “ไม่ควรค่าชายตามองให้เสียเวลา”
“ปีศาจ?” นางทวนเสียสูง
ปีศาจที่ว่าก็คือพวกอมนุษย์ชั่วร้ายที่ดื่มกินเลือดมนุษย์เพื่อความอยู่รอดนั่นน่ะหรือ?
หยวนจื่ออี๋รู้สึกราวกับถูกค้อนใหญ่ฟาดลงบนศีรษะ ถึงจะตกใจแต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ควบคุมสติไม่อยู่ พอนึกย้อนไปถึงเสียงในความทรงจำจากชาติที่แล้ว ก็พบว่ามีหลายครั้งที่มันมักจะมีคำว่า ‘ปีศาจ’ ปะปนเข้ามาด้วย
หรือว่าชาติที่แล้ว... นางก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับปีศาจดั่งที่กำลังผจญอยู่ ณ ขณะนี้?
เจ้าตัวก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอ พร้อมกับสบดวงตาสีเงินสวยของสัตว์ร่างใหญ่ที่พูดภาษามนุษย์เบื้องหน้า “เช่นนั้นเจ้าเองก็...”
ดูเหมือนว่าความสงสัยของนางมิจำเป็นต้องรอนาน เจ้าจิ้งจอกร่างใหญ่สะบัดพวงหางสองสามครั้งก็เรืองแสงสว่างจ้าไปทั่วกาย จนหยวนจื่ออี๋รีบยกมือขึ้นมาป้องตาเพราะมิอาจสู้แสงอันแสบตา ครั้นมั่นใจว่ามันเบาบางลงแล้วค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับกะพริบถี่
ตำแหน่งที่จิ้งจอกหิมะควรยืนอยู่กลับถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่แปลกไปจากเดิม
เด็กหญิงอ้าปากค้างพร้อมกับขยี้ตาแรงๆ หลายต่อหลายครั้ง ทว่าผลที่ได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมจนต้องกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจดเท้าให้มั่นใจดูอีกที
สวรรค์... สี่สาวงามในประวัติศาสตร์จีนที่เขาเลื่องลือสืบต่อกันมากลับมิอาจงามเทียบเท่าสิ่งที่นางกำลังเห็นอยู่ได้เลย
ร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคล้ายคลึงกับคนทุกประการ เรือนผมสีเงินทอประกายระยิบระยับยามต้องแสงอาทิตย์ นัยน์ตาสีเดียวกันมีม่านตาเป็นเส้นตรงแสดงให้เห็นว่ามิใช่มนุษย์ โครงหน้ารูปไข่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ จมูกโด่งเป็นสันตั้งตรงชวนมอง คิ้วเข้มเป็นทรงสวยไร้การแต่งแต้ม ริมฝีปากชมพูระเรื่อราวกับผลผิงกั๋ว[1] สุกในฤดูใบไม้ผลิ ร่างสูงโปร่งชะลูดมองเผินๆ เป็นได้ทั้งสตรีและบุรุษ ผิวสีขาวสะอาดราวกับหิมะแทบจะกลืนไปกับอาภรณ์สีขาวที่สวมใส่ ที่สำคัญ...ยังมีกลิ่นหอมประหลาดคล้ายสารพัดบุปผาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวชวนให้ลุ่มหลง งดงามจนสามารถทำให้หญิงงามล่มเมืองพ่ายแพ้เลยก็ว่าได้
เรียกได้ว่าโดดเด่นงดงามยิ่งกว่าใคร... ไม่สิ โดดเด่นยิ่งกว่าทุกสิ่งที่นางเคยพานพบมาตลอดชีวิต
“จะ...เจ้าคือปีศาจ?”
“ข้าคือหรงเสี่ย” เขาแก้ สีหน้าท่าทางดูไม่ถือสากับอาการตะลึงงันของร่างเล็ก “เป็นปีศาจจิ้งจอกหิมะเก้าหาง”
“กะ...เก้าหาง?” นางทวนเสียงสูงในขณะที่อ้าปากกว้างยิ่งกว่าเดิม
ปีศาจในร่างมนุษย์รูปงามคลี่ยิ้มขณะที่โยกศีรษะไปมา เรือนผมนุ่มละเอียดดั่งเส้นไหมล้ำค่าปลิวสะบัดไปตามแรงลม เดิมทีนางคิดว่าเขาจะเรียกหางออกมาให้เห็น แต่เขากลับไม่ทำเสียอย่างนั้น
ตะลึงงันมิทันไร หยวนจื่ออี๋ก็ถึงกับขนลุกซู่เมื่อสังเกตเห็นกลุ่มควันสีดำล่องลอยขึ้นมาจากบึงทางด้านหลัง พวกมันพร้อมใจกันพุ่งตัวเข้ามาหาก่อนจะเข้ามาล้อมกรอบนางเอาไว้ประหนึ่งเป็นเกราะกำบังอะไรสักอย่าง
เด็กน้อยมิได้รับรู้ถึงอันตรายใดๆ จากพวกมัน ไม่มีแม้แต่อาการแสบคันหรือเจ็บปวด แต่ถึงอย่างไรมันก็น่าขนลุกอยู่ดี
“นี่มันอะไรกัน”
“สิ่งที่วนอยู่รอบกายเจ้ายามนี้คือไอปีศาจ” น้ำเสียงของเจ้าตัวหยอกเย้า คล้ายไม่ได้ตั้งใจ แต่ผู้ฟังก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ “ส่วนคำถามที่เหลือ ประเดี๋ยวคงมีคนมาตอบคำถามให้เจ้าเอง”
หรงเสี่ยเอ่ยพลางฉีกยิ้มยั่วเย้า แล้วหันไปจับจ้องฝูงปลาที่แหวกว่ายในบ่อน้ำต่อราวกับนางไร้ตัวตน ทิ้งให้นางตกอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันสีดำอย่างหน้าตาเฉย!
หยวนจื่ออี๋ยกมือขึ้นมากุมขมับพลางสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ในหัวมีคำถามมากมายเต็มไปหมด แต่ถึงอย่างไรก็มิยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะได้คำตอบจากปากของหรงเสี่ยง่ายๆ “แล้วพวกปีศาจเยี่ยงเจ้ามายุ่งวุ่นวายกับข้าทำไม”
ปีศาจรูปงามไม่ตอบ ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“หรงเสี่ย”
ครานี้บุรุษรูปงามเบนสายตากลับมาพร้อมกับขานรับด้วยเสียงนุ่มทุ้มระรื่นหู “หือ?”
หยวนจื่ออี๋อดไม่ได้ที่จะกรอกตารอบสอง ที่แท้เขาก็หาเรื่องจะให้นางเรียกชื่อ!
“ท่านช่วยตอบคำถามของข้าได้หรือไม่” ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ เด็กน้อยก็เลือกที่จะใช้ไม้อ่อน อ้อนวอนเจ้าปีศาจรูปงามที่ภายนอกดูเหมือนมนุษย์ไร้พิษสงคนหนึ่ง แต่สัญชาตญาณก็ร้องบอกว่าอีกฝ่ายคงไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นคงมิกล้าเรียกฝูงพายุค้างคาวเหล่านั้นว่าปีศาจชั้นเลว
แม้แต่โลกของปีศาจก็ยังมีการแบ่งชนชั้น ดูท่าต่อไปนี้นางคงต้องตั้งใจศึกษาพวกมันให้มากขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว
“ถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าจะบอกให้ก็ได้” หรงเสี่ยสาวเท้าเข้ามาหานางอย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะแย้มยิ้มกว้างกว่าเดิมเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กแหลม
“ก็เพราะว่าเจ้าน่ากินน่ะสิ”
[1] ผิงกั๋ว (**) แปลว่า แอปเปิล