ห้า
ปีศาจ
“หยาดฝนหยดแรก แทรกผ่านผืนฟ้า
หนึ่งชายชรา หวนคิดถึงถิ่น
หยาดฝนหยดสอง พร่องผ่านผืนดิน
น้ำตาหลั่งริน มิอาจหวนคืน”
เสียงเล็กๆ เปล่งออกมาแข่งกับเสียงหยาดฝนที่ตกกระทบลงบนพื้น หยวนจื่ออี๋เหม่อมองเมฆาที่เทาขุ่นเรื่อยไปยังผืนป่าโปร่งด้านนอกด้วยแววตาว่างเปล่า
หากท่านพ่อเลือกที่จะกลับไป นางจะทำเช่นไร?
หากท่านพ่อเลือกที่จะไม่กลับไป นางจะทำเช่นไร?
ในระหว่างที่ครุ่นคิดอย่างใจลอยอยู่นั่นเอง ดวงตาสีชากลมโตก็สังเกตเห็นก้อนกระจุกสีขาวก้อนหนึ่งที่อิงแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ครั้นหรี่ตาลองจับจ้องให้ดีก็รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด
หรือว่าจะเป็นจิ้งจอกตัวใหญ่เท่าหมาป่าที่นางเห็นอยู่ริมธารเมื่อคราก่อน?
จิ้งจอกหิมะสีขาวสะอาดกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ท่ามกลางพิรุณที่โปรยปราย ดวงตาสีเงินของมันราวกับโคมไฟเรืองรอง ฝ่าละอองฝนที่ลอยฟุ้งคล้ายรับรู้ว่าตนเองกำลังถูกจ้องมองอยู่
น่าแปลกที่หยวนจื่ออี๋รู้สึกราวกับว่ามันสามารถอ่านใจนางได้...
นางกำลังกลัวและสับสนกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
เด็กน้อยเค้นยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก ก่อนหน้านี้หลั่งเลือดจนประสาทกินไปวันหนึ่งแล้ว พอมาถึงจุดนี้นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตนเองมีสิ่งใดผิดปกติไปจากเด็กคนอื่นๆ
“อี้เอ๋อร์!”
เสียงร้องเรียกของฮูหยินฟางไร้ความหมาย กว่าหยวนจื่ออี๋จะรู้ตัวอีกครั้งก็เป็นยามที่มือเล็กป้อมยื่นออกไปหมายจะไขว่คว้าหาสัตว์ต่างถิ่นที่งดงามตัวนั้น ร่างเล็กในเสื้อผ้าของเด็กชายเปียกปอนไปทั้งตัว เรือนผมเปียกลู่ใบหน้า สองขามุ่งตรงไปยังจิ้งจอกตัวใหญ่ยักษ์ราวกับต้องมนตร์สะกด
เสี่ยวจูเห็นว่าสหายกำลังจะไปเผชิญหน้ากับสิ่งอันตรายก็เตรียมตัวจะวิ่งฝ่าสายฝนออกไปคว้า ทว่ามารดาของตนยึดไหล่เอาไว้ จะว่านางขี้ขลาดหรือเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมปล่อยให้บุตรชายเพียงคนเดียวต้องออกไปเสี่ยงตามหยวนจื่ออี๋เป็นอันขาด
คนที่เปียกฝนรู้สึกร่างเบาหวิวราวกับขนนก เท้าทั้งสองคล้ายกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ นางก้าวเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน ฮูหยินฟางกับเสี่ยวจูมองดูอยู่ไกลๆ ก่อนจะพากันอ้าปากค้างเมื่อจู่ๆ จิ้งจอกตัวนั้นยืนขึ้นเต็มความสูง ร่างขนฟูสีขาวตัวใหญ่ยักษ์ยืนประจันหน้ากับเด็กน้อย พวงหางสีขาวสะบัดแรงหนึ่งครั้งก่อนที่มันจะทำในสิ่งที่ผู้อื่นคาดไม่ถึง
หยวนจื่ออี๋ยกมือขึ้นมาลูบความเปียกชุ่มออกจากใบหน้า หากเพียงไม่นานก็รับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ครั้นดวงหน้ากลมแหงนมองไปเหนือศีรษะ ก็ถึงกับกะพริบตาถี่เมื่อเห็นพวงหางขนาดเท่าลำตัวของนางทำหน้าที่คอยกันฝนมิให้โดนตัวของนางได้อีก
เจ้าจิ้งจอกตัวนี้... กันฝนให้นางเช่นนั้นหรือ?
ความประหลาดใจวาดผ่านดวงตาสีชา ต่อมาจึงได้หายไปเมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็นใบหูสามเหลี่ยมของสัตว์ร่างใหญ่ที่ตั้งสูงขึ้น นัยน์ตาสีเงินดั่งแก้วเจียระไนตวัดมองไปยังผืนฟ้าทางด้านหลัง
หยวนจื่ออี๋รีบหันไปยังทิศทางดังกล่าว ก่อนที่ใบหน้าจะถอดสีเมื่อสังเกตเห็นฝูงสัตว์ขนาดเล็กกำลังบินฝ่าสายฝนทิศทางตรงมายังนางอย่างบ้าคลั่ง!
เสียงร้องแหลมแสบแก้วหูและเสียงกระพือปีกของอะไรบางอย่าง ส่งผลให้หยวนจื่ออี๋ยกมือขึ้นมาปิดใบหู
มันคือฝูงค้างคาวสีม่วง!
“อี้เอ๋อร์” ฮูหยินฟางตะโกนเรียกเด็กหญิงที่ยังอยู่ในป่าโปร่งอย่างร้อนรน “อี้เอ๋อร์! รีบกลับเข้าบ้านเร็วเข้า!”
“อาอี๋!”
เสี่ยวจูสลัดตนเองให้หลุดออกจากพันธนาการของมารดา ก่อนจะรีบวิ่งตรงเข้ามาหาหยวนจื่ออี๋โดยไม่สนใจเลยว่ากำลังนำตนเองเข้ามาขวางระหว่างฝูงค้างคาวกับนาง!
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนนางมิอาจครุ่นคิดได้ทัน ฝูงค้างคาวสีประหลาดเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างดั่งเกลียวพายุหมุน หยวนจื่ออี๋พุ่งตรงเข้าไปหาสหายตามสัญชาตญาณ
“เสี่ยวจู!”
หยวนจื่ออี๋คิดว่านางเคลื่อนไหวเร็วแล้ว ทว่าสัตว์ตัวขนข้างกายกลับว่องไวยิ่งกว่า เด็กน้อยในชุดเด็กผู้ชายรู้สึกเหมือนขาลอยขึ้นมาจากพื้น แม้ไม่อาจหันกลับไปมองสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าตนเองอยู่ในสภาพที่น่าหวาดเสียวเพียงใด
นี่นางถูกจิ้งจอกคาบคอเสื้อดึงให้ตัวลอยเข้าให้แล้ว!
ผู้คิดแทบจะแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งที่เปียกอยู่บนใบหน้าตนเป็นเหงื่อ เม็ดฝน หรือว่าน้ำลายของสัตว์ใหญ่ นางเม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นระส่ำอย่างหวาดหวั่น ทว่าอีกใจหนึ่งก็นึกเป็นห่วงเสี่ยวจูอยู่จึงตะโกนออกไปสุดเสียง
“เสี่ยวจู หนีไป!”
เสี่ยวจูคล้ายเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาพาตนเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเพียงใดก็พลันตัวสั่น กลัวจนก้าวขาไม่ออก อีกเพียงอึดใจเดียวที่ฝูงค้างคาวจะพุ่งเข้ามาถึงตัว ฮูหยินฟางก็หวีดร้องออกมาสุดเสียง
เปรี้ยง!
หยวนจื่ออี๋หลับตาปี๋เพราะมิอาจทนดูภาพที่เกิดขึ้น ร่างราวกับถูกกระชากดึงขึ้นไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะร่วงหล่นลงอีกครั้งบนความอ่อนนุ่มแต่เปียกชื้นแปลกใหม่
“เกาะให้แน่นๆ ล่ะ” เสียงทุ้มไพเราะดังแหวกผ่านเสียงลมโกรกอื้ออึงเข้ามายังโสตประสาท ทว่าเด็กหญิงมิได้มีเวลามาใส่ใจมากนักในเมื่อชีวิตของเสี่ยวจูสำคัญกว่า
ความหนาวยะเยือกขุมหนึ่งวาดผ่านกายเล็กในขณะที่เจ้าตัวลืมตาขึ้นมา ความตกตะลึงที่เตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้วส่วนหนึ่งดูจะกลายเป็นเรื่องขี้เล็บไปทันทีเมื่อได้เห็นว่าพายุฝูงค้างคาวสีม่วงที่ม้วนตัวเข้ามาหาอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่ต่างถูกเปลวเพลิงสีฟ้าแผดเผาจนแตกกระเจิง ต่างบินหนีกันอย่างทุรนทุราย ส่งเสียงกรีดร้องอย่างทรมานไปทั่ว
เสี่ยวจูที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์เมื่อครู่พลันได้สติกลับมาอีกครั้ง จึงอาศัยจังหวะนั้นวิ่งกลับไปกอดร่างที่ยืนนิ่งดั่งเสาหินของมารดา
หยวนจื่ออี๋ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก คล้ายได้ยินเสียงบิดาของตนตะโกนเรียกอยู่ไกลๆ แต่ยังมิทันได้หันไปมองก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวจากสิ่งอ่อนนุ่มที่รองรับอยู่ใต้ร่าง
มือเล็กป้อมไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวตามสัญชาตญาณ พบว่าตนเองคว้าคอของสัตว์ร่างขนสีขาวตัวใหญ่ ที่แท้นางก็กำลังนั่งขี่หลังของมันอยู่นั่นเอง
แม้ยามนี้นางจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยก็มั่นใจแล้วว่าทุกคนปลอดภัย
ทว่าสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเล่า? มันมีที่มาที่ไปเช่นไรกันแน่
เด็กหญิงขมวดคิ้ว จังหวะต่อมาก็แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง
ตราบใดที่นางยังขี่หลังจิ้งจอกหิมะที่ตัวใหญ่เท่าหมาป่าได้อย่างหน้าตาเฉยเยี่ยงนี้ ดูท่าต่อให้มีเทพเซียนเหาะเหินเดินอากาศได้ก็คงกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
ผู้คิดมองฝูงค้างคาวซึ่งตามลำตัวลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าพากันบินจากไปอย่างทุลักทุเล เม็ดฝนหยุดโปรยปราย เมฆดำครึ้มสลายตัวดั่งหมอกควัน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นชื้นของดินและความเปียกชุ่มตามร่างกาย
หยวนจื่ออี๋เปียกไปทั้งตัวก็จริงอยู่แต่กลับไม่รู้สึกหนาว ไออุ่นจากสัตว์ขนฟูตัวใหญ่แผ่ลามไปทั่วตัวประหนึ่งห่มเสื้อขนสัตว์สักสามชั้น หากถึงอย่างไรนางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบเพราะเดาอารมณ์มันไม่ถูกอยู่ดี
“อยู่นิ่งๆ นะ” เสียงเล็กกล่าวขณะที่ลอบกลืนน้ำลาย “ข้าจะลงไป”
จิ้งจอกตัวนี้หาได้สนใจคำพูดของนางไม่ เจ้าของร่างใหญ่โตขนฟูเบือนสายตาไปยังเรือนของฮูหยินฟาง ส่งผลให้เด็กน้อยหันตามไปอย่างอดเสียมิได้
พวกเขา...ไม่เว้นแม้แต่ผู้เป็นบิดาล้วนมองมาที่นางด้วยแววตาพิลึกพิลั่นราวกับนางเป็นสัตว์ประหลาด
แม้จะมิใช่ความรังเกียจเดียดฉันท์ แต่มันจะไม่ใช่แววตาที่ใช้มองเด็กไร้เดียงสาวัยห้าขวบ พวกนางมิสามารถกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
บรรยากาศอึดอัดบริเวณโดยรอบทำให้นางนึกถึงเวลาอยู่บนเขาสูง ความบางเบาของอากาศรอบตัวเบาบางจนแทบหายใจไม่ออก
สมองของนางขาวโพลนไปหมด จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะลงจากหลังสัตว์ร่างใหญ่กลับนิ่งอยู่กับที่ จิตใต้สำนึกร่ำร้องเพียงอย่างเดียวว่านางอยากจะหายไปจากที่นี่... อยากน้อยก็สักพักหนึ่ง
“แน่ใจแล้วรึว่าอยากจะลงไป”
จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มทุ้มไพเราะดังขึ้นอีกครั้งราวกับมานั่งอยู่กลางใจ
เด็กน้อยนิ่งงันไปครู่หนึ่ง มั่นใจว่าเสียงนี้เป็นเสียงเดียวกับที่นางเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นบิดา เสี่ยวจู หยวนถังกับหยวนซู ก็ไม่มีผู้ใดมีเสียงเป็นเอกลักษณ์ที่น่าหลงใหลเยี่ยงนี้
ดวงตาสีชาพลันเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีข้อสันนิษฐานหนึ่งผุดขึ้นในใจ หรือว่าจะเป็น...
นางก้มมองเจ้าสิ่งที่ตนเองกำลังขี่อยู่ “เจ้า...เป็นคนพูดกับข้าหรือ”
เจ้าจิ้งจอกที่อยู่ใต้ร่างยักคิ้วหลิ่วตา “เจ้าดูไม่ตกใจเลยนะ” มันไม่เพียงพูดเปล่า แต่ยังสะบัดพวงหางสีขาวของมันไปมาอย่างน่าหมั่นไส้
หยวนจื่ออี๋ถลึงตาค้อนควับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาเกิดใหม่ ใครว่าไม่ตกใจกันล่ะยะ!
ในขณะที่นางลืมเลือนความหวาดหวั่นจากสายตาของคนรู้จักที่จ้องมองมาไปชั่วครู่ เสียงอันคุ้นเคยก็ดังแทรกบทสนทนาของหนึ่งเด็กน้อยหนึ่งจิ้งจอกขึ้นมาอีกครั้ง
“อี้เอ๋อร์”