หากสุดท้าย ปลายทางรัก คือความทุกข์
จักเสพสุข สมหวัง ชั่วคืนค่ำ
ขอยินยอม กลืนน้ำตา คราชอกช้ำ
เพียงจดจำ ว่าครั้งหนึ่ง เคยซึ้งใจ
ตอนที่ 3
ข่าวการทะลายรังมหาโจรหย่งหนานแพร่สะพัดไปทั่วแคว้นใต้ เศรษฐกิจของเมืองลู่เจ๋อและหัวเมืองใหญ่น้อยแถบนั้นก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่ละวันจวนคายซินมีผู้คนมากมายมาขอเข้าพบไม่ซ้ำหน้า ทั้งบรรดาอำมาตย์ เสนาบดี พ่อค้าใหญ่ ล้วนต่างต้องการมาผูกสัมพันธ์กับผู้ปกครองเมือง ทว่าการจะขอเข้าพบอ๋องสามหยางหลงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถกระทำได้อย่างง่ายดาย หากคนผู้นั้นไม่มีกิจสำคัญ
“เรียนท่านหญิง ท่านอ๋องฝากข้าน้อยมาบอกท่านหญิงว่าขอบคุณสำหรับน้ำใจและขออภัยที่ต้องปฏิเสธคำเชิญ”
อึ้งย้งขบริมฝีปากที่สั่นระริกด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หลังได้ยินคำตอบปฏิเสธการเชื้อเชิญมาร่วมรับประทานอาหารค่ำที่เรือนของนาง
อ๋องสามหยางหลงช่างเป็นบุรุษที่หยิ่งยโสนัก นางสู้อุตส่าห์ทุ่มเททรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายจนกลับมาเป็นสาวพรหมจารีย์ได้อีกครั้งเพื่อเขา ไหนจะเสาะแสวงหาของกำนัลล้ำค่าหายากส่งไปเป็นของขวัญให้แทบทุกอาทิตย์ ท่านอ๋องสามกลับไม่ยอมใจอ่อนก้าวข้ามสะพานที่นางอุตส่าห์ทอดไปหาเขาจนถึงหน้าบรรไดจวนคายซิน
“บอกท่านอ๋องว่าไม่เป็นไร ข้าเข้าใจว่าท่านอ๋องมีภารกิจมากและถ้าหากต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใด โปรดอย่าลังเลที่จะเรียกใช้ข้า”
นางข่มกลั้นอารมณ์โกรธกริ้วที่เจียนระเบิดตอบกลับไปด้วยความยากเย็น
“ข้าน้อยรับทราบ” พ่อบ้านของจวนคายซิน ค้อมตัวอย่างนอบน้อม
“ถ้าเช่นนั้นก็ออกไปได้แล้ว”
อึ้งย้งอดไม่ได้ที่จะเสียมารยาทไล่แขกผู้ที่นางไม่ประสงค์จะต้อนรับ และเมื่อคนนอกเดินออกไปจากเรือน นางก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงอย่างเหลือจะอดกลั้น
“เล่นองค์นัก! อ๋องสามหยางหลงตายด้านหรืออย่างไร หรือเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน”
อึ้งย้งขว้างปาแก้วน้ำชาและกาหยกราคาแพงลงพื้น ระบายอารมณ์โกรธขึ้งเดือดดาล
“ท่านหญิงใจเย็นๆ เถิดเจ้าค่ะ พ่อบ้านจวนคายซินยังเดินออกไปไม่พ้นจากเงาเรือนเลยนะเจ้าคะ”
เข่อซินหญิงรับใช้คนสนิทของอึ้งย้งรีบเข้ามาห้ามปราม
“โง่เง่าเต่าตุ่นกันนัก ทำไมไม่รีบเตือนข้าให้เร็วกว่านี้”
อึ้งย้งตะวาด อย่างระงับความบ้าคลั่งเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
ฝ่ายพ่อบ้านจวนคายซินกับบ่าวรับใช้ผู้ติดตาม ล้วนต่างก้มหน้าเอามือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะขบขันขณะเดินทอดน่องออกไปจากเรือนท่านหญิงอึ้งย้งแบบเชื่องช้า
“ได้ข่าวว่าท่านอ๋องปฏิเสธไมตรีท่านหญิงอึ้งย้งอีกแล้วหรือ” เซียงชุนเอ่ยถามหยางหลง พลางเลิกคิ้วหยังเชิงผู้ที่กำลังเล็งลูกธนูไปยังเป้าหมายที่อยู่ในรัศมีอันห่างไกลด้วยความตั้งอกตั้งใจ
“เจ้าสนใจจะเสนอตัวไปแทนข้ากระนั้นรึ”
หยางหลงลดคันธนูลงและถามกลับ ริมฝีปากหยักลึกมีรอยยิ้มที่กลั้วเสียงหัวเราะขบขันท่าทางสู่รู้ของเพื่อนสนิท
“แหมๆ ชายแท้ที่ไหนกันจะไม่สนใจสาวงาม”
“ข่าวเรื่องข้าโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกชายรักชายดังไวกว่าข่าวสารบ้านเมืองอีกรึ”
หยางหลงกล่าว พลางส่ายศรีษะด้วยความระอิดระอา
“ฮ่าๆ นึกว่าท่านจะมัวก้มหน้าก้มตาทำแต่งานไม่สนใจฟังเสียงซุบซิบของนกกาเสียอีก”
“ข้ายังหนุ่มแน่นหูตาไม่ได้บอด”
หยางหลงกระตุ้นม้าคู่ใจให้เดินหน้าไปยังเนินดินที่อยู่สูงกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าเป้าหมายที่ตนกำลังล่านั้นเคลื่อนห่างออกไป
“แล้วท่านอ๋องไม่เห็นหรอกหรือว่าเดี๋ยวนี้ ท่านหญิงอึ้งย้งงามเฉิดฉายขนาดไหน”
เซียงชุนควบม้าตามมาติดๆ และไม่หยุดความพยายามที่ซักไซร้เพื่อนรัก ซึ่งขณะนี้กำลังยกคันธนูเล็งไปยังเป้าหมายที่เซียงชุนไม่สามารถมองเห็นแม้จะมองอยู่ณ.ตำแหน่งใกล้กัน
“ความฉาบฉวยแบบนั้นหรือที่เจ้าเรียกว่างาม”
หยางหลงรำพันด้วยเสียงอันเบา สายตามองยังสัตว์สี่เท้าที่ก้มเล็มใบหญ้าด้วยความสำราญ
“แล้วงามของท่านอ๋อง ต้องเป็นเช่นไร”
เซียงชุนถามต่อด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาในระดับเดียวกัน และพยายามมองหาเป้าหมายที่หยางหลงกำลังเพ่งเล็ง ทว่ามองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
“เจ้าเห็นกวางตัวนั้นหรือไม่”
หยางหลงเอ่ยถามเหมือนกล่าวย้ำกับตัวเองเสียมากกว่า เพ่งนัยน์ตาพยัคฆ์มองเป้าหมายอย่างมุ่งมั่นและเหนี่ยวสายธนูออกจนสุดก่อนจะปล่อยมือเมื่อมั่นใจว่าตนจะไม่พลั้งพลาด
ฟึ่บ! เสียงลูกธนูพุ่งแหวกอากาศดังเพียงชั่วครู่ อึดใจต่อมาก็มีเสียงฝูงสัตว์วิ่งหนีอันตรายดังครืนห่างออกไป
หยางหลงหันมากล่าวกับเซียงชุน ด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อเห็นว่ากวางหนุ่มที่ถูกยิง นอนแน่นิ่งรอให้เขาหามกลับจวนนำไปปรุงเป็นอาหารค่ำ
“ธรรมชาติของเสือย่อมนิยมชมชอบจะเป็นผู้ล่า มิใช่เป็นเหยื่อที่ถูกล่า”
“จะมีสตรีนางไหนฉลาดเฉลียวพอที่จะเข้าใจธรรมชาติของชายชาติเสือเช่นท่านอ๋องสามไหมหนอ”
เซียงชุนรำพึง แล้วควบม้าตามติดท่านอ๋องสามหยางหลงไป
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่ซือเหยียนช่วยเหลือหลิวอี้เฟยรอดพ้นจากการถูกชายโฉดร่างยักษ์ผู้นั้นขืนใจ มารดาของหลิวอี้เฟยก็วางใจให้ซือเหยียนพาบุตรสาวเพียงคนเดียวไปเที่ยวไหนต่อไหนได้
“อี้เฟย อีกสองวันข้าต้องเดินทางไปสอบจอหงวนที่เมืองลู่เจ๋อ ห่างกันคราวนี้เจ้าต้องดูแลตัวเองได้ดีนะ”
ซือเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ขณะทั้งคู่นั่งชันเข่าเอนแผ่นหลังพิงโขดหินชื่นชมน้ำตกในภูเขาสูงซึ่งอยู่ห่างไกลจากสายตาผู้คนด้วยกันเพียงลำพังสองต่อสอง
“พี่ซือเหยียนไม่ต้องกังวล อี้เฟยก็ต้องเดินทางไปเรียนพิณกับท่านอาจารย์ฟ่านเจิง ที่บ้าน ‘พิณสวรรค์’เมืองฉวี่ชุนเช่นกัน”
นางหัวเราะเสียงเบา แล้วบอกเรื่องสำคัญของตนเองให้ซือเหยียนรับรู้
“เรียนพิณหรือ ทำไมข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน”
ซือเหยียนนิ่งเงียบไปสักครู่ ก่อนจะรำพึงออกมาอย่างงงงัน
“ข้าเองก็พึ่งรู้ ท่านแม่เล่าว่าท่านอาจารย์ฟ่านเจิงเดินทางผ่านซือโฉวจึงแวะมาเยี่ยมเยือนถามข่าวคราวท่านพ่อในฐานะสหายเก่า ท่านแม่จึงได้ออกปากฝากฝังข้า ให้ท่านอาจารย์ฟ่านเจิงช่วยขัดเกลา”
“ท่านอาจารย์ฟ่านเจิงรึ เคยได้คำร่ำลือว่า ท่านเป็นศิลปินผู้ชำนาญการเล่นพิณเลื่องชื่อที่สุดในแคว้นเฉิน”
เขามองหลิวอี้เฟยด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าครอบครัวตระกูลหลิวซึ่งมีฐานะต่ำต้อยจะรู้จักกับคนมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วแคว้น
“ความจริง เมืองฉวี่ชุน ไม่ห่างไกลจากเมืองลู่เจ๋อสักเท่าไหร่ หากพี่ซือเหยียนคิดถึงข้า ก็สามารถมาเยี่ยมที่บ้าน ‘พิณสวรรค์’ได้” นางกล่าวขึ้นด้วยความหวัง
“อี้เฟย จากลู่เจ๋อไปเมืองฉวี่ชุน ใช้เวลาถึงครึ่งวัน ทว่าต้องผ่านเส้นทางของกบดานของมหาโจรหย่งหนาน ข้าเป็นนายต้องรับผิดชอบชีวิตของบ่าวรับใช้ คงไม่สะดวกนักหากจะไปเดินทางเยี่ยมเจ้าที่นั่น”
“ข้าลืมไปเสียสนิท เรื่องมหาโจรหย่งนานหนีการจับกุมเข้าไปกบดานในเทือกทิศใต้” หลิวอี้เฟยพึมพำใบหน้างามสลดลงเล็กน้อย
“อี้เฟย กว่าจะพบกันอีกครั้งก็นานร่วมค่อนปี เราสองคนหมั้นหมายกันไว้ก่อนดีรึไม่”
ซือเหยียนเอ่ยถาม และหยิบถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงขนาดเท่าฝ่ามือของเขาออกมาจากอกเสื้อด้วยท่าทางทะนุถนอม
“พี่ซือเหยียน เรื่องหมั้นหมายเป็นเรื่องใหญ่ เราควรบอกกล่าวผู้หลักผู้ใหญ่เสียก่อน” นางทักท้วงด้วยความเป็นกังวล
“เฮ้ออ... ท่านแม่ของข้าเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่างหากข้าไปบอกกล่าวเรื่องการหมั้น เราคงไม่ได้สมหวัง”
เรื่องที่ซือเหยียนกล่าวทำให้ใบหน้างามของหลิวอี้เฟยสลดลง ฮูหยินซือมารดาของเขารังเกียจคนสิ้นไร้ไม้ตอกเช่นนางกับมารดายิ่งนัก เพราะเหตุนี้มารดาของนางจึงไม่เห็นด้วยที่หลิวอี้เฟยจะคบหากับซือเหยียน ทว่านางหลิวเยว่ก็ยอมใจอ่อนให้แก่ความดีของซือเหยียน
“เจ้าไม่ต้องวิตกเรื่องนั้น เพราะหากสอบจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้แล้ว ข้าต้องย้ายไปประจำอยู่ที่เมืองลู่เจ๋อเป็นนายอำเภอเมืองหลวงแดนใต้และถึงเวลานั้น ท่านแม่ก็ไม่สามารถคัดค้านการแต่งงานของเราสองคน”
“พี่ซือเหยียนฉลาดหลักแหลมเป็นที่หนึ่ง ข้าเชื่อว่าท่านต้องสอบจอหงวนได้แน่นอน”
นางกล่าวให้กำลังใจชายคนรัก ขณะจิตใจยังสับสนเป็นกังวลกับฝันหวานซึ่งเป็นไปได้ยาก
"เพราะฉะนั้นเราสองคนหมั้นหมายกันไว้ก่อนเถิด ยามที่ชายอื่นเห็นกำไลหยกนี้จะได้ไม่มาตอแยกับเจ้า”
ซือเหยียนหยิบกำไลหยกออกมาจากถุงผ้าและจับมือเรียวเล็กนุ่มนิ่มของหลิวอี้เฟยแบออก แล้ววางกำไลหยกล้ำค่านั้นตรงใจกลางฝ่ามือน้อยของนาง
“พี่แน่ใจแล้วหรืือ” หลิวอี้เฟยถามย้ำเสียงเบา
“อี้เฟย ข้ารักเจ้าสุดหัวใจและไม่มีวันที่จะเปลี่ยนใจจากเจ้าเป็นอันขาด”
ซือเหยียนกล่าวย้ำกับคนรักด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น ก่อนจะเอ่ยถามถึงความในใจของนาง
“แล้วเจ้าล่ะ”
“ข้าก็รักพี่ซือเหยียน”
หลิวอี้เฟยตอบด้วยความกระดากอาย
ซือเหยียนยิ้มอย่างมีความสุขเต็มใบหน้า สวมกำไลหยกให้นางและยกมือเรียวงามขึ้นจุมพิตด้วยความรักใคร่อย่างสุดซึ้ง ขณะที่หลิวอี้เฟยก้มหน้าลงอย่างขวยอาย
“อี้เฟย ตอนนี้เราสองคนหมั้นหมายกันแล้ว... ถ้าหากข้าขอชื่นใจสักเล็กน้อย เจ้าคงไม่ขัดข้องใช่รึไม่”
“ชื่นใจรึ... ชื่นใจอย่างไรกัน”
นางถามเสียงเบาอย่างหวั่นใจ
“แค่กอดจูบแบบที่คนรักทำกันเช่นไรเล่า” ซือเหยียนเอ่ยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ข้าว่าคงไม่เหมาะกระมัง”
หลิวอี้เฟยวางสีหน้าไม่ถูก นางเข้าใจแล้วว่าซือเหยียนปรารถนาสิ่งใด
“เจ้าไม่เชื่อใจข้ารึอย่างไร”
ซือเหยียนปล่อยมือนาง เขาสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นแล้วทำเหมือนเสียอกเสียใจที่ถูกปฏิเสธ
“ข้า…” หลิวอี้เฟยอ้ำอึ้ง บิดมือบนตักของตัวเองด้วยจิตใจกระวนกระวายเมื่อเห็นชายคนรักมองไปยังม่านน้ำตกด้วยความเงียบขรึมแววตาเศร้าสร้อย ต่างจากเมื่อสักครู่ลิบลับ
“พี่ซือเหยียน ข้ายอมให้ท่านชื่นใจก็ได้ แต่ท่านต้องสัญญาว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่นอกใจข้าเป็นอันขาด หากผิดคำสัญญาการหมั้นหมายของเราถือเป็นโมฆะและข้าจะไม่มีวันแต่งงานกับท่าน”
“ข้าสัญญา”
ซือเหยียนหันกลับมากล่าวยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น และทำทีเป็นสวมกอดร่างบอบบางด้วยความปลาบปลื้มใจ ขณะที่หลิวอี้เฟยก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนเมื่อซือเหยียนเริ่มขอความชื่นใจจากนาง
นางหลิวเยว่ตรวจตราของใช้จำเป็นในห่อผ้าของบุตรสาวเพียงคนเดียวอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะหยิบยื่นถุงเงินให้หลิวอี้เฟยและกล่าวกำชับอีกครั้ง
“เก็บห่อเงินนี้ให้มิดชิด ดูแลตัวเองดีๆ ให้เหมือนกับที่แม่เลี้ยงดูเจ้า”
หลิวอี้เฟยรับห่อเงินจากมารดา เก็บไว้ที่กระเป๋าลับเสื้อตัวในและเข้าไปกอดอำลานางหลิวเยว่ “ท่านแม่อย่าห่วง อี้เฟยเอาตัวรอดได้เสมอ สัญญากับข้าว่าท่านจะดูแลตัวเองให้ดี ไม่โหมทำงานหนักจนล้มป่วยอีกเป็นอันขาด”
“เจ้านั่นแหละ จงตั้งใจเรียนให้จบแล้วรีบกลับมาอยู่กับแม่”
“อาจารย์ฟ่านเจิงเป็นศิลปินเลื่องชื่อ ท่านแม่ขอร้องอย่างไรท่านอาจารย์ถึงยอมรับข้าเป็นลูกศิษย์”
“ท่านพ่อของเจ้าเป็นเพื่อนรักกับท่านฟ่านเจิงมาตั้งแต่สมัยเด็ก กระทั่งเติบโตเป็นหนุ่มก็ลำบากลำบนหาหนทางเพื่อร่ำเรียนจนสำเร็จได้เป็นบัณฑิตพร้อมกัน แต่ทว่าวาสนาคนเรานั้นช่างแตกต่างห่างไกล”
นางหลิวเยว่กอดบุตรสาว มือหยาบกร้านเพราะรับจ้างทำงานครัวในภัตตาคารกันปิ่งลูบศรีษะทุยสวยแอบยิ้มขมขื่นกับตัวเองเมื่อนึกถึงอดีต
กาลก่อนนั้นนางก็เป็นสตรีรูปโฉมงดงามไม่แพ้บุตรสาว มีชายหนุ่มมากมายมารักใคร่เกี้ยวพาแต่ทว่านางเลือกจะแต่งงานกับบัณฑิตยากไร้อย่างหลิวไป๋บิดาของหลิวอี้เฟย ซึ่งเมื่อคลอดบุตรสาวได้ไม่นานนัก สามีก็ล้มป่วยจนเสียชีวิตเพราะไม่มีเงินซื้อหยูกยามารักษาร่างกาย
สองแม่ลูกผละจากอ้อมกอดของกันและกันเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านนอก
“คนของคาราวานพ่อค้ามาเรียกแล้ว ท่านแม่ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ”
“เจ้าก็เหมือนกันอี้เฟย จำไว้ว่าแม่รอเจ้าอยู่”
รางเล็กบอบบางในชุดเสื้อผ้ารัดกุมปีนขึ้นไปนั่งรวมกับผู้หญิงคนอื่นๆ บนรถม้าของขบวนคาราวานซึ่งหยุดรับผู้โดยสารตามรายทางที่จะเดินทางไปค้าขายยังเมืองลู่เจ๋อและต้องเดินทางผ่านเมืองฉวี่ชุนที่เป็นจุดหมายของหลิวอี้เฟย