04 - เที่ยวตลาดนัด

1829 คำ
[Mao's Part]   "ฉันจะทำงาน ห้ามรบกวน ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามเข้ามาในห้องฉัน ห้ามออกไปเที่ยวนอกบ้าน ห้ามซน และไม่ต้องเรียกฉันกินข้าวหรืออะไรทั้งนั้น ฉันจะออกมาเอง จะดูทีวีหรืออ่านการ์ตูนหรือจะทำอะไรก็ได้ ขนมมีในตู้เย็น จะกินอะไรก็ตามใจ"   คุณทิวากรสั่งผมยืดยาว แล้วเขาก็เข้าห้องทำงานปิดประตูเงียบ ปล่อยให้ผมอยู่ในบ้านคนเดียว อ้อ! อยู่กับแมวจอมหยิ่งอีกตัว   แล้วผมจะทำอะไรดีหว่า? จะนอนก็ไม่ง่วง รายการทีวีก็มีแต่เกมโชว์อะไรไม่รู้ ข้าวตังก็ไม่ยอมให้อุ้ม การ์ตูนก็ไม่มีสักเล่ม มีแต่นิยายที่ตัวหนังสือเต็มพรืด กับหนังสือวิชาการน่าปวดหัว งานบ้านก็ทำไปหมดแล้ว กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้าตากเรียบร้อย ข้าวก็เพิ่งกินไปเมื่อเช้าจนอิ่ม   ในเมื่อไม่มีอะไรทำมากไปกว่านี้ผมก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาและเปิดทีวีดูไปเรื่อย ผมไม่ได้สนใจรายการพวกนั้นหรอกครับ แค่เปิดเอาเสียงไว้เป็นเพื่อนเท่านั้นแหละ คงไม่เปลืองไฟเท่าไหร่หรอกมั้ง   ผมมาอยู่กับคุณทิวากรได้สามวันแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะให้ผมมาอยู่ด้วย ผมยังจำได้ว่าคืนนั้นผมมาถึงหมู่บ้านนี้ตอนดึก ๆ ผมหิว ผมเพลีย แล้วก็ง่วงด้วย แต่จะไปนอนไหนได้ล่ะ ผมไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน ที่ติดตัวผมมามีแค่บัตรประจำตัวใบเดียว   โชคดีที่หมู่บ้านนี้ไม่มีหมาจรจัดมาวิ่งไล่ผม ผมเลยมุดเข้าไปซุกตัวในพุ่มดอกเข็มหน้าบ้านใครคนหนึ่ง แล้วก็หลับไปจนเช้า และคุณทิวากรก็มาปลุกผม จากนั้นก็พาเข้าบ้าน   ป้าเคยบอกผมว่า คนเมืองกรุงมีแต่คนแล้งน้ำใจ แต่คุณทิวากรกลับใจดี ถึงเขาจะชอบดุผม แต่ก็ไม่เคยลงโทษ แถมยังให้ผมอยู่ห้องส่วนตัวด้วย เขาใจดีเหมือนพ่อ... พ่อครับ ผมคิดถึงพ่อจัง...   "...เม่า..."   "...ข้าวเม่า"   "ข้าวเม่า ตื่นสิ เย็นแล้วนะ จะนอนไปถึงไหน"   เสียงคุณทิวากรปลุกผม... นี่ผมหลับไปเหรอ? ผมงัวเงียลุกนั่ง และลืมตามองคุณทิวากรที่ยืนตรงหน้า   "ลุกไปล้างหน้าแล้วออกไปข้างนอกกับฉัน ให้ไวนะ"   เขาสั่งผมเสียงดุ ผมรีบรับคำแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วออกมาหาคุณทิวากรที่นั่งรอที่โซฟา   "ไปตลาดนัดกัน นายต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ จะใส่ของฉันไปตลอดไม่ได้ละ ตลกน่าดู" เขาบอกแล้วลุกขึ้นเดินออกจากบ้าน ผมเลยต้องรีบวิ่งตาม   จะว่าไป ผมก็ไม่มีเสื้อผ้าใส่จริง ๆ นั่นละ ชุดที่ผมใส่มาคุณทิวากรก็ทิ้งไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นของเขา แถมรองเท้าแตะของเขาด้วย ผมดูตลกมาก เหมือนเด็กใส่เสื้อผ้าของผู้ใหญ่   ช่วยไม่ได้ครับ ผมสูงแค่ 168 เซ็น แถมผอมกะหร่อง ส่วนคุณทิวากรน่าจะสูง 180 เซ็นโน่นละ แถมบ่ากว้างจากการออกกำลังกายด้วย หุ่นเขาเพรียวยังกะนายแบบ หน้าก็หล่อ ตาก็คมเข้ม เท่ยังกะดารา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนักเขียนนิยาย   คุณทิวากรขับรถพาผมไปที่ตลาดนัดใหญ่มาก ผมเพิ่งเคยเห็นเลยนะเนี่ย มันกว้างและมีของขายเต็มไปหมด ของกินก็มี ต้นไม้ก็มี ใหญ่กว่างานกาชาดที่บ้านผมซะอีก ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว คนขายของเปิดไฟกันสว่างไสว มันสวยจริง ๆ   "มานี่สิ ไอ้ลูกแมว มัวแต่มองไปมองมา เดี๋ยวก็หลงกันพอดี"   คุณทิวากรคว้าข้อมือผมและจูงเดิน มือเขาใหญ่จัง ข้อมือผมเล็กไปเลยเมื่ออยู่ในมือเขา เขาพาผมมาที่แผงขายเสื้อยืด แล้วยื่นเสื้อตัวหนึ่งในไม้แขวนให้ผมดู   "ดูเสื้อนี่สิ ชอบไหม?" เขาถามแล้วหยิบมาให้ผมดูอีกหลายตัว   "ชอบสีไรล่ะ? สีเขียวไหม? หรือสีฟ้านี่?"   "เอ่อ สีเขียวครับ" ผมชี้ไปที่ตัวหนึ่ง คุณทิวากรพยักหน้า แล้วหยิบเสื้อโทนสีเขียวมาหลายตัวยื่นให้คนขาย   "เอาหมดนี่เลย" เขาบอก   "โห~ เยอะไปแล้วครับ แค่สองตัวก็พอครับ" ผมรีบห้าม แต่เขาไม่ฟังผมเลย   "กางเกงล่ะ เอวเบอร์อะไร?" เขาจับเอวผมแล้วลูบ   "ผอมแบบนี้ยี่สิบเก้าก็ได้ละมั้ง" คนขายบอกแล้วเอาสายวัดมาวัดเอวผม แล้วมันก็แค่นั้นจริง ๆ   "เอาสามสิบเถอะ เดี๋ยวกินมาก ๆ ก็คงอ้วนขึ้นบ้าง" คุณทิวากรบอกแล้วหยิบกางเกงขายาวหลายตัวส่งให้คนขาย รวมทั้งกางเกงขาสั้นหลายตัว กางเกงในอีกเป็นโหล   ผมหิ้วถุงใส่เสื้อผ้าของผมเกือบสิบถุงละครับตอนนี้ แล้วคุณทิวากรก็ดึงไปถือเองครึ่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็จูงมือผมเดินต่อไปร้านรองเท้า ผมได้รองเท้าแตะคู่หนึ่ง รองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งกับถุงเท้าอีกสองคู่   "หึ ท่าจะไม่ไหวละมั้ง?" เขายืนมองผมที่หิ้วของพะรุงพะรังแล้วก็หัวเราะ   "เอาไปเก็บที่รถเถอะ เดี๋ยวมาเดินใหม่" เขาบอกแล้วจูงมือผมเดินออกจากตลาดนัดไปที่ลานจอดรถ   นี่ยังจะมาเดินอีกเหรอเนี่ย แค่เสื้อผ้าผมก็หมดไปหลายพันแล้วนะ ผมแอบปาดเหงื่อละครับ ผมต้องทำงานกี่เดือนถึงจะพอค่าเสื้อผ้าพวกนี้ล่ะเนี่ย   พอเอาของไปเก็บแล้ว เขาก็จูงมือผมเดินกลับไปตลาดนัดตามเดิม แต่ไปคนละทางกับครั้งแรก ทางนี้มีแต่ของกินเต็มไปหมด บางอย่างผมเพิ่งเคยเห็น บางอย่างผมก็ไม่รู้จัก บางอย่างก็เคยเห็นในทีวี   "อยากกินอะไรไหม? บอกมาเลยนะ จะซื้อให้" เขาหันมายิ้มให้   "เอ่อ ครับ" ผมรับคำแล้วก็มองไปทั่ว ๆ มันเยอะจนเลือกไม่ถูก ผมอยากลองกินทุกอย่างเลย แต่คงกินไม่ไหว   "สนใจนั่นเหรอ? ยืนรอนี่นะ ข้ามขยับไปไหน" คุณทิวากรสั่งผมแล้วเดินไปซื้อของกินเล่นที่ผมยืนมองอยู่ และตามด้วยขนมอีกหลายอย่าง   "เยอะเกินไปแล้วครับ ผมกินไม่หมดหรอก" ผมมองถุงขนมของกินเล่นที่หิ้วเต็มมือ   "เก็บใส่ตู้เย็นไว้สิ จะกินก็เอามาอุ่นในเวฟก็ได้ ตลาดนัดนี่มันมีแค่อาทิตย์ละครั้ง แล้วฉันก็ไม่มีเวลาพามาบ่อยด้วย"   ผมหมดคำโต้แย้งละครับ จากนั้นคุณทิวากรก็พาผมไปนั่งกินผัดไทยที่ร้านหนึ่ง เขาสั่งผัดไทยกุ้งสดให้ผม ครั้งแรกเลยนะเนี่ย ที่ผมได้กินผัดไทย มันอร่อยมาก แถวบ้านผมมีอย่างมากก็แค่ก๋วยเตี๋ยวผัดที่ใส่แค่ไข่นิดหน่อยกับถั่วงอกไม่กี่เส้น แต่นี่มันอลังการมาก มีทั้งเต้าหู้ มีทั้งหมูแดง มีทั้งกุ้ง ในความรู้สึกผมนะ แล้วเขาก็ซื้อโกโก้เย็นที่โปะวิปครีมโรยท็อปปิ้งจนพูนให้ผมแก้วหนึ่ง ไอ้นี่ผมเคยเห็นแต่ในทีวี แต่ตอนนี้ผมได้กินมันแล้ว อย่างกับความฝันเลย       [Korn's Part]   ผมมองเด็กผู้ชายตัวผอมนั่งกินผัดไทยด้วยท่าทางอร่อย แถมยังมองโกโก้เย็นที่ผมซื้อให้ด้วยความตื่นเต้น เขากินทุกอย่างด้วยความอร่อยและมีความสุข รอยยิ้มกับแววตาสดใสบนใบหน้าเรียวสวยนั่นน่ามองจริง ๆ   รอยแผลฟกช้ำตามหน้าตาและลำตัวหายหมดแล้ว แต่ที่ใต้ตาขวานั่นกลายเป็นแผลเป็นจริง ๆ แต่ดีที่มันไม่ใหญ่ และเห็นไม่ชัดมาก ไม่งั้นคงน่าเสียดายแย่ ถ้าหน้าหวาน ๆ นั่นจะมีรอยแผล   "อิ่มหรือเปล่า? จะกินอะไรอีกไหม?" ผมถามเมื่อเห็นลูกแมวตรงหน้ากินผัดไทยจนเกลี้ยงจาน   "พอแล้วครับ อิ่มมากเลย อร่อยด้วย" ข้าวเม่าตอบผมด้วยรอยยิ้ม   เจ้าเด็กนี่ยิ้มสวยจริง ๆ ถ้าเป็นผู้หญิงนี่ หนุ่ม ๆ คงรุมจีบกันน่าดู   "แล้วต้องซื้อขนมไปฝากข้าวตังไหมครับ?" เขาถามผมด้วยแววตาสดใส   "ไม่หรอก แมวกินอาหารคนมากไม่ดีหรอกนะ แล้วขนมมันก็อยู่ในตู้ใส่อาหารแมวไง ที่เป็นซองยาว ๆ น่ะ"   "อ๋อ นั่นคือขนมของข้าวตังเหรอครับ? ผมไม่รู้เลยเทแต่อาหารเม็ดใส่ชามให้"   "อืม ไม่ต้องให้กินบ่อยหรอก เดี๋ยวมันจะอ้อนขอกินแต่ขนมแล้วไม่ยอมกินอาหารเม็ด ส่วนอาหารเปียกเป็นซอง ก็ให้มันกินสลับกับอาหารเม็ดนะ สามสี่วันให้กินทีก็ได้"   ผมอธิบาย แล้วเขาก็ตั้งใจฟังอย่างดี ข้าวเม่าฉลาดนะ ผมสอนอะไรไปแค่ครั้งเดียวก็จำได้หมดเลย ทั้งวิธีใช้เครื่องซักผ้า วิธีอุ่นอาหารกับไมโครเวฟ แต่บางทีก็ซื่อบื้อจนน่าเตะ ผมเลยสรุปไม่ได้ว่าเจ้าเด็กนี่ฉลาดจริงหรือเปล่า   "อิ่มแล้วก็กลับกันเถอะ ฉันจะเขียนนิยายตอนสุดท้ายส่งแล้วจะได้ปิดซีรีส์ผีสักที" ผมบอกแล้วจ่ายเงินค่าผัดไทยก่อนจะลุกจากเก้าอี้   "ผีมีจริงหรือเปล่าครับ?" ข้าวเม่ารีบลุกตามแล้วถามผมด้วยสายตาอยากรู้   ก็เอ็งน่ะแหละ ผี!! ผมอยากตอบแบบนี้นะ เพราะไอ้ลูกแมวนี่มานั่งร้องไห้ที่พุ่มดอกเข็มคืนนั้นนั่นแหละ ทำเอาเขาเล่าลือกันทั้งหมู่บ้านว่าเจอผีเด็กเลือดท่วมตัว แถมทำผมจิตหลอนไปเป็นวัน คิดว่าเจอของจริงเข้าแล้ว   "ถ้าไม่เจอก็คงไม่มีจริง แต่ถ้าได้เจอเมื่อไหร่ มันก็มีจริง"   "หา? หมายความว่ายังไงครับ?" ผมเห็นความไม่เข้าใจในแววตาเขาแล้วก็อดขำไม่ได้   "ช่างมันเถอะน่า กลับกันได้แล้ว" ผมหัวเราะแล้วขยี้ผมเด็กตัวบาง ก่อนจะดึงถุงขนมที่เขาหิ้วมาถือแล้วจูงมือกลับไปที่รถ ซื้อบื้อแบบนี้ปล่อยเดินคนเดียวเดี๋ยวก็หันไปมองนั่นมองนี่ เกิดโดนคนอื่นชนมีหวังได้หลงกันแน่ มือถือก็ไม่มี จะตามหาตัวคงยาก จูงมือแบบนี้แหละ ไม่หลงแน่นอน   -------------------------  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม