จางหยูเยี่ยนค่อยๆ วางหมากลง สีหน้าเขาดีขึ้นกว่าคราแรกที่เดินเข้ามาในศาลาแปดเหลี่ยม ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเจอสิ่งที่ถูกใจอยู่ตรงหน้า ซิ่นหนิงเหย่เอ่ยขึ้น
"ความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นหลักของ ‘หลี่’ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นหลักของ ‘จื้อ’ ความรู้สึกเห็นใจผู้อื่นเป็นหลักของ ‘เหยิน’ ตัวหมากล้อมได้สอนเราไว้หมดแล้ว"ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยขึ้น
"เจ้ารู้หลักการ?" เขาถามอย่างแปลกประหลาดใจ ไม่คิดว่าระหว่างเดินหมากจะมีใครกล่าวหลักการเดินหมากนี้
"ก็พอทราบอยู่บ้างเจ้าค่ะ แต่ก็มิเก่งกาจเยี่ยงนักปราชญ์"
"แน่นอน! เจ้าไม่ใช่นักปราชญ์แล้วเจ้าจะกล่าวหลักการนี้เพื่อสิ่งใดเล่า" จางหยูเยี่ยนเอ่ยถามอย่างเสียมิได้ เพราะไม่เข้าใจสตรีเบื้องหน้าที่อยู่ๆก็เอ่ยหลักของนักปราชญ์ราวกับนางกำลังสั่งสอนเขา ซิ่นหนิงเยว่ช้อนตาชำเลืองมองแต่ก็ไม่เต็มตานักและหันเหสายตาของตนมาสนใจหมากล้อมตรงหน้าอีกครั้ง
"ข้าน้อยผู้เป็นภรรยานึกบางสิ่งออกจึงได้เอ่ยขึ้นมาเพียงลอยๆเท่านั้น ท่านแม่ทัพก็อย่าได้ใส่ใจข้าน้อยเลยเจ้าค่ะ แต่หากต้องการให้อธิบายว่าสิ่งที่ข้าน้อยนึกนั้นคือสิ่งใด ย่อมต้องชี้แจงตามที่ท่านประสงค์" นางยิ้มน้อยๆให้กับกระดานตรงหน้าแล้วเอ่ยถ้อยคำขึ้นอีกครั้ง
"ข้าน้อยระลึกเสมอมาว่าผู้เป็นมารดาสั่งสอนให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ควรแสดงกิริยาที่มิงามไม่ว่าสิ่งนั้นจะสร้างความพอใจหรือไม่ก็ตาม ก็ควรเก็บอาการเอาไว้ เพราะตนเป็นสตรี ต้องรู้จักผิดชอบชั่วดีไม่ว่าจะหญิงหรือชายสิ่งนี้ควรกระทำเสมอ หากรู้ว่าผิดแต่ยังดึงดันฝืนที่จะทำ ด้วยรู้ทั้งรู้ว่ามิควรนั่นมิใช่ปุถุชนคนที่ดี สุดท้ายที่ข้าน้อยจะขอกล่าวเพียงสั้นๆคือความรู้สึกเห็นใจผู้อื่น เพราะข้าน้อยไม่เคยไม่ได้รับ แต่เพราะได้เล็งเห็นว่า หากข้าน้อยคิดเห็นใจผู้อื่นสักวันคนผู้นั้นจะหันกลับมาเห็นใจข้าน้อยบ้าง"
"เจ้าหมายถึงใคร?"
"ข้าน้อยจะหมายถึงใครเล่าเจ้าค่ะ ก็ย่อมหมายถึงทุกคน...เล่นหมากต่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้นำคำพูดของข้าน้อยมาทำให้พื้นอารมณ์ของท่านแม่ทัพต้องเสียไปเพราะคำพูดพล่อยๆของข้าน้อยเลยเจ้าค่ะ" เขาไม่ตอบคำนาง เพียงแค่มองใบหน้าเรียบเฉยของซิ่นหนิงเยว่เพียงครู่ และหันมาสนใจกระดานหมากล้อมตรงหน้าอีกครั้ง
"สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ไม่เห็นเกี่ยวกับข้าเลยสักนิด" เขาเอ่ยขึ้นมาไม่สนใจว่าซิ่นหนิงเยว่ที่นั่งตรงข้ามจะรู้สึกเช่นไร นั่นทำให้นางยิ้มขื่นขึ้นมาแม้จะกลืนน้ำลายก็ยังรู้สึกแสบคอทันที
"ข้าน้อยถึงได้บอกท่านแม่ทัพไงเล่าเจ้าคะ ว่าอย่าได้สนใจคำพูดพล่อยๆของข้าน้อย ท่านแม่ทัพก็ทราบดีว่าข้าน้อยโง่งม ปัญญาทึบ ไม่ค่อยทันผู้คนนัก" น้ำเสียงนางใครฟังย่อมรู้ว่านางประชดประชันตัวนางเองที่เกิดมามิได้ฉลาดหลักแหลม หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตนทำบุญมาน้อยจึงได้เกิดมาในสกุลซิ่น อยู่แต่ภายในเรือน ความรู้ต่างๆที่ได้รับมาก็มีเพียงมารดาของตนที่ถ่ายทอดให้เท่านั้น ผิดกลับบุตรีคนรองที่เกิดจากฮูหยิน
รองที่ผู้เป็นบิดาหาอาจารย์มาสอนศิลปะวิชาถึงภายในจวน
"เจ้าเล่นหมากล้อมเป็นด้วยรึ? "เขาเองก็ยังนึกรู้สึกสงสัยอยู่ไม่คลาย จึงเอ่ยถ้อยคำขึ้นอีกครั้ง
"พอเล่นได้ แต่หาเก่งกาจ ข้าน้อยได้กล่าวไปเมื่อครู่อย่างไรเจ้าคะ" นางตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตานางจับจ้องที่กระดาน หาได้มองไปยังบุรุษตรงหน้าแม้แต่น้อย ไม่นานดวงตานางก็เริ่มแดงขึ้น นางพยายามกะพริบตาเพื่อขับไล่น้ำตาที่ร้อนชื้น
"เป็นอะไร?" เขาเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัยจนคิ้วขมวดเข้าหากัน ซิ่นหนิงเยว่พยายามฝืนยิ้ม ทั้งๆ ที่นางอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่รู้นางว่าจะร้องได้ด้วยสาเหตุใด ให้นางร้องไห้ให้กับเขา? เขาผู้ที่ไม่เคยส่งมอบสิ่งใดให้กับให้แก่คนที่ไม่น่าสงสารคนหนึ่งนั้นน่ะหรือ? ไม่ใช่! นางร้องไห้ให้แก่กับความน่าสมเพชเวทนาของนางเองต่างหากเล่า
"มิมีสิ่งใดหรอกเจ้าค่ะ เมื่อครู่ลมพัดเศษฝุ่นเข้าตาเท่านั้นเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นหรือ?"
"เจ้าค่ะ หากไม่เชื่อคำก็สลับตำแหน่งกันก็ได้นะเจ้าคะ" เมื่อเห็นเขาไม่ตอบนางก็ไม่พูดสิ่งใดอีก นางวางหมากไปเรื่อยๆ จนตัวเองเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า นางมิสามารถทนต่อสถานการณ์เช่นนี้อีกต่อไป ไหนๆ นางก็เจ็บ…เจ็บเพราะสายตาเหยียดหยันของเขา บุรุษผู้นี้จงเกลียดจงชังนาง ความมีตัวตนของนางทำให้เขาถากถางนาง ใครไม่มาเป็นนางก็จะไม่มีวันจะเข้าใจความรู้สึกนี้ เช่นนั้นนางขอเจ็บเสียทีเดียว บีบหนองที่ฝังรากในใจให้หมดเสีย และอดทนต่อความเป็นอยู่ในตอนนี้ให้จงได้...และสักวันนางจะชนะ