เสียงหนึ่งดังในโสตประสาทเพื่อเป็นการย้ำเตือนนาง ‘หากคนเราไม่เคยพ่ายแพ้ จะไม่รู้จักความอับอาย ไม่เคยเจ็บก็ไม่รู้จักความเจ็บ’
"ในบรรดาอี๋เหนียงของท่าน ท่านชื่นชอบใครมากที่สุดเจ้าคะ?คงเป็นหรงเซียะเหม่ย"
"เจ้าถามทำไม?"
"ข้าแค่อยากรู้ อนุของท่านแม่ทัพแต่ละคนล้วนอายุมากกว่าข้า งดงามกว่าข้า อีกทั้งสงบเสงี่ยมเจียมตนมากกว่าข้า การมาของพวกนางล้วนทำให้ชีวิตท่านสุขสำราญ ซึ่งแตกต่างกับข้าน้อย" นางนิ่งหลังกล่าวจบ และเขาก็นิ่งด้วยเช่นกัน
"ท่านคงรังเกียจข้ามากสินะเจ้าคะ?" นางเอ่ยขึ้นหลังจากที่นิ่งไปสักพัก แต่มิมีคำตอบใดหลุดออกจากปากบุรุษตรงหน้า
"ข้าขอโทษที่วางแผนบีบบังคับให้ท่านต้องแต่งงานกับข้า คืนนั้นเป็นข้าที่วางแผนให้คนมอมยาท่านจริง" นางเอ่ยและมองใบหน้าของเขาที่บัดนี้บึ้งตึงขึ้นมา
"แต่…ทั้งข้าและท่านก็หามีอะไรเกินเลย เราทั้งสองแค่นอนเตียงเดียวกัน" นางยังคงพูดต่อ พร้อมวางหมากสีขาวลงบนกระดาน
"ข้าช่างไม่เจียมตัวเลยจริงหรือไม่เจ้าคะ แต่ก็ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพที่ทำให้ข้าออกมาใช้ชีวิตใหม่นอกสกุลซิ่น เป็นถึงฮูหยินน้อยของท่านแม่ทัพผู้กล้าในแผ่นดินต้าจิ๋น" เขายังคงจดจ้องนางสลับกับมองกระดานหมากตรงหน้า ใบหน้าของนางดูจะราบเรียบ ดูไม่มิสะทกสะท้านกับคำพูดแต่อย่างใด เขาก็ไม่สนใจนาง ยังคงก้มหน้ามองกระดานหมากต่อเพื่อที่จะวางหมากต่อ
"เหตุใดเจ้าถึงออมมือให้ข้า" เขาวางหมากตัวหนึ่งลงบนกระดานหมาก ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาและเห็นนางไม่ใส่ใจกับกระดานหมากนี้สักเท่าไหร่ และแทนที่นางจะตอบคำถามของเขา คำตอบกลับไปในทิศทางอื่น
"ท่านแม่ทัพเจ้าคะ หนังสือหย่าระหว่างท่านกับข้ายังอยู่หรือไม่เจ้าคะ?"
"เจ้าถามทำไม? "เขาขมวดคิ้วสงสัย เหตุใดนางถึงถามเรื่องราวเมื่อครั้งนั้น เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นางคิดปลิดชีพตน นางยิ้มน้อยๆ ออกมา แต่แววตาไม่ได้มองมาที่จางหยูเยี่ยน มือหนึ่งหยิบหมากลงวางในตำแหน่งที่ตนเองต้องการแล้วกล่าวด้วยเสียงใสกังวาน และดังก้องไปยังโสตประสาทของนางเอง
"จะหมากล้อมกระดานนี้ หรือหมากชีวิต ข้าก็แพ้อยู่ดีนี่เจ้าค่ะ"
"เจ้าหมายความว่าอะไร อย่างไร? " เขาถามทั้งที่ใจสมควรที่จะยินดี แต่ไม่รู้เหตุใดจึงขัดใจนัก หรือจะเป็นเพราะนางมีแผนการ
"ไม่แพ้ก็ชนะ มันเป็นธรรมดาของกฎเกณฑ์นี่เจ้าคะ เพราะทั้งข้า ท่านแม่ทัพ หรือแม้แต่ใครๆ ต่างเป็นผู้เล่นในหมากกระดาน หากเดินพลาดก็ย่อมแพ้ แม้ข้าน้อยยังไม่เคยลงสนามเล่นเองเสียที แต่โปรดเชื่อเถิดเจ้าค่ะ...ข้าย่อมน้อมรับความเป็นจริงที่สวรรค์กำหนด และเจ้าของจวนขีดเส้นกำกับข้า"
"เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า…" เขาไม่เอ่ยต่อมีเพียงซิ่นหนิงเยว่ที่
พยักหน้ารับแล้วเอ่ย
"ข้านั่งจ้องคันฉ่องมานานพอดู ยิ่งส่องก็ยิ่งเห็นแต่ตัวข้าน้อยเอง
ข้าพร่ำถามตัวเองว่า เหตุใดถึงปักใจให้กับบุรุษที่มิมีแม้แต่เศษใจให้ข้าแม้แต่น้อย ข้าไม่อยากใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพยายามให้เขาผู้นั้นหันมารักข้า ทั้้งๆ ที่ชายผู้นั้นรังเกียจข้าแม้แต่นามของข้า สองขามิเคยเหยียบย่างมาหา รวมทั้งสองตามิเคยเหลียวแล..."
น้ำเสียงของนางเริ่มสั่นเครือ แต่นางก็ยังฝืนที่จะพูดต่อ
"...ข้ายินดีหย่ากับท่านด้วยความเต็มใจ หนังสือหย่าฉบับเดิมที่ท่านบอกกับข้าว่ามีหลายต่อหลายแผ่นที่ข้าน้อยอาจจะลงนามไม่ชัดเจน ไม่ตรงตำแหน่งแต่เดิม อีกทั้งมิได้ประทับลายนิ้วมือ แต่ฉบับนี้ข้าเต็มใจ ข้าจะรอหนังสือหย่าจากท่านนะเจ้าคะ" ซิ่นหนิงเยว่ยื่นหนังสือหย่าที่นางบรรจงเขียนให้เขา ด้วยรู้ดีว่าการที่นางเรียกหรงเซียะเหม่ยมาพบ
จางหยูเยี่ยนย่อมต้องตามมาเป็นแน่ อะไรๆ ที่ค้างคาใจก็ควรที่จะสะสางให้สิ้น ให้เขาได้รับรู้ว่านางยินดีจะหย่าขาด ไม่คิดเหนี่ยวรั้งตำแหน่งเพียงในนามนี้ไว้
"ข้าน้อยขอตัวนะเจ้าคะ" ดวงตานางแดงก่ำอย่างปิดไม่มิด แต่น้ำตาถูกสั่งห้ามมิให้ไหลรินออกมา นางลุกขึ้นโดยไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรอีก
"เดี๋ยว แล้วเจ้าทำใจได้?" นางชะงัก แต่นางยังคงตอบคำถามเขาโดยที่มิได้หันกลับมา มีเพียงเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของนาง
"วันเวลากับการยอมรับความจริงจะรักษาทุกสิ่ง แค่ไม่นานหรอกเจ้าค่ะ" นางกำลังจะก้าวเท้าต่อ แต่ก็จำต้องหยุดเมื่อเขาเอ่ยถามอีก
"แต่ตอนนี้เจ้าเป็นคนสกุลจาง! "
"อย่าลืมสิเจ้าคะ ข้าเป็นสตรีที่ร้ายกาจ และเพิ่งทำคนรักของท่านหลั่งน้ำตา เมื่อใดที่ข้าได้จดหมายหย่า ข้าก็มิใช่คนตระกูลจางอีกต่อไป ข้าก็กลับมาเป็นคุณหนูซิ่น ซิ่น-หนิง-เยว่ อ๋อ! ข้าเกือบลืม ข้าขอบคุณที่อดทนสนทนากับข้าได้นานถึงเพียงนี้ ทั้งที่ท่านไม่เคย"
นางยิ้มพร้อมความเจ็บแปลบภายในจิตใจลึกๆ ที่จิตใจปนกับความโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก กระนั้นกับร่างของนางก็ยังสั่นเทาเพราะเมื่อพอได้เอ่ยคำ ทุกอย่างที่นางอยากพูดก็พรั่งพรูออกมา แต่ทว่าน้ำเสียงที่นางได้เปล่งออกมานั้นมิได้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่านางเสียใจแม้แต่น้อย
นางเดินไปไกลแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงจางหยูเยี่ยนในศาลาแปดเหลี่ยม เขานั่งมองกระดานหมากล้อมนิ่ง โดยหารู้ว่าในใจเขานึกถึงสิ่งใด
หลังจากที่จางหรงเซียะเหม่ยสนทนากับซิ่นหนิงเยว่ เป็นเวลานาน ดีที่แม่ทัพจางมาขัดจังหวะเสียก่อน จิตใจของนางกระวน-กระวาย ซิ่นหนิงเยว่กล่าวถูก นางทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหรงเซียะเหม่ย อี๋เหนียงลำดับที่สี่ของตระกูลจาง นางมิรู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวท่านแม่ทัพเลย รวมถึงคนในตระกูลของตนเอง
นางมาอยู่ในร่างนี้ได้เพียงสามเดือน ปักษ์แรกที่เข้ามาอยู่ยังร่างนี้นางได้รับรู้ถึงความรู้สึกของท่านแม่ทัพผู้เป็นสามีอยู่เรื่องหนึ่ง คือเขามิชื่นชอบจางฮูหยิน เมื่อใดที่ได้ยินชื่อหรือเจอหน้าท่าทีเขาชัดเจนยิ่ง แต่หากเป็นหรงเซียะเหม่ยทั้งแววตา ท่าทาง และน้ำเสียงจะดูอ่อนโยน ทะนุถนอมนางราวกับไข่ในหิน ในเมื่อบุคคลทั้งสองไม่มีใจผูกพันรักมั่นไยต้องฝืนอยู่ร่วมกัน สู้หย่าขาดกันเสีย ไม่นานอีกฝ่ายย่อมทำใจได้ไม่ยาก เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น นางเชื่ออย่างนั้น
นางจึงช่วยเขาวางแผนให้ซิ่นหนิงเยว่ลงลายมือชื่อในกระดาษที่จางหยูเยี่ยนลงชื่อไว้แล้วให้ได้ โดยอ้างว่าตนเองได้ไปวัดแห่งหนึ่ง แล้วได้พบกับไต้ซือผู้หนึ่งที่สามารถผูกดวงเนื้อคู่ได้ สามีที่หมดรักหรือหมางเมินจะกลับมารักใคร่
ซิ่นหนิงเยว่ได้ยินดังนั้นก็กลัวว่านางกับจางหยูเยี่ยนจะเป็นเนื้อคู่กัน จึงนำกระดาษชุดนั้นมาเขียนชื่อตนเสียเอง นางยังยิ้มเยาะในใจว่าสตรียุคนี้ช่างหลอกง่ายเสียจริง แต่ไม่คิดว่าเพียงหนังสือหย่า จางฮูหยินจะคิดปลิดชีพของตน
ความหวาดหวั่นเข้าเกาะกุมหัวใจหรงเซียะเหม่ย เมื่อรู้ว่า
ซิ่นหนิงเยว่ไปอยู่ในร่างของตนเองนางในยุคเดิมที่นางจากมา นางที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะที่สองและจะเข้าสู่ระยะที่สาม วันนั้นนางจำได้ดีว่าเป็นวันที่นางให้ต้องได้รับการรักษาด้วยการให้คีโม การรักษาครั้งนั้นซึ่งสร้างความเจ็บปวดทรมานทางกาย อีกทั้งมีเรื่องบางอย่างในใจที่สุดแสนทรมานทางใจจนนางทนมิได้ สติสัมปชัญญะจึงได้หลุดลอยไป ทว่าเมื่อนางลืมตาขึ้นก็มาอยู่ในร่างของหรงเซียะเหม่ยเสียแล้ว นางจะมิยอมให้ชีวิตใหม่ที่ร่างกายสมบูรณ์พร้อมที่สวรรค์ส่งนางมาอยู่ในร่างนี้ต้องสูญเสียทุกอย่างไป
แต่นางหญิงผู้นั้น...ผู้ที่หลุดไปในโลกของนาง หากวิญญาณจะหลุดลอยไปสิงสถิตยังร่างใครก็ได้ จะเป็นร่างที่ไร้วิญญาณ หรือวิญญาณซ้อนทับกับร่างเดิมก็ได้ แต่ที่สำคัญร่างนั้นไม่สมควรเป็นร่างของนาง หากไม่ใช่! นางจะไม่รู้สึกกังวลเด็ดขาด
ทว่าหญิงผู้นั้นกลับหลุดไปอยู่ในร่างของอาจู อาจูผู้มีอดีต และอดีตที่ไม่ควรนำมาเล่าขาน ซิ่นหนิงเยว่รู้เรื่องในอดีตของนางทุกอย่าง และรู้แล้วด้วยว่านางคนที่อยู่ในร่างของหรงเซียะเหม่ยคืออาจู
นางเป็นเจ้าของร่างที่มีแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์ สิ่งที่อยากกินกลับไม่ได้กิน สิ่งที่ไม่ต้องการกินกลับถูกบังคับขืนใจให้กินเพื่อยื้อยุดฉุดรั้งไม่ให้วิญญาณหลุดจากร่าง
เส้นผมที่เคยยาวสลวย ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลกลับแปรเปลี่ยนเป็นผอมโซ ผมขาดร่วงบางเสียจนเห็นหนังศีรษะ จำต้องพึ่งเส้นผมปลอมจากมาอำพรางใช้ทดแทนความงดงามที่ถูกคร่าไป
สุดท้ายซิ่นหนิงเยว่ก็กลับมาพร้อมนำหายนะในวันข้างหน้ามาสู่นางได้ วันนี้ที่นางได้ไปพบกันก็รู้แล้วว่าซิ่นหนิงเยว่ไม่พอใจอาจู...ที่บัดนี้เป็นหรงเซียะเหม่ย แล้วอะไรจะเกิดขึ้น นางจะถูกฆ่าหรือไม่ ความทุกข์ใจในการหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ช่างยากเย็นนัก นางนั่งหลับตาเพื่อให้ใจสงบ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าในเมื่อนางกล้าเปิดเผยเรื่องราวเหนือธรรมชาติ นางคงมิคิดร้ายกับตนเป็นแน่ วันพรุ่งนางจะไปคารวะซิ่นหนิงเยว่และผูกมิตรกับนาง หากนางไม่รับ...คงแล้วแต่สวรรค์จะบัญชา