แต่นี่มันเป็นข้อผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะเหมือนอาจารย์จะล่วงรู้ความคิดเขา ได้พาสัตว์จำพวกลิงมาให้เขาทดลองจนเหนื่อยแทบใจจะขาด วันดีคืนดีลากมนุษย์มาแต่ไหนก็ไม่รู้มาให้รักษา ทั้งเป็นโรคหัวใจเอย โรคสมองตีบ โรคภูมิแพ้ แม้กระทั่งเนื้องอก แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จและอาจารย์ก็พาคนพวกนั้นกลับไปยังที่จากมา
ทว่ายังไม่ทันได้พักหายเหนื่อยก็โดนลู่เฟยลากไปฝึกวรยุทธ์ มันเหนื่อยจนน้ำตาแทบกระเด็น ตอนนี้วิชาตัวเบาของเขานับว่าเร็วพอตัว แต่มันกลับเป็นเพียงเด็กอนุบาลของลู่เฟยทำให้ต้องมาวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่นี่ไง
แฮ่กๆๆ
จิวชงหยวนหายใจอย่างเหนื่อยหอบ เมื่อมาหยุดอยู่ใต้น้ำตกที่ห่างไกลจากที่พักถึงสิบลี้ ทว่ากลับต้องสะดุ้งเมื่อเห็นร่างใครบางคนยืนเหยียบผิวน้ำอย่างแผ่วเบา
“มาช้า” ลู่เฟยกล่าวกับคนที่ยืนหอบอยู่ไม่ห่างด้วยรอยยิ้มบางๆ สองมือยืนไขว้หลังเดินไปมาอยู่บนผิวน้ำ จิวชงหยวนหรี่สายตามองอาจารย์ที่เขาไม่เคยเรียกว่าอาจารย์สักครั้ง เจ้าตัวก็ไม่ได้บ่นเสียด้วย แถมยังดูชอบใจเสียอีกที่เขาเรียกลู่เฟยคล้ายกับว่าโลกนี้ไม่มีใครเรียกชื่อตนมาก่อน
“ใครจะไปเร็วเหมือนเจ้ากัน” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างเหนื่อยๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขาก็พยายามทำตัวให้เข้ากับคนที่นี่ และการพูดจาก็เปลี่ยนไป จากผมเป็นข้าและจากคุณเป็นเจ้าหรือท่านตามความเหมาะสม แต่คนตรงหน้าเหมาะที่จะเป็นเพื่อนเขามากกว่าอาจารย์เสียอีก
“ข้ามาตามปกติ แต่ใครใช้ให้เจ้าคลานเหมือนเต่ากันล่ะ” จิวชูหยวนได้แต่มองตามอย่างเจ็บใจ เร็วขนาดนี้ยังว่าเขาช้าเหมือนเต่า ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนคงยิ่งกว่าหอยทากเป็นตะคริวเสียอีกกระมัง
“ช่างเถอะข้าขี้เกียจเถียงเจ้าแล้ว วันนี้จะให้ข้าทำอะไร” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างตัดบท
“เดินบนผิวน้ำให้ได้เหมือนข้า” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนกระโดดลงไปผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ทว่าผิวน้ำกระเพื่อมไหวไปมามิอาจนิ่งเฉยได้ แม้จะโคจรลมปราณไปที่เท้าเท่าไรก็มิอาจทำได้
“เจ้าต้องใจเย็น” คำเตือนสั้นๆ พร้อมเดินเป็นตัวอย่างทำให้จิวชงหยวนทำหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง แต่คำพูดคำจาที่กวนอารมณ์ตลอดของลู่เฟยทำให้อดคิดถึงนพดลเพื่อนสนิทไม่ได้เพราะทั้งคู่นั้นมีนิสัยที่คล้ายกันนัก
จิวชงหยวนหลับตาลงทำสมาธิให้หยุดนิ่งแล้วก้าวเดินอย่างแผ่วเบาฟังเสียงรอบกาย เสียงลม เสียงใบไม้ไหว และเสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆ เขาไม่รู้เลยว่าตนใช้เวลาไปนานเท่าไรกับการทำสมาธิ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นลู่เฟยเสียแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะหากเป็นช่วงที่ใช้สมาธิลู่เฟยจะหายไป
การเดินบนผิวน้ำดูเหมือนง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก หากแต่การเดินบนผิวน้ำแต่ไม่ให้น้ำกระเพื่อมไหวนั้นยากเกินกว่าที่คนปกติจะทำได้ จิวชงหยวนใช้เวลาไปถึงสามวันกว่าจะทำได้อย่างที่พอใจ แม้อาจารย์จำเป็นจะบ่นและชอบด่าเขาว่าโง่ต่างๆนาๆ แต่พอนานไปเขากลับชินชาจนอดคิดได้ว่าหากวันไหนไม่โดนด่าก็คงจะนอนไม่หลับ
เข้าเดือนที่แปดที่จิวชงหยวนอยู่บนหุบเขาแห่งเซียน ตอนนี้เขาสามารถปรุงยาแปลกๆ ขึ้นได้หลากหลายชนิด กระทั่งยาแก้ปวดลดไข้คล้ายกับยาพาราในโลกปัจจุบัน เขาก็ทำสามารถปรุงได้สำเร็จแม้ว่าตัวยาคนละอย่างแต่สรรพคุณเหมือนกัน อีกทั้งยาแก้โรคหัวใจ ยารักษาลมปราณให้สงบ
แม้แต่ยาอายุวัฒนะเขาก็ทำได้สำเร็จ แต่อาจารย์กลับบอกว่ามันเป็นอันตรายต่อโลกมนุษย์หากมีใครรู้เข้าจักต้องเกิดหายนะขึ้นแน่ เขาจึงสร้างเพียงสามเม็ดเท่านั้นและเก็บไว้ในกล่องอย่างดี ณ ตอนนี้ไม่มีสมุนไพรตัวไหนที่เขาไม่รู้จัก แม้แต่ยาวิเศษไม่มีสี ไม่มีรส ไม่มีมีกลิ่น เขายังสามารถสัมผัสมันได้
ช่วงบ่ายจิวชงหยวนก็ไปฝึกกระบี่กับลู่เฟยตามปกติ แต่วันนี้กลับมีอาจารย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เธอเป็นหญิงสาวที่สวยงามมากจนไม่เคยคิดว่าจะมีใครสวยเท่านี้มาก่อน รอยยิ้มอ่อนโยนของคนตรงหน้าที่ส่งมา ทำเอาชายหนุ่มหน้าแดงอย่างบอกไม่ถูก แต่หากได้รู้จักแล้วจะรู้ว่าสวยสังหารเป็นเช่นไร
ตูมๆ ๆ ๆ
“ช้าไป”
เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
“เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือไง!”
เสียงหวานตะโกนสั่งอย่างหงุดหงิดพร้อมเข็มพิษมากมายพุ่งเข้าหาจิวชงหยวนนับพันเล่ม ชายหนุ่มใช้ทั้งกระบี่และตีลังกาหลบก็ยังหลบไม่พ้น ดีที่ร่างกายเขาชินชากับยาพิษเสียแล้ว หากแต่รู้สึกเจ็บแปลบตามรอยเข็มที่จิ้มบนตัวเท่านั้น
“ไม่ได้เรื่อง!”
เสียงหญิงสาวบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด พร้อมเพิ่มจำนวนเข็มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้จิวชงหยวนต้องเพิ่มความเร็วของตัวเองเพิ่มเป็นเท่าตัว
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ตอนนี้เขาทำลายเข็มพิษไปหมดแล้วแต่ต้องมายืนหอบอย่างเหนื่อยๆ และครั้งนี้ทำให้จิวชงหยวนจดจำไปจนตายว่า คนสวยมันอันตรายและไม่น่าไว้วางใจที่สุด
“พวกท่านลืมไปหรือเปล่าว่าข้าเป็นมนุษย์” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย และคำถามของเขาก็ดึงสติของหญิงงามได้ เธอส่งยิ้มแหยมาให้ก่อนจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ