ตอนที่ 5 ปูพื้นฐานสู่การเป็นว่าที่นางเอก

2590 คำ
ตอนนี้ข้า ท่านพ่อ และพี่ชายทั้งสอง กำลังนั่งรออาหารอยู่ที่เหลาอาหารซานเซียงของตระกูล หลังจากเหตุการณ์ที่ท่านพ่อปลอบข้าแล้ว ท่านพ่อจึงหันไปกล่าวกับผู้อาวุโสทั้งสามและอาจารย์สวีว่าให้ช่วยเก็บเรื่องพลังของข้าเป็นความลับด้วย ซึ่งทั้งสี่คนก็ยอมรับปาก แต่มีข้อแม้ว่าคงต้องแจ้งแก่ท่านประมุขตระกูลหลง เพราะจะได้หาทางช่วยปิดบังให้ข้าอีกแรง ซึ่งท่านพ่อก็ตอบตกลงและกล่าวขอบคุณทั้งสี่ จากนั้นท่านพ่อก็พาข้าและพี่ชายทั้งสองมาที่เหลาอาหาร ซึ่งก็คงจะบ่ายแล้ว ตอนที่มาถึงเหลาอาหารจิตใจข้ายังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางจึงไม่ได้มองอะไรสักอย่างมัวแต่ก้มหน้าเดินตามการจับจูงของท่านพ่อ เมื่อเข้ามานั่งในห้องอาหารแล้ว ข้าก็ได้ยินท่านพ่อพูดคุยอะไรกับใครสักคน รอสักพักก็มีคนนำถ้วยชาใบเล็กมาวางตรงหน้า ข้าจึงเงยหน้าขึ้นเห็นท่านพ่อมองมาและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ข้าจึงได้รู้สึกตัวหยิบถ้วยชาขึ้นมาดม กลิ่นหอมของชาช่วยให้ข้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเล็กน้อย ข้ายกชาขึ้นจิบน้ำชาอุ่นๆ ทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้น จึงยกดื่มจนหมดแล้ววางถ้วยลง ท่านพ่อจึงรินให้อีกครั้ง "ไม่ต้องกลัวนะมี่เอ๋อร์ มีพวกเราอยู่ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้ ต่อจากนี้เจ้าก็ตั้งใจฝึกฝนให้เก่งก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าแล้วล่ะ" ข้าได้ยินอย่างนี้จึงส่งยิ้มไปให้ท่านพ่อ และพี่ชายทั้งสอง ตอนนี้ข้าตั้งสติได้แล้วการที่ข้ามีพลังปราณสูงขนาดนี้ข้าจะต้องกลัวอะไร ขอเพียงข้าตั้งใจฝึกฝนก็มาคอยดูว่าข้าจะโดนรังแกหรือข้าจะเป็นฝ่ายรังแกใครกันแน่ พลังปราณขั้นสิบเทพเซียนระดับสูงใช่ว่าใครๆ ก็จะมีได้ ต้องฝึกฝน ต้องกินโอสถ ทั้งยังต้องดูดซับพลังอีก ต้องใช้ทรัพยากรมากมายขนาดไหนกัน จะมีสักกี่คนที่จะมีทรัพยากรเหล่านั้นเพียงพอ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครฝึกฝนถึง ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังว่าตอนนี้คนที่มีพลังปราณระดับเทพเซียนในแคว้นเรา มีอยู่สิบสองคนด้วยกันซึ่งทั้งสิบสองคนนั้นอยู่ในห้าตระกูลเก่าแก่ ซึ่งสองคนในนั้นก็คือท่านพ่อกับท่านลุงกง ส่วนในขั้นอมตะก็มีอยู่ห้าคนด้วยกันซึ่งก็มีท่านปู่กับท่านตาตระกูลกงเป็นสองในห้าคน ส่วนคนที่มีพลังถึงขั้นนิรันดร์ก็คือหนึ่งในอดีตประมุขตระกูลหลงนั้นเอง พอได้ฟังแบบนี้ข้าก็คลายกังวลลงได้ เพราะข้ามองเห็นขาทองคำมากถึงสี่คู่ยังไงล่ะ ทั้งท่านพ่อ ท่านปู่ ท่านลุงและท่านตาตระกูลกงอีก ถ้าใครคิดจะมาหาเรื่องข้าคงต้องคิดหนักหน่อยล่ะ ซึ่งตอนนี้สิ่งสำคัญที่ข้าต้องทำก็คือไปเสนอหน้าประจบขาทองคำอีกสามคน เมื่อคิดได้ดังนี้ข้าก็โล่งใจ พอดีกับที่อาหารมา ข้าจึงมีเวลาตื่นตาตื่นใจสักที อาหารที่ท่านพ่อสั่งมาเป็นอาหารขึ้นชื่อของเหลาอาหาร มีเป็ดย่างหนังกรอบเนื้อนุ่มราดซอสมาชุ่มฉ่ำ หมูกรอบที่มีชั้นไขมันบางๆ แทรกอย่างพอดีจิ้มกับซอสที่ช่วยตัดเลี่ยนได้ดี น้ำแกงไก่ที่ตุ๋นจนเนื้อนุ่มแทบไม่ต้องเคี้ยวละลายในปาก หอมกลิ่นเครื่องเทศที่กระตุ้นความอยากอาหาร ผัดเห็ดฟางหรือที่นี่เรียกว่าเห็ดบัวผัดกับน้ำมันหอยและกระเทียมรสกลมกล่อม ตบท้ายด้วยบัวลอยงาดำน้ำขิงที่ไส้งาดำหอมละมุนแป้งเหนียวนุ่มกำลังดีซดพร้อมน้ำขิงเผ็ดนิดหวานหน่อย จนแทบจะกลืนลิ้นลงไปด้วยเลย เมื่อจบมื้ออาหารท่านพ่อก็พาเดินออกจากห้องที่ข้าพึ่งจะมองดูเป็นห้องขนาดจุคนได้แปดคน รู้ได้อย่างไรงั้นรึ ข้านับจากจำนวนเก้าอี้เอา การตกแต่งห้องที่ไม่ได้หรูหราแต่กลับดูสบายตา เมื่อออกมาด้านนอกห้องถึงเห็นว่ามีประตูเรียงกันอยู่ถึงสิบสองห้องรวมห้องที่ข้าออกมาด้วย เดินมาจนถึงบันไดก็จะเห็นชั้นล่างเป็นโต๊ะที่มีฉากกั้นแบ่งแต่ละโต๊ะน่าจะมีโต๊ะอยู่เกือบสามสิบโต๊ะจากที่นับคร่าวๆ ซึ่งมีคนเต็มทุกโต๊ะ เดินลงมาอีกชั้นก็มีโต๊ะแต่ไม่มีฉากกั้นเหมือนชั้นบนและชั้นนี้มีจำนวนโต๊ะเยอะกว่าซึ่งคนก็เต็มอีกเช่นกัน เดินออกมาถึงหน้าเหลาอาหารข้าจึงมองเห็นว่าเหลาอาหารเป็นอาคารขนาดใหญ่มีสี่ชั้น ซึ่งท่านพ่อบอกว่าชั้นสี่จะเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่และห้องทำงาน ด้านหลังจะมีสวนดอกไม้ ศาลารับลม และที่พักคนงาน ยืนอยู่ไม่นานรถม้าก็มาถึง แต่คราวนี้มีมาถึงสองคัน ท่านพ่อจึงบอกว่าจะให้พี่ใหญ่กับพี่รองไปอีกคัน เพราะท่านพ่อจะพาข้าไปหาท่านปู่กับท่านย่าที่วัดประจำตระกูลและค้างที่นั่นหนึ่งคืน ข้าพยักหน้ารับ และก้าวขึ้นรถม้าไป เมื่อขึ้นมานั่งบนรถม้าได้สักพัก ข้าก็เริ่มง่วงก็นะคนมันกินอิ่ม แถมรถม้าก็โยกไปมา และข้าก็หลับไป ข้าหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวก็ตอนได้ยินเสียงท่านพ่อเรียก พร้อมเขย่าเบาๆ ที่แขน ข้าจึงลืมตาขึ้น เห็นหน้าท่านพ่อที่ก้มลงมายิ้มให้ข้าจึงได้รู้ว่าตอนนี้กำลังนอนหนุนตักท่านพ่ออยู่นั้นเอง ข้าจึงลุกขึ้นนั่งโดยมีท่านพ่อช่วยประคอง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านพ่อก็เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ แล้วจึงยื่นผ้าส่งไปให้กับคนที่นั่งอยู่ที่พื้นรถม้า ข้าจึงหันไปมองเห็นว่าเป็นมู่อิงนั้นเอง ท่านพ่อคงเห็นข้ามองตามจึงได้อธิบายว่า ให้สาวใช้ของข้านั่งรถม้าตามมาเพื่อมาดูแลข้านั้นเอง เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อย มู่อิงจึงช่วยประคองข้าลงจากรถม้า และตามด้วยท่านพ่อ ตอนนี้ข้ายืนอยู่หน้าขั้นบันไดหินที่ถอดตัวยาวขึ้นไปด้านบน ขั้นบันไดไม่ได้ยาวมากนัก ข้ายังพอมองเห็นเสาประตูที่อยู่ด้านบน เมื่อท่านพ่อลงมายืนเรียบร้อยแล้ว จึงจูงมือข้าเดินขึ้นบันไดไป และข้าก็ได้เห็นสี่มู่และคนรับใช้ชายอีกจำนวนหนึ่งแบกหีบใส่ของ ตะกร้าใส่ของที่ไม่รู้ว่าอะไรเดินตามขึ้นมา เดินมาชั่วครู่พอให้ได้เหงื่อก็มาถึงเสาประตูที่ข้ามองเห็นในตอนแรก เป็นเสาสีทองบานประตูสูงใหญ่มีป้ายไม้แกะสลักเขียนด้วยสีทองว่า 'วัดจินซาน' อืมวัดภูเขาทองนั้นเอง ข้ามองเข้าไปด้านในเห็นเป็นทางเดินปูด้วยหินมีดอกไม้พุ่มไม้ปลูกอยู่ข้างทางเรื่อยไปจนถึงอาคารหลังใหญ่ทำจากไม้ ตัวอาคารคล้ายๆ วัดจีนที่เคยเห็นเพียงแต่ที่นี่ดูใหญ่โตกว้างขวางกว่ามาก ท่านพ่อพาข้าเดินมาจนถึงอาคารหลังใหญ่นี้ ก็มีคนมารอต้อนรับน่าจะเป็นหลวงจีนดูมีอายุเล็กน้อยใส่ชุดสีเทา มีผ้าสีเหลืองพาดอยู่บนบ่าพอหลวงจีนรูปนั้นเห็นท่านพ่อ จึงก้มตัวคารวะท่านพ่อ พร้อมกับผายมือเชิญเข้าด้านใน ฝ่ายท่านพ่อก็ประสานมือคารวะ แล้วจูงข้าเดินตามเข้าไปในอาคาร ท่านพ่อหันมาบอกข้าว่าให้สักการะพระพุทธรูปที่อุโบสถนี้ให้เรียบร้อยก่อนค่อยไปหาท่านเจ้าอาวาสกับท่านปู่กับท่านย่าที่ด้านใน ข้าพยักหน้าและทำตามท่านพ่อจนแล้วเสร็จ เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านพ่อก็พาข้าเดินไปออกอีกทางลัดเลาะไปตามทาง จนถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่งที่มองเห็นว่ามีกลุ่มคนนั่งอยู่ประมาณห้าหกคนด้วยกัน ท่านพ่อก็เดินนำไปที่คนกลุ่มนั้นที่กำลังหันมามองทางพวกข้าพอดี ท่านพ่อพาข้าเดินมาถึงกลุ่มคนที่นั่งอยู่ ข้าจึงสังเกตคนทั้งหมดเห็นในกลุ่มมีพระชราผมขาวเคราขาวหน้าตาดูใจดีนั่งอยู่รูปหนึ่ง และมีชายสูงอายุแต่งชุดขาวอยู่สามคน หญิงสูงอายุแต่งชุดขาวอีกสองคน "คารวะ ท่านเจ้าอาวาส ท่านพ่อ ท่านแม่ ขอรับ" ท่านพ่อพาข้าเดินมาหยุดยืนข้างๆ กลุ่มนี้ และยกมือประสานก้มตัวต่ำคารวะคนทั้งกลุ่ม "คารวะ ท่านเจ้าอาวาส ท่านปู่ ท่านย่า เจ้าค่ะ" ข้าได้ยินท่านพ่อกล่าวข้าจึงรีบย่อตัวคารวะตามทันที "ไหนๆ มี่เอ๋อร์มาให้ย่าดูเจ้าหน่อยสิ โถ่ หลานรักของย่าหมดเคราะห์สักทีนะลูกนะ" ท่านย่ากล่าวพร้อมกับกอดข้าไปด้วย "อืม มี่เอ๋อร์ของปู่ตื่นแล้ว เจ้าขี้เซาเหลือเกินหลับไปนานถึงสองปี ไหนๆ มาให้ปู่ดูสิเจ้ายังน่ารักเหมือนเดิมหรือไม่" ท่านปู่พูดพร้อมกับดึงตัวข้าไปจับหมุนซ้าย หมุนขวา เหมือนสำรวจจนข้าเริ่มเวียนหัวถึงได้หยุด "มาสักทีนะสีกา มีคนบางคนรอท่านมานานเหลือเกินแล้ว" ท่านเจ้าอาวาสกล่าวจบ ข้าก็ทำท่าตาโตอ้าปากค้างอย่างคนตกใจ ท่านเจ้าอาวาสกล่าวเรียกข้าว่าสีกา และยังบอกว่ามีคนรอข้ามานาน หรือท่านจะรู้ว่าข้าเป็นใครและใครที่รอข้ากันครอบครัวซานอย่างงั้นรึ เมื่อทุกคนที่นั่งอยู่ได้ยินที่ท่านเจ้าอาวาสพูดก็หันมามองที่ข้าเป็นตาเดียว ตอนนี้ในหัวสมองของข้าก็หมุนอย่างเร็วจี๋คิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เผื่อในอนาคตข้าเกิดคิดหรือทำอะไรที่พิสดารขึ้นมาจะได้ไม่มีคนสงสัย "ท่านเจ้าอาวาสรู้หรือเจ้าค่ะ" ข้ากล่าวพร้อมกับมองไปที่ทุกคน "ความจริงแล้วตอนที่ข้าหลับไป ข้าไปอยู่ในสถานที่หนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่นี่มาก มีสิ่งของเครื่องใช้แปลกตา ผู้คนที่อยู่ไกลกันก็สามารถพูดคุยกันได้เพียงแค่คิด มีอาคารสูงเกือบถึงท้องฟ้า หรือการเดินทางบนฟ้าที่สูงกว่าก้อนเมฆ แต่สิ่งที่สถานที่นั้นไม่มีคือธรรมชาติแบบที่นี่ คนที่นั่นได้รับพิษจากอากาศทำให้เกิดการเจ็บป่วย อาหารการกินมีมากมายแต่ถ้ากินมากก็ได้รับพิษสะสม ข้าอยู่ที่นั่นนานมากพอมาตื่นที่นี่ข้าจึงจำอะไรไม่ได้เลยเจ้าค่ะ" ข้ากล่าว พร้อมกับมองไปที่ทุกคน ท่านพ่อมองข้าด้วยสายตาเศร้าปนสงสาร ท่านปู่ ท่านย่าก็เช่นกัน มีเพียงท่านเจ้าอาวาสที่ยังคงยิ้มให้กำลังใจ "ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ตอนนี้หลานได้กลับมาอยู่บ้านของเราแล้วนะหลานรัก" ท่านย่ากล่าวพร้อมกับดึงข้าเข้าไปกอด "เจ้าค่ะท่านย่า ต่อไปหลานจะกตัญญูต่อท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ" ข้ากล่าว "เดินทางมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะโยม ประเดี๋ยวจะให้คนนำทางไปที่พัก" ท่านเจ้าอาวาสกล่าวพร้อมกับเรียกพระในวัดให้มานำทางไปที่พัก เมื่อเดินมาถึงที่พักจึงเห็นเป็นเรือนไม้ขนาดไม่ใหญ่ ตั้งอยู่เรียงกันหลายหลัง ซึ่งที่ตั้งเรือนนี้จะอยู่ทางด้านข้างนอกกำแพงวัด แต่ที่นี่ก็มีกำแพงล้อมรอบมิดชิดเป็นเหมือนเขตจวนๆ หนึ่งเลย ท่านพ่อคงเห็นข้ามองไปมองมา เลยบอกว่าส่วนนี้เป็นส่วนเฉพาะคนในตระกูลจะมาพัก อยู่นอกเขตวัดแต่ก็ยังเป็นพื้นที่เดียวกัน เพื่อความสะดวกและเหมาะสม เพราะบางทีก็มีสตรีมาพัก เช่นท่านย่าหรืออดีตฮูหยินรุ่นก่อนๆ นั้นเอง จะมีทางเข้าออกเฉพาะ มีโรงครัวและเรือนบ่าว เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนทางวัดเกินไป ข้าคิดว่าคงคล้ายๆ บ้านพักตากอากาศละมั้ง แค่มาตากอากาศด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ นอกจากรวยแล้วยังต้องมีศีลธรรมอันดีซินะ เดินมาถึงเรือนๆ หนึ่งมีลักษณะเป็นห้องโถงโล่งๆ มีโต๊ะกลมตัวใหญ่วางอยู่ ท่านปู่เดินนำทุกคนไปนั่ง ข้าก็ตามไปนั่งลงข้างท่านย่าที่จับมือข้ามาตลอดทาง ท่านปู่กับท่านย่ายังดูแข็งแรงมากเดินเหินคล่องแคล่ว คงเพราะมีพลังปราณและได้รับการฝึกฝนด้วย เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว ข้าถึงได้เห็นสี่มู่นำน้ำชามาให้ และเห็นบ่าวที่ลงรถม้าเดินทำงานอยู่ด้านนอก คงมารออยู่ที่นี่ระหว่างที่ท่านพ่อกับข้าเข้าไปในวัด และตอนแรกที่เห็นมีคนอีกสามคนนั่งในศาลนั้นคือคนรับใช้ของท่านปู่กับท่านย่า พอท่านพ่อกับข้าเดินเข้าไปพวกเขาก็ทำความเคารพแล้วลุกเดินออกไปทันที เมื่อนั่งลงกันเรียบร้อยท่านพ่อก็ให้ทั้งสี่มู่และคนรับใช้คนอื่นๆ ออกไป แล้วทำการกางค่ายกลขึ้นมาเพื่อพูดคุยเรื่องที่ข้าไปวัดขั้นพลังมานั้นเอง พอท่านปู่กับท่านย่าได้ฟังแล้ว ก็ยิ้มดีใจกันยกใหญ่ ที่หลานสาวอายุแค่ย่างสิบเอ็ดหนาวก็มีพลังสูงถึงขนาดนี้ ถ้าฝึกฝนเพิ่มอาจจะกลายเป็นอัจฉริยะเหมือนอดีตประมุขตระกูลหลงก็เป็นได้ที่มีอายุแค่18ปี ก็มีระดับพลังขั้นนิรันดร์แล้ว แถมคุณชายหลงจินหยางของตระกูลหลงมีอายุ15ปีก็มีพลังปราณขั้นสิบเทพเซียนแล้วเช่นกัน ข้าได้ฟังดังนั้นก็ตาโตอายุ18ขั้นนิรันดร์นี่มันเทพทรูที่แท้จริงเลยสินะ แถมยังมีคุณชายหลงนี่อีกอายุ 15 พลังขั้นสิบ แต่ว่าคุณชายตระกูลหลงคงไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของชงเหมยฮวาใช่ไหม เพราะในฝันที่เห็นก็ไม่มีกล่าวถึงเลยด้วยทั้งๆ ที่เก่งขนาดนี้ นั่งคุยกันมาสักพักท่านย่าคงเห็นสีหน้าข้าดูเหนื่อยๆ จึงบอกให้คนยกอาหารมาจะได้รีบกินแล้วแยกย้ายไปพักผ่อน เมื่อรับอาหารเรียบร้อยท่านย่าพาข้าเดินไปทางเรือนฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับที่ท่านพ่อกับท่านปู่เดินไป ท่านย่าหันมาบอกว่าเรือนพักแยกชายหญิง เพราะเรามาถือศีลและสวดมนต์ต้องสำรวมทั้งใจและกาย ข้าพยักหน้าตอบรับท่านย่าไป เห็นไหมล่ะนอกจากรวยเงินทอง คนเราต้องรวยศีลธรรมด้วย จิตใจจะได้มีสุขและผ่องใส ***************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม