บทที่ 3
Gypsophila
ดอกยิปโซ มีความหมายว่า ความบริสุทธิ์ รักแรกพบ จึงนิยมนำไปมอบให้แก่คนที่เรากำลังตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรก
"สวัสดีตอนเย็นค่ะคุณป้า"
"อ้าว หนูเหมยสวัสดีจ้ะ"
เมื่อยกมือไหว้ผู้สูงอายุกว่าเสร็จสรรพบริมาสก็ยื่นดอกไม้ในมือให้กับคุณป้าทันที
"คุณแม่ให้น้องเหมยเอาดอกไม้มาให้ค่ะ"
"ฝากขอบคุณคุณแม่หนูด้วยนะจ๊ะ อย่าเพิ่งกลับนะเดี๋ยวป้าตักไข่พะโล้ของโปรดคุณแม่หนูให้"
บริมาสพยักหน้าแล้วนั่งรอที่โต๊ะอย่างใจเย็น คุณป้าที่เธอมาหาในวันนี้เป็นเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง และเป็นเพื่อนกับคุณแม่ของเธอมาตั้งแต่เปิดร้านใหม่ ๆ จะว่าตั้งแต่เธอยังไม่เกิดเลยก็ว่าได้ เพราะผู้เป็นแม่เปิดร้านขายดอกไม้มาตั้งแต่พี่ชายซึ่งเป็นลูกคนแรกเพิ่งคลอด บริมาสไปมาหาสู่กับคุณป้าบ่อย ๆ เพราะบางวันเธอและพี่สาวก็มาฝากท้องอยู่ที่นี่อยู่เป็นประจำ
"ได้แล้วจ้ะ"
"ขอบคุณค่ะ"
ลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้ยกมือไหว้อีกครั้งและรับเอาปิ่นโตอาหารกับผู้สูงอายุมาถือไว้ คุณป้ายิ้มให้ด้วยความเอ็นดู เห็นบริมาสมาตั้งตัวยังแดง ๆ จนตอนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งและช่างสวยงดงามเหลือเกิน กิริยามารยาทก็ช่างอ่อนช้อยเรียบร้อยน่ารัก
"น้องเหมยกลับแล้วนะคะ"
"จ้า แวะมาเล่นกับป้าบ่อย ๆ นะจ๊ะ"
"ค่ะคุณป้า เดี๋ยวสัปดาห์หน้าน้องเหมยจะเอาดอกยิปโซมาฝากอีกนะคะ"
บริมาสก้าวเท้าเดินออกจากร้านมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับปิ่นโต คุณป้าร้านอาหารตามสั่งชอบดอกยิปโซเป็นชีวิตจิตใจ เธอนำดอกไม้ชนิดนี้มาให้คุณป้า ทุกสัปดาห์ตั้งแต่จำความได้แล้ว เมื่อนึกถึงเหตุผลที่คุณป้าชอบดอกยิปโซแล้วก็ทำให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้างามได้ในทันที
คุณป้าเคยเล่าให้ฟังว่าสาเหตุที่ชอบดอกยิปโซก็เพราะว่าเป็นดอกไม้ช่อแรกที่คุณลุงมอบให้ในวันครบรอบแต่งงาน และวันนั้นก็เป็นที่คุณป้ารับรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ เป็นความทรงจำที่ช่างอ่อนหวานยิ่งนัก และบริมาสก็รู้ความหมายของดอกยิปโซเป็นอย่างดี
"คุณป้าตักไข่พะโล้ให้น้องเหมยด้วยค่ะ"
"น้องเหมยเทใส่ถ้วยเลยนะคะ จะได้ทานข้าวเย็นกันเลย"
บริมาสพยักหน้าแล้วเดินเข้าครัวไปอย่างอารมณ์ดี คุณพ่อนั่งรออยู่ที่โต๊ะพร้อมกับอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่จะมีแค่สามคนพ่อแม่ลูกที่รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน บางวันที่ลูกค้าไม่เยอะพี่สาวถึงจะมาร่วมโต๊ะด้วย ส่วนพี่ชายจะมีแค่วันหยุดเท่านั้นที่ให้เกียรติมาร่วมโต๊ะกับครอบครัว
"วันนี้น้องเหมยจะไปช่วยพี่ม่านไหมคะ"
ทันทีที่นั่งลงพร้อมหน้าคนเป็นพ่อก็ถามคำถามที่สงสัยทันที เมื่อคืนนี้เห็นลูกสาวคนเล็กไปช่วยพี่คนกลางจนดึกดื่น ประมุขของบ้านจึงถามเผื่อไว้ หากว่าบริมาสไปท่านจะได้ลงมานั่งดูโทรทัศน์รอลูกสาว ทั้งที่อยู่แค่ฝั่งตรงข้ามแต่ท่านก็ยังห่วงอยู่ดี ผู้คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้หรอก ยิ่งน้องเหมยอยู่แต่ในห้องไม่ค่อยได้เจอผู้คนท่านก็ยิ่งเป็นห่วง กลัวว่าจะมีผู้ไม่หวังดีมาตีสนิทกับลูกสาวและทำให้เสียใจในที่สุด
ถ้าหากถามว่าลูกทั้งสามคนท่านห่วงใครมากที่สุดก็ตอบได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่าน้องเหมยลูกคนเล็กนั่นแหละ และท่านรู้ว่าทุกคนในครอบครัวก็จะตอบแบบเดียวกัน ตั้งแต่ที่น้องเหมยลืมตาดูโลกไม่เคยมีใครปล่อยให้คลาดสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ทุกคนรักใคร่หวงแหนน้องเหมยมาก
"ไม่ค่ะคุณพ่อ น้องเหมยต้องเร่งส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์ค่ะ"
หลายวันมานี้บริมาสไม่ได้ไปช่วยพี่สาวที่คาเฟ่เลย เพราะมัวแต่ต้องเร่งทำต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์ บริมาสเป็นนักเขียนนิยายสมัครเล่นมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และเริ่มส่งต้นฉบับไปให้สำนักพิมพ์พิจารณาอย่างจริงจังตอนเรียนจบ ในตอนแรกที่สำนักพิมพ์ตอบกลับมาว่าเรื่องของเธอจะได้รับการตีพิมพ์บริมาสดีใจมาก และทุกคนในครอบครัวก็ยินดีด้วย รวมถึงคอยสนับสนุนเสมอ เพราะเธอไม่เคยปิดบังคนในครอบครัวอยู่แล้ว มีอะไรในใจ หรือทำอะไรก็จะบอกทุกคนตลอด
นิยายที่บริมาสแต่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับรักโรแมนติกหวานแหววตามที่เธอจินตนาการอยากพบเจอในชีวิตจริง รายได้อาจจะไม่มาก แต่เมื่อมันเป็นสิ่งที่เธอชอบทุกคนก็พร้อมสนับสนุนเธอเสมอ รวมถึงบริมาสเองก็มีความสุขที่ได้ทำมัน
บริมาสจบคณะอักษรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังใกล้ ๆ บ้านนี่เอง ดังนั้นนิยายทุกเล่มที่ตีพิมพ์เธอจึงเป็นคนตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดเองทั้งหมด นี่เป็นสาเหตุที่ในช่วงส่งต้นฉบับเธอไม่ได้ออกไปไหนเลย บางครั้งก็ขลุกอยู่แต่ในพื้นที่ส่วนตัวข้ามวันข้ามคืน
"ไม่มาช่วยพี่อีกแล้วเหรอ"
พี่สาวกรอกเสียงหวาน ๆ มาตามสาย บริมาสไม่ได้มาช่วยตกแต่งดอกไม้และเสิร์ฟเครื่องดื่มเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ แล้ว
"คืนนี้น้องเหมยจะส่งต้นฉบับแล้วค่ะ"
กรอกเสียงตอบกลับปลายสาย แต่ดวงตากลับจดจ้องอ่านตัวหนังสือบนหน้าจอไม่ลดละ
"พรุ่งนี้จะได้มาไหมคะ"
"พรุ่งนี้ไปได้ค่ะ"
"ทั้ง ๆ ที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่สัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์พี่ม่านยังไม่เห็นหน้าน้องเหมยเลย"
บริมาสอมยิ้มกับคำตัดพ้อของพี่สาว ตัวเองเป็นพี่แท้ ๆ แต่ดันขยันน้อยใจเก่ง
"เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ"
"จ้าน้องสาว สู้ ๆ นะคะคนเก่ง"
พี่ม่านน่ะตัดพ้อไม่จริงหรอก ก็แค่อยากอ้อนให้เธอยิ้มเท่านั้นแหละ
บริมาสกดส่งต้นฉบับไปยังสำนักพิมพ์ตอนตีสามกว่า ๆ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของเรื่องนี้ ร่างเล็กบิดขี้เกียจพร้อมกับครางออกมาเบา ๆ เพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ
"สิ้นสุดแล้วสินะ"
เปรยกับตัวเองเบา ๆ แล้วกดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นลำดับสุดท้ายก่อนนอน ริมฝีปากแย้มยิ้มให้กำลังใจตัวเองเมื่อในตอนนี้เธอสามารถแต่งนิยายจนจบได้อีกเรื่อง บริมาสคิดว่าคงอีกสักสองสามวันค่อยเปิดเรื่องใหม่ ตอนนี้ขอพักผ่อนให้หายเมื่อก่อนละกัน
"เหมือนเดิมนะคะ"
อคิราห์ยิ้มให้กับคำทักทายที่คุ้นเคยของเจ้าของคาเฟ่ ทุกครั้งที่เขาก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา นี่จะเป็นคำทักทายแรกเสมอ
หลายวันมานี้เขามาที่นี่เร็วขึ้น และกลับช้าลง อคิราห์เลือกที่นั่งใหม่ เขาเลือกที่นั่งตรงโซฟาหน้าร้าน เลือกที่จะหันหน้าออกไปมองถนนทั้งที่แต่ก่อนเขาออกจะชอบความสงบ ไม่ชอบมองดูรถเพราะจะทำให้เวียนหัว แต่หลังจากวันนั้นเขาก็เปลี่ยนความคิด อคิราห์เลือกนั่งหน้าร้านเพื่อที่จะได้มองออกไปดูร้านดอกไม้ฝั่งตรงข้ามและมองถนน เผื่อว่าจะได้มีโอกาสมองเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกสักครั้ง
เธอคงไม่ได้ทำงานที่นี่ เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมาอคิราห์ไม่เห็นเธอผู้นั้นในคาเฟ่แห่งนี้อีกเลย
"ช่วงนี้คุณอคิณว่างเหรอคะ เห็นมาที่นี่ทุกวันเลย"
แม้จะมาที่นี่บ่อย ๆ แต่ลูกค้าขาประจำรายนี้ก็ไม่ได้มาที่นี่ทุกวันเหมือนดังเช่นในช่วงนี้ ปกติอคิราห์จะมาที่นี่วันเว้นวัน หรือไม่ก็สัปดาห์ละสองสามครั้ง และเนื่องจากเขามาที่นี่บ่อยมากในช่วงนี้ พนักงานในร้านจึงเกิดการสงสัยว่าเขามาเพื่อจีบเจ้าของร้านคนสวยหรือไม่
"ช่วงนี้เราว่างค่ะ แต่พรุ่งนี้จะไม่ว่างแล้ว"
"คุณมาทุกวันจนเด็ก ๆ นินทาแล้วรู้ตัวไหมคะ"
อคิราห์ยกยิ้ม เขาเนี่ยนะถูกนินทา
"นินทาว่าอะไรคะ"
"เด็ก ๆ สงสัยว่าคุณมาจีบเรา"
ทั้งคู่หัวเราะร่วน เนื่องจากได้คุยกันบ่อยและค่อนข้างที่จะสนิทกัน ทุกครั้งที่ลูกค้าที่ชื่อว่าอคิราห์มาที่ร้านเจ้าของร้านอย่างเธอจะมานั่งคุยด้วยเสมอ ทำให้พนักงานอดสงสัยไม่ได้
"จีบคุณม่านต้องผ่านกี่ด่านกันคะเนี่ย"
"เราว่าคุณหยุดตั้งแต่ด่านพี่หมอกแล้วล่ะค่ะ"
"พี่หมอกน่ะเหรอคะ บ่นให้เราฟังว่าไม่อยากให้คุณขึ้นคาน แต่ก็หวงคุณแม้กระทั่งกับแมว"
ม่านหัวเราะชอบใจ พี่ชายเธอก็หวงเกินไปอย่างที่คุณอคิราห์ว่าจริง ๆ นั่นแหละ แม้แต่ตอนที่เธออุ้มน้องแมวยังมองแมวตาขวางเลย คนอะไรใจร้ายแม้กระทั่งกับสัตว์ร่วมโลก
"แต่พี่หมอกไม่หวงคุณกับเรานะคะ"
"เพราะมองออกไงคะว่าเรากับคุณเป็นเพื่อนกัน"
"และอีกอย่าง พี่หมอกรู้ค่ะว่าคุณมีคนอาศัยอยู่ในใจแล้ว"
เจ้าของร้านแย้มยิ้มให้กับลูกค้าน้อย ๆ ม่านสนิทกับอคิราห์จนถึงขั้นรู้ว่าเธอมีคนที่อยู่ในดวงใจแล้ว และเธอก็กำลังรอคอยเขาอยู่ในทุกวัน
"พรุ่งนี้เราไม่ได้มานะคะ ฝากบอกเด็ก ๆ ของคุณม่านด้วยว่าเราหยุดจีบคุณหนึ่งวัน"
"จะไปไหนเหรอคะ"
"ช่วงนี้ฤดูหนาว เราจะไปถ่ายรูปเล่นที่เหนือสักวันสองวันค่ะ"
"แบบนี้ก็กลับมาไม่ทันงานวันเกิดพี่หมอกน่ะสิคะ"
"ทันแน่นอนค่ะเราวางแผนไว้แล้ว"
"เดินทางปลอดภัยนะคะ"
อคิราห์เดินออกมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มและร้านดอกไม้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนก็ปิดไปแล้วเพราะภายในมืดสนิท แต่ชั้นสองของตึกยังเปิดไฟสว่างอยู่ เจ้าของร้านคงอาศัยอยู่ด้านบนสินะ
เท้าเรียวก้าวเดินช้า ๆ วันนี้เขาขับรถกลับไปไว้ที่คอนโดก่อนแล้วค่อยวกกลับมาที่คาเฟ่พร้อมกับกล้องฟิล์มตัวโปรด อคิราห์หวังจะมาถ่ายรูปเก็บไว้สักสามสี่รูปเท่านั้น จากตรงนี้ไปไม่ถึงร้อยเมตรมีถนนคนเดินเลียบคลองที่มีทุกวัน เขากะว่าจะไปเดินเล่นที่นั่นสักหน่อย
"อุ๊ย ขอโทษค่ะ"
เพราะมัวแต่บันทึกภาพอคิราห์จึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนเดินอยู่ใกล้ ๆ เขา และพอหันมาก็ชนเข้ากับคุณป้าคนหนึ่งจนเซไปคนละทาง
"คุณป้าเจ็บตรงไหนไหมคะ"
"ไม่เป็นไรจ้ะป้าต่างหากที่ต้องขอโทษหนู เพราะป้าเป็นคนเดินมาชนหนูเอง"
"คุณป้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ"
อคิราห์ยิ้มให้กับคุณป้าที่ค่อนข้างจะคุ้นหน้า ถ้าเขาจำไม่ผิดนี่ก็คือคุณป้าเจ้าของร้านดอกไม้สินะ
"คุณป้าร้านดอกไม้ใช่ไหมคะ"
"ใช่จ้ะ"
รอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้า ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าคล้ายคุณม่านเจ้าของคาเฟ่ไม่มีผิด
"มาคนเดียวเหรอคะ"
อคิราห์เว้นระยะห่างเมื่อพยุงคุณป้าให้ยืนตัวตรงได้
"มาคนเดียวจ้ะ ป้ากะจะมาซื้อแจกันไปไว้ที่ร้านสักหน่อย นี่เลยหยิบช่อดอกไม้ใส่ตะกร้ามาด้วย เผื่อมีใบไหนเข้ากันจะได้ซื้อกลับเลย แต่ก็ไม่มี"
คุณป้าชี้ให้อคิราห์มองดูช่อดอกไม้ที่นอนอยู่ในตะกร้า สงสัยจะตั้งใจมาซื้อแจกันจริง ๆ สินะ เพราะนอกจากดอกไม้ดอกเล็ก ๆ สีขาวพวกนั้นเขาก็ไม่เห็นมีอย่างอื่นในตะกร้าเลย
"นี่คือดอกอะไรเหรอคะ"
"ดอกยิปโซจ้ะ ที่ร้านป้ายังไม่มีแจกันสำหรับใส่ดอกยิปโซไว้โชว์เลย ป้าก็เลยออกมาหาซื้อ แต่ก็ไม่มีที่ถูกใจ สงสัยต้องมาวันอื่น"
คนฟังยิ้มน้อย ๆ คุณป้าคนนี้คุยสนุกจัง นี่คงเป็นผลพวงจากการมีร้านขายของสินะ
"หนูกลับทางนั้นพอดี ขออนุญาตเดินไปพร้อมกับคุณป้านะคะ"
ผู้สูงอายุกว่าพยักหน้า จากนั้นทั้งคู่ก็เดินเอื่อยเฉื่อยคุยเรื่องสัพเพเหระมาจนถึงหน้าร้านขายดอกไม้ อคิราห์ค้อมหัวให้คนตรงหน้าด้วยท่าทางนอบน้อมเมื่อท่านยื่นดอกไม้ที่อยู่ในตะกร้ามาให้
"ขอบคุณที่เดินมาส่งนะหนู นี่ดอกไม้จ้ะ ป้าให้"
อคิราห์รับมาถือไว้ด้วยรอยยิ้ม ต่อจากนี้คงต้องมาอุดหนุนดอกไม้ร้านคุณป้าบ่อย ๆ เสียแล้วสิ ทั้งใจดีและคุยสนุกขนาดนี้
"ว่าแต่หนูชื่ออะไรล่ะ"
"อคิราห์ค่ะ ชื่อเล่นอคิณ"
"ชื่อเพราะดี"
เจ้าของชื่อแย้มยิ้มอีกครั้ง เป็นยิ้มครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้นับตั้งแต่ที่คุยกับคุณป้ามา
"คุณแม่ตั้งให้ค่ะ แปลว่าแสงอาทิตย์ แล้วก็สวยเด่น"
"หนูเหมาะกับชื่อมาก เพราะสวยเด่นจริง ๆ"
จากที่ได้คุยกับคุณป้ามานานหลายนาที อคิราห์ก็สรุปได้ว่าคุณป้าคนนี้เป็นหญิงวัยกลางคนที่มีทัศนคติและความคิดที่ดีมาก ไม่แปลกที่พี่หมอกและคุณม่านจะได้รับอิทธิพลการคุยสนุกมาจากคุณป้า รอยยิ้มของคุณป้าช่างดูงดงามและจริงใจเสียจริง
"หนูขอถ่ายรูปคุณป้าได้ไหมคะ"
"ได้สิหนู แต่ป้าก็จะเขินนิดหน่อยนะ"
อคิราห์ยิ้มเต็มหน้า เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเอ็นดูผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับแม่ ดอกไม้ในมือถูกยื่นคืนเพื่อให้คุณป้าถือไว้ อคิราห์ขยับถอยหลังเพียงนิดเพื่อเว้นระยะให้กล้องตัวโปรดที่ถืออยู่ได้สามารถบันทึกดอกไม้ที่อยู่เบื้องหลังกระจกโดยปราศจากแสงสว่างของไฟฟ้าด้านหลังคุณป้าเอาไว้ด้วย
"สวยจัง"
รอยยิ้มของคุณป้าร้านขายดอกไม้ช่างงดงามและจริงใจเหลือเกิน เป็นรอยยิ้มซื่อ ๆ ที่ช่างมีเสน่ห์เหลือหลาย ดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังและที่คุณป้าถืออยู่ยิ่งช่วยขับให้รูปถ่ายใบนี้มีชีวิตชีวาขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
มือเรียวสอดภาพถ่ายใบนั้นไว้ในอัลบั้มเมื่อทำการล้างออกมาเรียบร้อยแล้ว รูปถ่ายใบนั้นถูกเก็บไว้ในอัลบั้มรูปภาพแห่งความประทับใจที่ถ่ายโดยกล้องฟิล์มของอคิราห์
ส่วนดอกไม้ที่ได้รับมาอคิราห์ก็จัดการเสียบไว้ในแจกันและยกมาไว้ที่โต๊ะตัวเตี้ยกลางห้องนอน เขาแค่อยากตื่นมาเจอของขวัญที่ดีต่อใจเป็นสิ่งแรกของเช้าวันใหม่เท่านั้นเอง
"อย่าเหี่ยวง่ายนักนะเจ้ายิปโซ"
อคิราห์พูดคุยกับดอกไม้และแจกันที่ไร้ชีวิต คุณป้าหาแจกันที่เหมาะกับดอกไม้ชนิดนี้ไม่เจองั้นหรือ ก็คงจะหาไม่เจอจริง ๆ นั่นแหละ
เพราะแจกันใบที่เหมาะกับดอกยิปโซวางอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ยังไงล่ะ ยิ่งมองยิ่งเข้ากัน ยิ่งมองยิ่งสวยงามจนไม่อยากละสายตา