บทที่ 4
White Lilly
ดอกลิลลี่สีขาว มีความหมายว่า ‘ยินดีที่ได้รู้จักและดีใจที่ได้อยู่กับคุณ’
สองวันหนึ่งคืนกับการเดินทางไปเที่ยวเหนือสุดของประเทศไม่ได้ทำให้อคิราห์รู้สึกเหนื่อยล้าเลยสักนิดเดียว กลับกันเขากำลังรู้สึกมีความสุขที่ได้เดินทางไปซึมซับบรรยากาศเย็น ๆ หมอกหนาที่ปกคลุมพื้นที่บนภูเขาในเวลาเช้าทำให้เขารู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ
อคิราห์ใช้เวลาเดินทางจากคอนโดถึงที่พักที่เขาได้ทำการจองเอาไว้เพียงครึ่งวันเท่านั้น เขาเลือกพักในหมู่บ้านที่เป็นโฮมสเตย์บนภูเขาเพื่อที่จะได้จับต้องบรรยากาศที่หนาวเย็นของจริงได้
หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่อคิราห์ก็ออกสำรวจรอบ ๆ หมู่บ้านโดยไม่ลืมที่จะห้อยกล้องไว้ที่คอดังที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน อคิราห์บันทึกภาพของดวงอาทิตย์ตอนที่กำลังจะตกดินเอาไว้
แม้จะสวยสู้สถานที่ท่องเที่ยวที่เขาเคยไปไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นภาพของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าที่อคิราห์เห็นตรงหน้าก็น่าประทับใจไม่แพ้ที่ไหน ๆ
เมื่อรับประทานอาหารค่ำเสร็จอคิราห์ก็รีบเข้านอนในทันที เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เขาจึงเกรงว่าจะตื่นไม่ทัน
ดอกไม้และใบหญ้าที่ถูกน้ำค้างแข็งเกาะคือสิ่งที่อคิราห์เลือกบันทึกในเช้านี้ และเมื่อถูกแสงของดวงอาทิตย์อาบไล้ ความงามของธรรมชาติก็เปล่งประกายระยิบระยับ สวยราวกับว่าตัวเขาเองและนักท่องเที่ยวคนอื่นกำลังโลดแล่นอยู่ในเทพนิยายก็มิปาน
อคิราห์แย้มยิ้มเมื่อได้รูปภาพที่ประทับใจมาหลายรูป ที่นี่ไม่ค่อยมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเขาจึงอัปโหลดรูปพวกนี้ลงในบล็อกส่วนตัวไม่ได้ในทันที ร่างสูงเดินชมหมู่บ้านได้เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ต้องเตรียมตัวกลับ เพราะรถรับ - ส่ง จะออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ในเวลาเก้าโมงเช้า และมีอีกทีในรอบบ่ายสาม ดังนั้นถ้าเขาไม่อยากตกเครื่องก็ต้องกลับเข้าไปในตัวเมืองในรอบเช้านี้เท่านั้น
แม้ว่าแผนการท่องเที่ยวของเขาจะดูเร่งรีบ แต่อคิราห์คิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว เขาได้มีเวลาอยู่กับธรรมชาติและอยู่กับตัวเอง และที่สำคัญเขาได้ทำในสิ่งที่ชอบนั่นก็คือการถ่ายภาพ เพียงแค่นี้ก็มีความสุขมาก ๆ แล้ว
รูปภาพที่อคิราห์ได้บันทึกไว้ถูกเลือกมาสี่รูปเพื่ออัปโหลดลงในบล็อกส่วนตัวให้คนที่ติดตามเขาได้เห็น หากใครต้องการบันทึกรูปภาพเหล่านี้ต้องจ่ายเป็นเงินเท่านั้นถึงจะสามารถบันทึกไว้และนำไปใช้งานต่อได้
ต่อจากนั้นอคิราห์ก็เลือกรูปดอกกุหลาบสองรูปจากสมาร์ตโฟน แล้วแสดงให้คนติดตามได้เห็นในบัญชีโซเชียลสีฟ้าที่มีรูปนกกระจิบสีขาวอยู่ตรงกลาง
อคิราห์แย้มยิ้มเมื่อในทันทีที่เขาอัปโหลดรูปภาพคนที่ติดตามเขาอยู่ก็มีการเคลื่อนไหว เขาเป็นคนที่ค่อนข้างชอบสังคม ชอบติดต่อและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้คน เอาไว้ตอนกลับถึงคอนโดค่อยไล่อ่านความคิดเห็นและตอบกลับผู้คนเหล่านั้นก็แล้วกัน ตอนนี้เขาต้องปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดเสียก่อน เนื่องจากต้องเดินทางกลับบ้านด้วยระบบขนส่งทางอากาศแล้ว
"ดูอะไรอยู่คะน้องเหมย"
พี่สาวเดินมานั่งลงข้าง ๆ กับน้องคนเล็กซึ่งกำลังส่งยิ้มให้กับหน้าจออย่างมีความสุข เห็นแล้วมันก็อดสงสัยไม่ได้ มีอะไรน่าสนใจอยู่ในนั้นกันนะ
"พี่ม่านดูสิคะ คุณคนนี้ถ่ายรูปดอกไม้ได้สวยมาก ๆ เลยค่ะ"
บริมาสชักชวนให้พี่สาวดูรูปดอกไม้สวยงามที่ปรากฏอยู่หน้าจอ เป็นดอกกุหลาบสีแดงสดที่มีหยดน้ำค้างแข็งเกาะอยู่ประปราย เพียงเท่านี้ก็สวยมากแล้ว ยิ่งมีแสงของดวงอาทิตย์ส่องลงมากระทบก็ยิ่งส่งให้ดอกไม้สวยงามเข้าไปใหญ่ รูปแรกเป็นดอกกุหลาบสีแดง ส่วนรูปที่สองเป็นดอกกุหลาบสีขาวที่ถูกถ่ายในลักษณะเดียวกัน และเมื่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่มีหยดน้ำแข็งเกาะอยู่ถูกแสงของดวงอาทิตย์แตะต้อง ดอกไม้ดอกนั้นก็กลายเป็นสีทองอร่ามงามตาในทันที
"สวยมากเลยค่ะ"
"น้องเหมยติดตามคุณคนนี้มานานแล้วค่ะ แต่ละรูปที่ถ่ายสวย ๆ ทั้งนั้นเลย"
"เขาเป็นช่างภาพเหรอคะ"
"น่าจะอย่างนั้นนะคะ เขามีบล็อกสำหรับขายรูปด้วยแหละค่ะ น้องเหมยเคยซื้อมาเป็นรูปภาพปกนิยายสองสามครั้ง"
"เพื่อนพี่ม่านก็เป็นช่างภาพนะคะ"
บริมาสหันขวับมามองพี่สาวอย่างตื่นเต้นจนคนพี่อดอมยิ้มเอ็นดูไม่ได้ ทำไมต้องทำตาโตขนาดนั้นด้วยนะ
"ไม่ต้องตื่นเต้นค่ะ เขามาที่นี่บ่อย ๆ เดี๋ยวพี่ม่านแนะนำให้รู้จัก"
"น้องเหมยไม่ได้ตื่นเต้นเรื่องเพื่อนพี่ม่านหรอกค่ะ"
"แล้วตื่นเต้นเรื่องอะไรคะ"
"ตื่นเต้นที่พี่ม่านก็มีเพื่อนกับเขาด้วย"
"เด็กคนนี้นี่"
คนพี่ทำท่างอนอย่างไม่จริงจังนัก ความจริงแล้วบริมาสควรที่จะถามตัวเองมากกว่านะว่ามีเพื่อนกับเขาด้วยเหรอ เธอมีเพื่อนเพียงคนเดียวนับตั้งแต่อนุบาลจนถึงตอนนี้ นั่นก็คือลูกชายของคุณป้าร้านอาหารตามสั่งเพื่อนของคุณแม่ที่เธอนำดอกยิปโซไปให้บ่อย ๆ นั่นเอง ตอนนี้เขาผู้นั้นเดินทางไปศึกษาที่ต่างประเทศเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว
ทุกครั้งที่บริมาสกับเพื่อนสนิทคนนี้อยู่ด้วยกันมักจะมีคำถามตามมาเสมอว่าเป็นแฟนกันเหรอ ซึ่งเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงอยู่กับผู้ชายต้องเป็นแฟนกัน แล้วทำไมผู้หญิงกับผู้ชายจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้
สังคมต้องการอะไรกันแน่ และเพราะเธอสนิทกับแค่เพื่อนคนนี้ล่ะมั้งบริมาสจึงไม่มีเพื่อนคนอื่นอีกเลย อีกอย่างคนในครอบครัวก็ไม่ค่อยให้ออกไปไหนมาไหนกับใคร เรียนเสร็จก็กลับบ้าน วันหยุดก็ขายดอกไม้ช่วยคุณแม่ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้บริมาสเข้าสังคมไม่เก่งไปโดยปริยาย และผลข้างเคียงของมันก็ทำให้เธอชอบรำคาญผู้คนไปด้วย ยิ่งคนเยอะเธอก็ยิ่งอยากหลีกหนี แต่แปลกที่เธอกลับชอบคุยกับนักอ่านของเธอมาก ๆ เรียกได้ว่าอ่านและตอบทุกข้อความที่แสดงความคิดเห็นเลยก็ว่าได้
"ขอโทษที่มาสายนะคะ"
ทุกคนหันมามองที่ผู้มาใหม่เป็นตาเดียวเมื่ออคิราห์เปิดประตูคาเฟ่เข้ามาเป็นคนสุดท้าย วันนี้เป็นวันเกิดของพี่ชายคนโตม่านจึงปิดคาเฟ่เป็นกรณีพิเศษหนึ่งวัน ปกติจะมีแค่คนในครอบครัวที่เลี้ยงฉลองกัน และมีคนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนเมื่อพี่ชายพาแฟนสาวมาเปิดตัวกับที่บ้านเมื่อสามปีก่อน
และในปีนี้ก็ดูเหมือนว่าจะมีคนพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนจากการเชิญชวนของเจ้าของวันเกิด
คนผู้นั้นเป็นลูกสาวเจ้าของสถานีโทรทัศน์ที่เขาทำงานอยู่ พ่วงตำแหน่งเพื่อนร่วมงานบ้างเป็นบางคราวยามเมื่อช่างกล้องประจำรายการขอลาหยุด และตำแหน่งที่ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ๆ ก็คงจะเป็นตำแหน่งลูกค้าประจำพ่วงด้วยเพื่อนของเจ้าของคาเฟ่นี่แหละที่ทำให้อคิราห์ถูกเชิญมาในงานวันเกิดของรุ่นพี่ในวันนี้
"น้องอคิณเชิญครับ"
"เชิญจ้ะหนู"
อคิราห์ยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือขึ้นทำความเคารพทุกคน เจอคุณป้าเจ้าของร้านดอกไม้อีกแล้ว
"ของขวัญค่ะพี่หมอก สุขสันต์วันเกิดนะคะ"
"ขอบใจมากครับน้องอคิณ เชิญนั่งก่อนครับ เดี๋ยวพี่ไปยกอาหารช่วยสาว ๆ ก่อน"
หมอกรับของขวัญจากรุ่นน้องแล้วกล่าวเชื้อเชิญ บ้านนี้ผู้ชายและผู้หญิงเป็นแค่เพศเพียงเท่านั้น เขาไม่เกี่ยงว่างานบ้านงานเรือนหรืองานอาหารและล้างถ้วยล้างชามเป็นงานของผู้หญิง พ่อกับแม่ของหมอกสอนมาตั้งแต่ยังเด็กว่ามีอะไรต้องช่วยเหลือกัน งานที่ผู้ชายทำได้ผู้หญิงก็ทำได้เหมือนกัน และงานที่ผู้หญิงทำได้ผู้ชายก็ต้องทำได้
ยกตัวอย่างเช่นวันรวมญาติหรือมีงานเลี้ยงฉลองเช่นนี้ ปกติที่เขาเห็นบ่อย ๆ ก็คือผู้ชายนั่งรอเพื่อรับประทานเพียงอย่างเดียว ส่วนผู้หญิงต้องเป็นคนทำอาหาร เสิร์ฟ และล้างถ้วยจานเองทั้งหมด ที่สำคัญก็คือผู้หญิงจะรับประทานอาหารเยอะไม่ได้เดี๋ยวจะถูกมองว่าไม่มีมารยาท
ซึ่งหมอกเห็นด้วยกับพ่อและแม่เป็นอย่างมากที่สอนให้เขาและน้องสาวรู้จักช่วยเหลือกันและกัน ไม่เอาเปรียบใคร และที่สำคัญก็สอนให้เขารู้จักความเท่าเทียมกันของมนุษย์ด้วย ต้องขอบคุณท่านทั้งสองมาก ๆ เลย
"เดี๋ยวอคิณไปช่วยค่ะ"
"เอางั้นก็ได้ครับ"
สองพี่น้อง หนึ่งแฟนสาว และหนึ่งแขกคนพิเศษช่วยกันลำเลียงอาหารนานาชนิดทั้งของคาวของหวานมาไว้บนโต๊ะจนครบแต่ก่อนที่จะรับประทานอาหารร่วมกันนั้นต้องมีพิธีการหนึ่งอย่างที่บ้านนี้ทำเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นวันเกิดของใครก็ตามนั่นก็คือการกราบเท้าบิดามารดานั่นเอง
หมอกก้มลงกราบเท้าผู้ให้กำเนิดทั้งสองพร้อมกับรับคำอวยพรจากท่านด้วยรอยยิ้ม วันเกิดในทุกปีเขาจะฉลองกับครอบครัวก่อนเสมอ เนื่องจากต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยไปสังสรรค์กับเพื่อนในวันอื่น เป็นแบบนี้จนชินไปแล้วตั้งแต่เล็กจนโต และเพื่อนของเขาทุกคนก็เข้าใจเป็นอย่างดี
อคิราห์มองดูภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาไม่เคยทำแบบนี้กับครอบครัวเลย มากที่สุดที่แสดงออกในเรื่องของความรักกับครอบครัวนั่นก็คือการหอมแก้มผู้เป็นแม่ ส่วนกับพ่อแค่รู้ว่ารักก็มากพอแล้ว เขาไม่ได้สนิทกับท่านถึงขั้นที่ต้องแสดงออกอย่างอ่อนหวานขนาดนั้น
แต่กับครอบครัวนี้ช่างอบอุ่น คงเพราะทำมาตั้งแต่เด็กจึงไม่เกิดอาการเขินอายเลยแม้แต่น้อย ผิดกับเขาที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกสักเท่าไหร่ แม้แต่กับแม่เองบางครั้งเขาก็ยังเขินอาย
"ดอกไม้มาแล้วค่ะ"
อคิราห์หันไปตามเสียงหวาน ๆ ที่ค่อนข้างจะคุ้นหู เหมือนเคยได้ยินมาก่อนจากที่ไหนสักที่เมื่อไม่นานมานี้
"น้องเหมยไปนานมากเลยค่ะ"
ม่านเดินเข้าไปรับดอกไม้สีสันสดใสจากน้องสาวหนึ่งช่อที่เจ้าตัวเป็นคนจัดเองกับมือ จากนั้นก็นำดอกไม้ไปเสียบไว้ในแจกันที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางโต๊ะ
ส่วนบริมาสก็เดินไปยื่นช่อดอกลิลลี่สีขาวสะอาดตาที่ประดับแซมอยู่ในช่อหลายดอกให้พี่ชายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
"สุขสันต์วันเกิดค่ะพี่หมอก"
อคิราห์มองตามร่างเล็กไปทุกย่างก้าวราวต้องมนต์สะกด เสียงหวาน ใบหน้าสวยสดงดงาม หนำซ้ำรอยยิ้มนั้นยังหวานบาดจิตอีกต่างหาก ทำไมช่างดูแตกต่างจากวันนั้นเสียเหลือเกินนะ วันที่เธอผู้นี้มองเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
"ขอบใจมากครับน้องสาวสุดที่รัก ดอกไม้สวยมาก ๆ เลย"
"น้องเหมยตั้งใจทำให้ก็ต้องสวยมากอยู่แล้วค่ะ"
บริมาสถือโอกาสยกความดีความชอบให้ตัวเอง จนคนพี่ต้องยื่นมือมาลูบหัวด้วยความเอ็นดูอย่างเสียมิได้
"เลือกแต่ดอกลิลลี่ให้พี่สินะครับ"
"ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้ประจำวันเกิดพี่หมอกนี่คะ"
ดอกไม้ประจำวันของคนเกิดวันเสาร์ก็คือดอกลิลลี่สีขาว ด้วยเหตุนี้ช่อดอกไม้ที่บริมาสตั้งใจจัดที่สุดในวันนี้ก็คือช่อดอกลิลลี่ เพื่อจะได้มอบให้พี่ชายในวันเดิกนั่นเอง
"น้องสาวพี่น่ารักที่สุดเลยครับ"
คนฟังคิ้วขมวด น้องสาวอย่างนั้นหรือ งั้นก็แสดงว่าเด็กคนนี้เป็นน้องพี่หมอก น้องคุณม่าน และเป็นลูกสาวคุณป้าร้านขายดอกไม้สินะ ทำไมเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยล่ะ แต่ก็ช่างปะไรในเมื่อวันนี้เขาเจอเธออีกครั้ง และรู้แล้วว่าเธอเป็นใคร
ดังนั้นอคิราห์จะเชื่อทฤษฎีพรหมลิขิตก็แล้วกัน ทฤษฎีที่มีอยู่ว่าถ้ามีโอกาสได้เจอกันโดยบังเอิญถึงสามครั้ง นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว แต่มันคือเรื่องของพรหมลิขิตต่างหาก
"คุณอคิณคะ"
"คะ อะไรนะคะ"
อคิราห์สะดุ้งน้อย ๆ เมื่อถูกเจ้าของคาเฟ่สะกิด นี่เขาคิดมากจนตกลงไปในภวังค์เลยหรือนี่
"นี่น้องเหมยค่ะ เป็นน้องคนเล็กของบ้าน"
"..."
"ส่วนนี่คุณอคิณค่ะน้องเหมย เป็นเพื่อนพี่ม่านและก็เพื่อนร่วมงานของพี่หมอก"
"สวัสดีค่ะ"
บริมาสยกมือไหว้เพื่อนของพี่ทั้งสองด้วยความนอบน้อมตามมารยาท ทำไมเธอจะจำไม่ได้ล่ะว่าคุณคนนี้เป็นลูกค้าที่ไร้มารยาทในวันนั้น
อคิราห์ทำเพียงแค่ยกมือรับไหว้ เนื่องจากจนถึงตอนนี้เขายังหาเสียงตัวเองไม่เจอเลย
ตลอดเวลาที่รับประทานอาหารร่วมกันอคิราห์เอาแต่ลอบมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา เธอผู้นั้นไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่เมื่อใดที่เธอได้เอื้อนเอ่ยมันกลับทำให้เขารู้สึกว่าได้ฟังบทเพลงที่ไพเราะเพราะพริ้งมากที่สุดในโลก และยามที่เธอผู้นั้นแย้มยิ้มมันก็เหมือนว่าโลกใบนี้ช่างสดใส จนดอกไม้ที่ถูกประดับอยู่ในแจกันดูจืดชืดไปเสียสนิท
"เค้กช็อกโกแลตจ้ะหนู น้องเหมยทำเองเลยนะ"
"ขอบคุณค่ะคุณป้า"
"ไหน ๆ หนูก็เป็นเพื่อนกับเจ้าหมอกและม่านแล้ว เรียกแม่เลยก็ได้นะจ๊ะ"
อคิราห์เผยรอยยิ้มเต็มหน้าด้วยความยินดี ให้เรียกแม่ก็แสดงว่ายอมรับเขาเป็นคนในครอบครัวแล้วสินะ คิดเองเออเองแล้วผินหน้าส่งยิ้มไปให้คนที่นั่งตรงข้าม แต่เธอผู้นั้นกลับมองมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ไม่สบอารมณ์อีกแล้วสินะ มีตอนไหนที่เธออารมณ์ดีบ้างเนี่ย
"ค่ะคุณแม่"
รับจานเค้กมาจากผู้สูงอายุกว่าแล้วตั้งหน้าตั้งตาละเลียดชิมของหวานในจานอย่างตั้งใจ เค้กช็อกโกแลตก้อนนี้อร่อยกว่าของหวานทุกชนิดบนโลกที่เขาได้เคยชิมมาเลยอคิราห์การันตีได้ ทุกอย่างดูลงตัวไปหมด ไม่หวานเลี่ยนและไม่ขมจนเกินไป มีอะไรที่คนหน้าบึ้งเฉพาะกับเขาคนนี้ทำไม่ได้บ้างนะ
"อร่อยมากเลยค่ะ"
"ชีสเค้กที่ม่านวางขายในร้านน้องเหมยก็เป็นคนทำนะคะ"
อคิราห์พยักหน้ารับรู้ ถึงว่าล่ะรสชาติของชีสเค้กถึงได้ถูกปากเขาขนาดนั้น แบบนี้ต้องเหมาไปฝากแม่เสียแล้วสิ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จคุณพ่อและคุณแม่ของเจ้าของวันเกิดก็ขอตัวกลับบ้านที่อยู่อีกฝั่งของถนน หนุ่มสาวฉลองต่ออีกเพียงครู่เดียวหมอกก็ขอตัวไปส่งแฟนสาวที่บ้าน แต่ความจริงแล้วทุกคนรู้ดีว่าทั้งคู่จะไปสวีทกันสองต่อสองที่ภัตตาคารสักที่ หรือไม่ก็ไปฉลองที่สถานบันเทิงสักแห่งกับเพื่อน
"ดื่มได้ด้วยเหรอคะ"
แขกคนพิเศษเอ่ยท้วงเมื่อเห็นว่าน้องสาวเจ้าของคาเฟ่ยกน้ำสีอำพันที่ผสมแอลกอฮอล์ขึ้นดื่ม
"ดื่มได้ค่ะ"
เป็นม่านที่ตอบคำถามของเขาแทนน้องสาว คุณอคิราห์คงเข้าใจน้องสาวเธอผิดเหมือนดังเช่นคนอื่น ๆ สินะ
"น้องสาวม่านอายุ 25 ปีแล้วค่ะ ไม่ใช่เด็ก 15 ขวบ"
คนฟังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ อายุยี่สิบห้าแล้วงั้นหรือ ทำไมใบหน้ายังละอ่อนอยู่เลยล่ะ
"อ่า...เรานึกว่า 15 จริง ๆ นะคะเนี่ย"
นอกจากคำทักทายในตอนแรกแล้ว คนถูกพูดถึงไม่เอ่ยอะไรกับเขาสักคำ เป็นอะไรมากมั้ยล่ะนั่น หรือยังเคืองไม่หายที่เขาเปิดดูสมุดของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้รับอนุญาตกันนะ
"ขอตัวเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ"
ทันทีที่เจ้าของคาเฟ่เดินห่างออกไปกลิ่นกายที่เขาโปรดปรานก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น น่าแปลกที่เวลาอยู่กับคนอื่นเขาไม่ได้กลิ่นเลย แต่พอมีโอกาสได้อยู่ใกล้กับเธอเพียงสองต่อสองกลิ่นหอมอ่อน ๆ นี้กลับตลบอบอวลไปทั่ว ผ่อนคลายดีจัง
"จะไปไหนเหรอคะน้องตัวเล็ก"
อคิราห์ถามหน้าตาตื่นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปยังประตูหน้าร้าน อย่าบอกนะว่าจะกลับ แล้วไม่คิดจะบอกลาใครเลยหรือ อย่างน้อยก็มีเขานั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน
"พี่ตัวโตมากมั้งคะ"
ริมฝีปากเผยอออกจากกันแล้วอ้าค้าง ดุจังวะตัวแค่นี้ อคิราห์คิดในใจแล้วมองตามร่างเล็กไปจนเธอผู้นั้นหายลับเข้าไปในร้านดอกไม้
ต่อจากนี้ไปมันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกแล้ว โอกาสที่เขาจะได้เจอกับเธออคิราห์จะไม่ปล่อยให้มันสูญเปล่าอีกต่อไปเป็นเด็ดขาด