บทที่ 6
Chrysanthemum
ดอกเบญจมาศ มีความหมายว่า ชอบคุณเข้าแล้วนะ
"สวัสดีค่ะคุณแม่"
"หนูอคิณ วันนี้มาแต่เช้าเลยนะลูก"
อคิราห์ส่งยิ้มกว้างให้กับผู้สูงวัยกว่าตรงหน้า วันนี้เขารีบตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะได้แวะมาที่ร้านดอกไม้ก่อนจะไปสถานีโทรทัศน์ และดูเหมือนว่าเขาจะมาที่นี่เร็วเกินไป เวลาเช้าแบบนี้น้องเหมยคงยังไม่ตื่นแน่ ๆ
"คุณแม่ทานข้าวเช้าแล้วเหรอคะ"
"เรียบร้อยแล้วล่ะจ้ะ หนูอคิณล่ะ"
"ยังเลยค่ะ วันนี้หนูตื่นแต่เช้า กะว่าจะไปกินกาแฟที่สถานีแทนข้าวเช้าเลยค่ะ"
ผู้มาเยือนส่งยิ้มให้กับเจ้าของร้าน วันนี้ผู้เป็นแม่ของเขาจะมาที่สถานี และอคิราห์คิดว่าจะซื้อช่อดอกไม้สวย ๆ สักช่อไปฝากเพื่อเอาใจท่านสักหน่อย
"ทานพร้อมคุณพ่อไหมคะ นั่งทานอยู่คนเดียวตรงหลังบ้านแน่ะ"
'ก็อยากทานอยู่นะคะ แต่เกรงใจคุณพ่อ' อคิราห์คิดในใจ
"ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เช้านี้อคิณรีบ"
"แต่ข้าวเช้ามีประโยชน์มากนะจ๊ะ"
"..."
"เอางี้ดีกว่า หนูอคิณรอแม่อยู่ตรงนี้ก่อนนะ"
อคิราห์ทำหน้าเลิกลั่กเมื่อทันทีที่พูดจบเจ้าของร้านก็เดินหายเข้าไปทางหลังร้านทันที
ร่างสูงก้าวขาพาตัวเองไปนั่งรอที่โต๊ะที่มีไว้เพื่อให้ลูกค้านั่ง ตรงโต๊ะมีคุกกี้สีน้ำตาลวางเรียงอยู่ในขวดโหลอย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ
มือเรียวเปิดฝาขวดโหลออกทันทีแบบที่แทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน ใจจริงเขาอยากหอบขวดนี่กลับบ้านเสียด้วยซ้ำไป แต่ก็รู้ดีว่าคงทำแบบนั้นไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือหยิบมาชิมแค่ชิ้นเดียวเพียงเท่านั้น
"อร่อยจัง"
เพียงแค่กัดคำแรกรสชาติกลมกล่อมก็ลอยเข้ามาแตะปลายลิ้น กลิ่นหอมของน้ำตาลทำให้อคิณเผยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
"มาแล้วจ้ะ"
เจ้าของร้านเดินกลับมาพร้อมกับปิ่นโตเล็ก ๆ สามชั้นในมือ คุณแม่ยื่นมันมาวางตรงหน้าเขาพร้อมกับกล่าวอธิบาย
"นี่ปิ่นโตอาหารนะจ๊ะ หนูอคิณเอาไปทานที่สถานีเลย"
"ขอบคุณค่ะคุณแม่"
จะรับไว้ก็เกรงใจ แต่หากจะปฏิเสธก็ยิ่งเกรงใจเข้าไปใหญ่ ดังนั้นขอรับไว้ก็แล้วกันนะ
"ว่าแต่มาวันนี้จะสั่งดอกไม้อะไรจ๊ะ"
"เอ่อ"
"ดอกที่มีสีสันสดใสแบบเดิมไหม"
"ไม่ค่ะคุณแม่ หนูจะเอาช่อดอกไม้ไปมอบให้คุณแม่ของหนูน่ะค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดี"
เจ้าของร้านพยักหน้าแล้วบอกให้เขานั่งรอสักครู่ อคิราห์เลือกเปิดดูนิตยสารที่ทางร้านเตรียมไว้ให้อ่านเพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ จนมาสะดุดอยู่กับดอกไม้สีแดงดอกหนึ่ง
นี่เขาเป็นอะไรกับดอกไม้สีแดงมากหรือเปล่านะ
"ดอกเบญจมาศ คือ สัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ร่วง ในคติความเชื่อโบราณของจีน ดอกเบญจมาศคือความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุยืนและความงามนิรันดร์"
อคิราห์ไล่สายตาอ่านตัวหนังสือในหน้าหนึ่งของนิตยสารช้า ๆ
"ดอกเบญจมาศสีแดงนั้นเป็นดอกไม้แห่งความรัก ผู้คนนิยมมอบดอกเบญจมาศสีแดงเพื่อแสดงถึงความรักใคร่ชอบพอ"
ทุกข้อความที่เขาได้อ่านปรากฏเพียงใบหน้าบูดบึ้งของลูกสาวคนเล็กของเจ้าของร้านดอกไม้แห่งนี้เท่านั้น รอยยิ้มผุดพรายขึ้นเต็มหน้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ
"หรืออีกนัยหนึ่ง ความหมายของดอกเบญจมาศก็คือ ชอบคุณเข้าแล้วนะ"
"ช่อดอกไม้สำหรับคุณแม่หนูอคิณได้แล้วจ้ะ"
อคิราห์หลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเตือนของเจ้าของร้านดอกไม้ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและไม่ลืมที่จะถือปิ่นโตติดมือมาด้วย แม้ในใจจะอยากหยิบเอาโหลคุกกี้มาทั้งโหลแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อในตอนนี้ทั้งสองมือของเขามีข้าวของพะรุงพะรังเต็มไปหมด
"ขอบคุณคุณแม่มาก ๆ เลยนะคะ"
"ด้วยความยินดีจ้ะ"
"ทั้งหมดเท่าไหร่คะ"
"ไม่เป็นไรลูก ถือเป็นการทำความรู้จักกัน"
"แต่ว่า..."
"อย่าปฏิเสธผู้ใหญ่สิจ๊ะ"
อคิราห์ยิ้มแห้ง ๆ เอาไงดีล่ะเนี่ย ตั้งแต่รู้จักกันคุณแม่ก็เป็นฝ่ายให้เขาตลอดเลย ทั้งดอกไม้ และอาหารพวกนี้ มันทำให้เกรงใจและอาจส่งผลให้เขาไม่กล้ามาที่นี่อีก
คนอายุมากกว่าส่งยิ้มอบอุ่นไปให้ร่างสูงชะลูดตรงหน้า วันนี้เธอขอเอาความเป็นเด็กและผู้ใหญ่มาอ้างก่อนก็แล้วกันนะ เพราะแอบเห็นอยู่บ่อย ๆ ว่า อคิราห์ชอบมาอุดหนุนคาเฟ่ของลูกสาว ด้วยเหตุนี้ท่านจึงอยากตอบแทนเด็กสาวผู้นี้และซื้อเขาเอาไว้ด้วยความจริงใจเพื่อที่จะให้เขาอยู่อุดหนุนลูกสาวเธอนาน ๆ
"งั้นเอาไว้วันหลังหนูจะพาคุณแม่มาซื้อดอกไม้ด้วยตัวเองนะคะ แล้วเมื่อถึงวันนั้นคุณแม่ต้องให้อคิณจ่ายเงินซื้อด้วยนะคะ แบบนี้อคิณเกรงใจแย่เลย"
"หนูมาอุดหนุนคาเฟ่ของม่านบ่อย ๆ ก็พอแล้วจ้ะ"
"มาอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าหนูก็อยากอุดหนุนดอกไม้คุณแม่ด้วย"
อคิราห์อธิบาย เขามาที่นี่บ่อยอยู่แล้ว และอยากมาบ่อย ๆ วันละหลายครั้ง จะให้เขาเดินเข้าเดินออกคาเฟ่กับร้านดอกไม้ทั้งวันเลยก็ทำได้ แต่ติดตรงที่ว่าเจ้าของร้านดอกไม้ทั้งสองร้านจะยอมให้เขาทำแบบนั้นหรือไม่
"งั้นเอาไว้วันอื่นแล้วกันนะจ๊ะ วันนี้แม่ให้ฟรีไปก่อน"
"ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ"
"อยากได้อะไรเพิ่มไหมจ๊ะ"
เมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กสาวเอาแต่ชะเง้อคอมองหาอะไรบางอย่างคนเป็นเจ้าของร้านจึงถามด้วยความสงสัย
"เอ่อ...ไม่ค่ะ"
"แม่เห็นว่าหนูมองเหมือนหาอะไรบางอย่าง"
"คือว่า..."
อคิราห์ไม่กล้าพูดให้ครบประโยค จะให้ตอบว่ามองหาลูกสาวคุณแม่อยู่งั้นหรือ มันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลยนะ
"ลูกแม่ยังไม่ตื่นหรอกจ้ะ"
คุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์และพระเจ้า คุณแม่รู้ได้ยังไงว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
"ลูกสาวแม่ตื่นตอนตลาดวายโน่นแหละ ตื่นมาก็ไปเตรียมเปิดร้านเลย ตอนนี้ก็แปดโมงครึ่งแล้วอีกสักพักคงตื่น"
อคิราห์พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วกล่าวลาเจ้าของร้านดอกไม้ที่ใจดีที่สุดที่เขาเคยเจอ ตาเรียวเล็กมองขึ้นไปยังชั้นสองของตึกก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์และขับออกไป
"เฮ้อ"
บริมาสมองดูแจ้งเตือนที่บอกว่าเธอได้เป็นเพื่อนกับคนไร้มารยาทในจอสมาร์ตโฟนแล้วถอนหายใจ เมื่อคืนเธอยอมให้ช่องทางการติดต่อกับเขาไปได้ยังไงกันนะ สงสัยคงอยากตัดรำคาญแหละมั้ง
"เอ๊ะ"
คิ้วดกดำขมวดเป็นปมเข้าหากัน เมื่อแจ้งเตือนปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง
'สวัสดีตอนเช้าค่ะน้องเหมย'
คนส่งทำราวกับรู้ว่าเธอตื่นนอนแล้วยังไงยังงั้น ชักจะรู้มากไปแล้วนะคนคนนี้
บริมาสทำเพียงแค่กดอ่านข้อความเพียงเท่านั้น เธอไม่ได้ตอบกลับเขาเลยแม้แต่สติ๊กเกอร์เดียว มือเรียววางเครื่องมือสื่อสารเอาไว้ที่เดิมเนื่องจากตอนนี้ก็สายแล้ว และเธอก็เกรงว่าจะไปช่วยพี่สาวเตรียมร้านไม่ทันจึงได้รีบเร่งอาบน้ำแต่งตัวเป็นพิเศษ
อาจเพราะเมื่อคืนทำขนมจนดึกดื่นแถมยังเกือบโดนรถชนอีกต่างหากแหละมั้งที่ทำให้เธอนอนหลับสบายขนาดนี้
ความจริงแล้วทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่เคยบ่นเรื่องตื่นสายเลย และท่านก็ไม่เคยบ่นด้วยว่าเป็นสาวเป็นนางทำถึงได้ตื่นสาย เพราะพวกท่านรู้ว่างานที่ทำอยู่มันบังคับว่าต้องพักผ่อนให้เพียงพอ นอนเป็นเวลาและต้องตื่นให้เป็นเวลา บริมาสชอบที่ครอบครัวเป็นแบบนี้ ชอบที่ทุกคนปรับตัวเข้ากับสมัยได้เป็นอย่างดี
"ยิ้มอะไรนักหนาเจ้าอคิณ ดีใจที่แม่มาเหรอ"
"ก็...คิดแบบนั้นก็ได้ค่ะ"
"แน่ะ มีพิรุจนะเราน่ะ ทำเหมือนกับกำลังตกหลุมรักอย่างนั้นแหละ"
อคิราห์มองผู้เป็นแม่ตาโตด้วยอารามตกใจ อาการที่เขาเป็นอยู่มันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร
"ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยแม่"
"แล้วการนั่งยิ้มกับปิ่นโตมันคืออะไร"
การนั่งยิ้มกับปิ่นโตก็คือประทับใจคนให้แหละมั้ง อคิราห์ตอบมารดาในใจ
"ดอกไม้ค่ะคุณนายแม่"
ผู้เป็นแม่รับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อคิราห์ไม่ใช่คนอ่อนหวาน แต่การกระทำกลับโรแมนติก ทุกครั้งที่รู้ว่าแม่จะมาที่สถานีเขาจะเตรียมช่อดอกไม้ไว้ให้ท่านเสมอ
"สวยจังเลย"
"ที่ร้านสวยกว่านี้อีก เอาไว้วันหลังเดี๋ยวอคิณพาไป"
"ไปดูดอกไม้หรือดูอย่างอื่น แล้วดูอะไรจ๊ะลูกรัก ดอกไม้หรือคนขาย"
อคิราห์อมยิ้ม ถ้าให้ตอบตามจริงเขาก็คงจะตอบว่าลูกสาวคนเล็กของเจ้าของร้านดอกไม้สวยกว่าดอกไม้ทุกชนิด และหวานกว่าเกสรดอกไม้ทุกชนิดบนโลกเลยก็ว่าได้
"ดูดอกไม้นั่นแหละแม่ แล้วก็ไปชิมเค้กด้วย อร่อยที่สุดในโลกเลย"
"ทำไมแม่รู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น"
"แม่รู้สึกไปเองหรือเปล่า วัยทองก็งี้แหละ"
ปากตอบมารดาส่วนมือก็แกะปิ่นโตไปด้วย ปกติเขาไม่ชอบรับประทานอาหารเช้า สงสัยวันนี้คงต้องเปลี่ยนใจใหม่เสียแล้วล่ะ
ปิ่นโตมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกอคิราห์เปิดเจอหมูทุบ ชั้นที่สองเป็นของหวานที่ทำจากมันม่วง และชั้นสุดท้ายก็คือข้าวสวยที่กำลังร้อน ๆ อยู่
"น่ากินจัง"
อคิราห์ลอบกลืนน้ำลาย
"ทุกวันนี้มีคนส่งปิ่นโตแล้วเหรอ"
"..."
"คนนี้จริงจังหรือยังล่ะ"
ลูกสาวชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวสวยเข้าปาก อคิราห์มองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาจริงจัง ใช่ว่าเกิดมาเขาจะไม่เคยมีแฟน คนแรกตอนมัธยมต้น คนที่สองมัธยมปลาย คนที่สามและสี่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ทุกคนล้วนเป็นผู้หญิง พ่อและแม่ของเขาก็รับรู้รับทราบมาโดยตลอด
อคิราห์จบความสัมพันธ์กับทุกคนด้วยดี ต่างคนต่างเข้าใจกันและแยกย้ายไปเดินในทางที่ตัวเองชอบและมีความสุข เขาไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งที่เลิกกับแฟน เพราะในเมื่อไปต่อไม่ได้ก็ควรเลิกกันถูกแล้ว
แต่กับคนนี้ คนที่เขาเพิ่งเจอไม่กี่ครั้งอคิราห์กลับรู้สึกว่าอยากจะจริงจังด้วยมากกว่าครั้งไหน ๆ เขาไม่อยากให้มีคำว่าเลิกอยู่ในพจนานุกรมฉบับส่วนตัวอีกแล้ว ทั้งที่เธอคนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเขาคิดอย่างไรด้วย และอคิราห์เองก็ยังไม่รู้ว่าเธอจะคิดแบบเดียวกันกับเขาหรือเปล่า
"เขายังไม่รู้เลยว่าอคิณชอบ"
คนเป็นแม่แกล้งเอามือทาบอกเมื่อได้ฟังจนจบ ใครเป็นผู้มีอิทธิพลคนนั้นกันนะ ลูกสาวท่านถึงได้มีท่าทางที่แสดงว่าแคร์และดูสนอกสนใจมากมายขนาดนี้
"ใครกันนะที่ทำให้ลูกสาวแม่หงอยขนาดนี้"
"เดี๋ยวเอาไว้วันหลังอคิณจะพาไปเจอนะคะ"
"วันนี้เลยสิ"
อคิราห์เงยหน้ามองผู้เป็นแม่อย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองนัก เป็นแบบนี้ก็คงไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะนะว่าเขาได้ความใจร้อนมาจากใคร
"แม่จะใจร้อนไปทำไม อคิณเพิ่งเจอกับน้องสองสามครั้งเองนะ"
"เจอสองสามครั้งแต่เรียกน้อง สนิทนักเหรอเรา"
คนโดนแขวะยิ้มแห้ง ๆ น้องเหมยอายุน้อยกว่าเขาก็ต้องเรียกว่าน้องอยู่แล้วสิ
"ตอนนี้เป็นน้อง ตอนต่อไปค่อยเป็นแฟนไงแม่"
"มั่นใจจังนะ"
อคิราห์ไม่ตอบผู้เป็นแม่ต่อ เขาเลือกที่จะตักข้าวเข้าปากแทน อาหารที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นตรงหน้าชักชวนให้เขาได้ลิ้มลองอยู่ตั้งนานแล้ว
"ทำไมถึงได้ทำหน้าเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ขนาดนั้น"
ลูกสาวเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ยเหมือนเด็ก ๆ แต่กระนั้นก็ยังมีความสามารถยิ้มไปด้วยเคี้ยวอาหารไปด้วยได้อยู่ดี
"แม่ชิมสิ อร่อยมากเลยนะ"
"คนพิเศษทำให้เหรือเปล่าอคิณถึงได้อร่อย"
"คุณแม่ของน้องเป็นคนตักให้ค่ะ"
"เข้าทางผู้ใหญ่เหรอเราน่ะ"
อคิราห์หัวเราะชอบใจ ตอนแรกเขาไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกนะ แต่พอได้ยินผู้เป็นแม่พูดเขาก็ชักจะคล้อยตามซะแล้วสิ เข้าทางผู้ใหญ่ก็ดีเหมือนกัน เพราะดูเหมือนว่าผู้ใหญ่บ้านนั้นจะเอ็นดูเขาเป็นพิเศษเสียด้วยสิ ทั้งคุณแม่ พี่หมอก และคุณม่าน เหลือก็แต่คุณพ่อที่เขาไม่ค่อยได้คุยด้วยสักเท่าไหร่ แต่ใบหน้าท่านก็ดูเป็นมิตรมากอยู่ และอีกหนึ่งคนที่เขาอยากให้เธอเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ แต่ทุกครั้งที่เจอเธอก็เอาแต่หน้าบึ้ง จนอคิราห์อดคิดไม่ได้ว่าน้องคนเล็กของบ้านโกรธอะไรเขามาตั้งแต่ชาติปางไหน
"ตอนแรกไม่คิดนะคะ แต่ตอนนี้อคิณแอบคิดแล้ว"
"งั้นเที่ยงนี้พาแม่ไปหาหนูคนนั้นที"
ดูท่าว่าความใจร้อนที่เขาได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากคนเป็นแม่จะมีไม่ถึงครึ่งเลยสินะ ดูเอาเถิด เพียงแค่เขาแสดงท่าทีว่าสนใจคนคนหนึ่ง แม่เขาก็เป็นเดือดเป็นร้อนอยากเห็นหน้าเธอคนนั้นแล้ว
ให้ตายสิ ถ้าไปถึงแล้วไม่เจอแม่เขาจะผิดหวังไหมนะ แล้วจะมองคนที่เขาแอบชอบไปในทิศทางไหน ถ้าไปแล้วไม่เจอจะมองว่าน้องเหมยไม่มีมารยาทหรือเปล่า และถ้าเจอจะมองว่าน้องเหมยเป็นคนหน้าบึ้งหรือไม่นะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้นอคิราห์สงสัยอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเขาจะตื่นเต้นจนประหม่าไปทำไมกัน