ดึกสงัด
จะเป็นเวลาใดแล้ว เหนียงฮุ่ยฟางก็มิอาจรู้ได้ ท่านเศรษฐีหงผู้เป็นสามีนั้นหลับไปนานแล้ว หากแต่นางยังลืมตาโพลงอยู่ในความมืดสลัว
นางหวาดกลัวเหลือเกินกับสิ่งที่พบเจอในวันนี้ บุตรชายทั้งคู่ของท่าน อันได้ชื่อว่าเป็นลูกเลี้ยงของนางนั้นตั้งท่าเปิดศึกรังเกียจรังชังอย่างเห็นได้ชัด
ฮุ่ยฟางยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลย้อยออกทางหางตาอย่างสุดจะกลั้น เหตุใดหญิงสาววัยสิบแปดเช่นนางจักต้องพานพบอุปสรรคในชีวิตอยู่ร่ำไป เมื่อไรจะพบความสุขสงบเสียทีหนอ
ฮุ่ยฟางกำพร้าบิดามารดาแต่เด็ก พวกเขาเสียชีวิตด้วยโรคร้าย ท่านป้าของนางที่สูญเสียสามีตั้งแต่แต่งกันได้เพียงสองปีและไม่มีลูก ครองตัวเป็นโสด จึงได้รับนางไปอุปการะเลี้ยงลูกตั้งแต่บัดนั้น
แม้ท่านป้าจะมิได้ร่ำรวย นางมีอาชีพทำอาหารขาย แต่ก็อบรมเลี้ยงดูฮุ่ยฟางเป็นอย่างดี การบ้านการเรือน มิขาดตกบกพร่อง ทั้งยังได้วิชาตำรับตำราอาหารมาเป็นเสน่ห์ปลายจวัก
ชีวิตของฮุ่ยฟางดำเนินไปอย่างเป็นสุข ตราบจนท่านป้าได้พบรักกับชายผู้หนึ่งที่ชื่อว่าท่านลุงเลี่ยวเซียว ผู้มีอายุน้อยกว่าท่านป้าถึงหกปี ทั้งคู่แต่งงานเงียบ ๆ และย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน
สามีใหม่ของท่านป้านั้นอยู่ไปไม่นานก็เริ่มออกลายกับหลานสาวที่อายุอานามเลยวัยปักปิ่นมาสามปี เรียกได้ว่ากำลังสาวสะพรั่งอวบอัด เขาหาโอกาสแตะต้องลูบไล้ตามที่จะหาได้ จนสุดท้ายเขาเข้าหานางถึงห้องนอนในวันที่ท่านป้าป่วย นางถีบเขาเสียตกลงจากเตียงแขนหักแล้ววิ่งหนีร่ำไห้ไปหาท่านป้า
แต่สวรรค์กลับเข้าข้างคนผิด ท่านป้าของนางลุ่มหลงสามีจนหัวปักหัวปำ กลับกล่าวหาว่าหลานสาวของตนเป็นฝ่ายยั่วยวนสามี ด่าทอตบตีและออกปากไล่ออกจากบ้าน
เหนียงฮุ่ยฟางวิ่งออกมาจากที่นั่นด้วยความเสียใจ ผ้าผ่อนสินทรัพย์มิได้หยิบมาแม้แต่ชิ้นเดียว ความมืดบวกกับสติเตลิดด้วยร่ำไห้และหวาดกลัว ทำให้นางไม่ทันระวังวิ่งชนรถม้าของคนคนหนึ่งเข้าเต็มรัก และคนผู้นั้นก็คือท่านเศรษฐีหง
ท่านได้แสดงความรับผิดชอบ พานางไปหาหมอเพื่อรักษาและเมื่อได้สนทนากันท่านก็สงสารนางจับใจ ชีวิตของนางไร้ญาติขาดมิตรทั้งตอนนี้ยังสิ้นไร้ไม้ตอก มิรู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
ท่านหงยอมรับกับตัวเองว่าความอวบอัดและงดงามของนางถูกตาต้องใจท่านเป็นยิ่งนัก ในเมื่อท่านเองก็ครองตัวเป็นหม้ายมาร่วมสองปีนับแต่ผู้เป็นภรรยาสิ้น ตอนนี้ก็มิผิดที่จะหาใครสักคนมาคอยดูแล
แน่นอนว่าเมื่อท่านยื่นข้อเสนอ เหนียงฮุ่ยฟาก็ตอบรับโดยมิบิดพลิ้วแม้ว่านางจะมิเต็มใจนัก แต่จะให้นางหันหน้าไปทางใดได้เล่า
ต่อเมื่อได้เข้าไปอยู่ในบ้านสกุลหงแล้ว เสียงซุบซิบนินทาก็เกิดขึ้นรอบกายว่าท่านถูกสตรีคราวลูกหลอกเอา แต่นางก็พิสูจน์ตัวเองทุกวี่วันว่านางหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ท่านเป็นผู้มีพระคุณ แม้นางได้ชื่อว่าเป็นภรรยาแต่หาได้คิดว่าตนเองเหนือผู้อื่น นางปรนนิบัติท่านอย่างดี ปรุงอาหารอย่างที่ท่านชื่นชอบ และอ่อนน้อมถ่อมตนกับบ่าวไพร่จนกระทั่งความเกลียดชังแคลงใจค่อยจางหายไป ในที่สุด
คิดว่าจะพบความสุขแล้ว แต่ก็ดันมาเจอด่านหฤโหดอีกด่าน นั่นคือบุตรชายทั้งคู่ของท่านอีกจนได้
ฮุ่ยฟางทราบเรื่องในครอบครัวของท่านจากบ่าวไพร่ในบ้านว่าท่านนั้นเอาแต่คร่ำเคร่งกับหน้าที่การงาน กระทั่งลืมการดูแลเอาใจใส่ครอบครัวทั้งภรรยาและลูก ท่านฮูหยินหงนั้นล้มเจ็บ แม้กระทั่งวันที่นางสิ้น ผู้เป็นสามีก็หาได้อยู่ดูใจไม่ นั่นทำให้บุตรชายทั้งสองไม่ยอมให้อภัยผู้เป็นบิดา โทษว่าส่วนหนึ่งที่มารดาป่วยก็เพราะตรอมใจที่บิดาละเลยไม่เคยให้ความรัก
หลังจากมารดาสิ้น ชายหนุ่มทั้งคู่ไม่อยากอยู่บ้านจึงเลือกที่จะออกไปบริหารงานโรงเตี๊ยมแห่งอื่นที่ไกลจากบ้านถึงสี่ห้าร้อยลี้ ปีหนึ่งจะกลับมาบ้านครั้งหนึ่ง
กลับมาในวันครบรอบวันที่จากไปของมารดา ดังเช่นตอนนี้...
ฮุ่ยฟางถอนใจยาว ๆ มิรู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ว่าไปแล้วนางก็พอเข้าใจได้ที่พวกเขาทั้งคู่จะเกลียดชังนาง เพราะการที่เขากลับมาทำบุญครบรอบวันตายของมารดา แต่กลับเจอบิดานำผู้หญิงใหม่เข้ามาอยู่ในบ้าน
เดี๋ยวพวกเขาก็กลับไปที่ที่จากมา คงอยู่อีกไม่นาน...
สิ่งที่นางต้องทำคือหลีกเลี่ยงการปะทะ ไม่ให้ท่านเศรษฐีต้องกังวลใจเป็นพอ
“ ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน ฮุ่ยฟางเอ๋ย ”
นางรำพันกับตัวเองเบา ๆ พร้อมถอนใจยาว ๆ อีกครา
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่
เหนียงฮุ่ยฟาง ท่านฮูหยินแห่งสกุลหง ตื่นแต่เช้าเข้าครัวปรุงอาหารดังเช่นที่ทำอยู่ทุกวัน หากแต่ยามขึ้นโต๊ะอาหารเช้านางกลับลังเลที่จะไปนั่งร่วมโต๊ะ
“ ทำไมเล่าท่านฮูหยิน ” เถินจิ่วเหมย หนึ่งในหญิงรับใช้ในครัวถามอย่างสงสัย
“ ข้าอยากกินข้าวในครัวกับพวกพี่น่ะ ให้ท่านเศรษฐีได้กินและสนทนากับคุณชายทั้งสองเถิด ”
นางว่าด้วยสีหน้าเจื่อน อาเหมยสงสารจับหัวใจ เพราะได้ข่าวที่คุณชายทั้งสองว่าร้ายให้นางเมื่อวานที่ริมธาร
“ ท่านฮูหยินอดทนสักนิดนะเจ้าคะ ข้าเองอยู่รับใช้บ้านนี้มาตั้งแต่เกิด เพราะพ่อกับแม่ของข้าก็เป็นบ่าวของนายท่าน คุณชายทั้งสองแม้จะมองภายนอกร้ายกาจไปบ้าง แต่น่าจะเป็นเพราะว่าขาดความรัก ท่านฮูหยินคนเก่าเอาแต่พูดจาเป่าหูลูกชายทั้งคู่ว่าบิดาไม่รัก แต่แท้จริงแล้วที่นายท่านทำลงไปก็เพื่อครอบครัวทั้งนั้น ”
“ กระนั้นก็เถอะพี่จิ่วเหมย หากเลี่ยงได้ข้าก็ควรเลี่ยง เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายมิใช่หรือ ”
“ แล้วท่านฮูหยินสบายใจเช่นนี้หรือเจ้าคะ ”
“ ใช่ ข้าสบายใจเช่นนี้ พี่ก็รู้ว่าข้ามิได้สูงส่งมาจากที่ไหน โชคดีที่มีบารมีท่านเศรษฐีคุ้มหัว มิเช่นนั้นข้าก็คงระหกระเหเร่ร่อนป่านนี้เป็นตายร้ายดีเช่นไรก็ไม่รู้ อะไรที่ทำให้บ้านสงบได้ข้าก็ควรทำ ”
“ ถ้าท่านฮูหยินสบายใจเช่นนั้นก็เอาเถอะเจ้าค่ะ ”
“ เดี๋ยวข้าจะช่วยจัดอาหารให้ แต่พวกพี่ยกออกไปนะ ” ท่านฮูหยินว่า
“ เจ้าค่ะ ” สาวใช้รับคำและมองนางด้วยสายตาสงสารเหลือเกิน