บทเรียนที่ 1 เป็นหุ่นยนต์จริงป่ะเนี่ย?! (1)
“เลิกกันเถอะ”
ประโยคคำสั้นๆ ที่ตัดความสัมพันธ์กันในทันทีที่ได้ยิน คำว่าสั้นๆ แต่ได้ใจความ คงหมายถึงแบบนั้น ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยสีหน้าไม่เชื่อในหูของตัวเอง พยายามปรับสีหน้าให้ดูดีแต่มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเพราะสีหน้ายับยู่ยี่ที่ดูไม่ได้หลังจากได้ยินเรื่องที่ไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากแฟนสาวของเขา
“หมายความว่ายังไง? ฟ้าแกล้งวินใช่เปล่า? ฮ่า ฮ่า...”
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้โกหกหรือล้อเล่นแต่อย่างใด ขอบตาเริ่มมีสีแดงละเลื่อพร้อมนัยน์ตาเผยน้ำตาที่เริ่มคลอออกมาเล็กน้อย
“ไม่ได้แกล้ง... ฟ้าไม่ได้แกล้ง แต่พูดความจริง ฟ้าคิดว่าเราจะไปกันได้ด้วยดี แบบว่า... ฟ้าให้โอกาสวินนะ! สามปีมานี้ วินไม่เคยมีเวลาให้ฟ้าเลย วันครบรอบของเราก็จำไม่ได้! วันเกิดฟ้าวินก็ยังจำไม่ได้! วันนึงเราเจอหน้ากันกี่ครั้งฟ้ายังนับได้เลย เดือนนึงล่ะกี่ครั้ง? ได้แต่ส่งข้อความคุยกันแค่ตอนนอนอ่ะ เหมือนเราไม่ได้คบกันเลยว่ะ ถึงจะพยายามไม่คิดอะไรมากเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ฟ้าคิดแบบนี้ตลอด ฟ้ารู้สึกว่า...เรามันไม่เหมือนคนรักกันเลย”
หญิงสาวถอนหายใจก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับหยิบกระเป๋าบนโต๊ะของเธอขึ้นมา ในตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายก็ยังเหนี่ยวรั้งดึงข้อมือเล็กนั้นไว้เพื่อพยายามยื้อยั้งไม่ให้เธอไป ริมฝีปากขบเม้มแน่นสุดจะกล้ำกลืน แต่มันก็ไม่สามารถรั้งข้อมือนั้นไว้ได้แม้แต่น้อย
“เลิกกันเถอะนะ”
น้ำเสียงสั่นเทาเอ่ยขึ้นก่อนมือของเขาจะถูกปัดออก เธอเดินหายออกไปและไม่คิดแม้จะหันมามองเลยสักนิด หญิงสาวเดินห่างหายออกไปจากร้านพร้อมกับเสียงส้นสูงที่ดังห่างออกไปจากระยะเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงผู้คนในร้านที่กำลังนั่งทานอาหารแสนอร่อยกันกับครอบครัวและคนรักอย่างมีความสุข เว้นแต่ใครบางคนที่กำลังนั่งเป็นทุกข์อยู่เพียงลำพัง
“.....อึก... ฟ้า! กลับมาก่อน! ฟ..ฟ้า....ฟ้า..ฮึก... ฟ้าอย่าทิ้งวินไปเลยนะ...”
เสียงพึมพำเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น มันไม่สามารถส่งไปถึงใครได้อีกแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองที่นั่งพึมพำกับตัวเองบนโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่า ดวงตาสีน้ำตาลหม่นอาบไปด้วยน้ำตา เส้นผมสีน้ำตาลสว่างดุจหญ้าแห้งที่กำลังแก่ตัวลงพันกันยุ่งเหยิงเหมือนกับจิตใจของเขาในตอนนี้ ‘ฉันไม่เคยใส่ใจเธอเลย ฉันเอาแต่เรียน เรียน และเรียนอยู่เรื่อย จนกระทั่งมารู้ตัวว่าเธอรู้สึกยังไง เมื่อความสัมพันธ์ทั้งสามปีของเรามันจบลงแล้ว’
...
“กริ๊กๆ ...กริ๊กๆ ... เคร๊ง! กริ๊กๆ ...”
เสียงคลิกเมาส์ดังเรื่อยมาจากห้องนอนเล็กๆ ที่แต่เดิมมันควรจะสะอาดสะอ้านกว่านี้ ตอนนี้มันเต็มไปด้วยขยะ กองกระดาษ ขวดเหล้าเรียงรายเต็มพื้นกับคราบหกเลอะเทอะของเศษน้ำและอาหารกระจัดกระจายไปตามพื้นห้อง... ร่างนั่งกอดขวดเหล้าพลางนั่งทำงานไปด้วย ใต้ตาคล้ำ ทั้งดำและดูโทรม ไม่ต่างอะไรจากซากศพเดินได้เลยสักนิด
“...อื้ม..ฟ้า..ฟ้า~~ ฟ้า..วิน...ขอโทษ... อึก..”
เสียงพ่ำเพ้อดังก้องออกมาจากบ้านหลังเล็ก มีเพียงเขาคนเดียวที่อาศัยอยู่ มันเป็นบ้านหลังเก่าที่ป้าของวินเป็นเจ้าของและให้เขาเข้ามาพักอาศัยระหว่างเรียน เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องกังวลเลย ที่จะมีผู้ใหญ่เข้ามาในห้องแล้วกล่าวตักเตือนเขาถึงห้องที่สกปรกเลอะเทอะนี่ เพราะมันไม่มีใครอื่นนอกจากเขา
“ตื้ดๆ ...ตื้ดๆ ....”
โทรศัพท์ที่เอาแต่สั่นเรื่อยๆ พร้อมข้อความที่เด้งขึ้นมาอย่างไม่รู้จักหยุดถึงเพื่อนของเขาที่ทักเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงอยู่ตลอด แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้เขาละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และเหล้าขวดใหญ่ได้เลย นิ้วเรียวยาวไล่สัมผัสบนแป้นอย่างเอื่อยเฉื่อยนั่งทำรายงานหัวก็จ้องจะสัปหงกอยู่เรื่อย เขาได้แต่กล่าวในใจ โทษตัวเองอยู่ในใจทั้งที่ร่างกายกำลังบอกว่าเขาควรรีบพักผ่อน ‘หัวหมุนไปหมดแล้วแฮะ... แต่รายงานตรงหน้าของฉันมันยังไม่เสร็จ ฉันยังพักไม่ได้’
“อ่ะ.. อะไร? ...”
ดวงตาเริ่มหรี่ลงๆ แต่ก็สะดุดตาเข้ากับอะไรบางอย่างที่ส่งเข้ามาในอีเมลของเขา มันคืออีเมลโฆณาชวนเชื่อที่หน้าตาก็ไม่ได้น่าเชื่อถือเอาซะเลยเด้งเข้ามาบนหน้าจอ ใบหน้าจ้องมองเจ้าโฆษณาที่เป็นโพสปักหมุดเหมือนว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ อย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่แล้วก็เปิดมันเข้าไปอ่านถึงเนื้อหาด้านในด้วยความสงสัยว่ามาจากที่ไหนกันแน่
“อึก... คุณได้รับ..ให้เป็น..ผู้ร่วมทดสอบ.. หุ่นยนต์ช่วยเหลือ.. มันคืออะไร~ ต..แต่น่าสนใจดี..” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นทั้งที่แก้มแดงก่ำเป็นลูกตาลยีเพราะพิษเมาจากการดื่มสุระหนัก “ส..สะ..ใส่ชื่อ..กับที่อยู่ อึก~ อ้า..ปวดหัวจัง..กรอกๆ ไปเถอะ ฉันอยากนอนเต็มทีแล้ว”
นิ้วเรียวบรรจงกรอกข้อมูลลงไปในเว็บทั้งที่ตาก็จวนจะหลับ พยายามประคองสติของตัวเองจนถึงวินาทีสุดท้ายจนกระทั่งกดส่งจดหมายตอบกลับไปทางอีเมลอย่างใจเย็น “อืม... พัสดุจะถูกจัดส่งในวันถัดไป... อ่าห๊า... ม..ไม่ไหว...ง่วง..ชะมัด อ้า! คร่อก~”
ใบหน้าซุดลงกระแทกกับโต๊ะเต็มแรงอย่างหมดสติด้วยท่าทางอ่อนล้า โดยไม่รู้เลยว่า กำลังจะมีเรื่องบางอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นกับเขา
[กำลังอัปโหลดข้อมูล....]
...
พาวิน
“อึก..อื้ม..” ปวดหัวหนึบๆ แฮะ...
ผมลืมตาตื่นขึ้นมา บนโต๊ะทำงานของผมที่ตอนนี้มันได้เวลาเช้าช่วงโชติสว่างแสบตากับพระอาทิตย์ที่ส่องทแยงมุมเข้ามาแยงตา อ่า.. เมื่อคืน... เมาหนักอีกแล้วสินะ พยุงตัวลุกขึ้น แต่ตัวเองก็เซไปเซมาด้วยอาการยังเมาค้างหลังจากดื่มไปเยอะของเมื่อคืน
“เมื่อวานโดดเรียนไปสองคลาส วันนี้โดดไม่ได้แล้วสิ...”
ผมค่อยๆ พยุงร่างตัวเองที่ยังกึ่งหลับกึ่งตื่นกึ่งเมา ไปยังห้องน้ำเพื่อส่องกระจกมองหน้าโทรมๆ ของตัวเอง อื๋อ...ขอบตาดำสุดยอดเลย แถมสิวก็ขึ้นหน้าอีก โอ๊ะนั่น สิวหัวช้างกลางหน้าผาก....พระเจ้า.. สามวันโทรมไปขนาดนี้เหรอเนี่ย... ผมจ้องไปยังใบหน้าของตัวเองที่มองยังไงมันก็คงไม่ใช่คนแล้วล่ะ แถมยัง...มีสิวเม็ดเบ้งโชว์หลาอยู่กลางหน้าผาก แน่นอนว่าถ้ามองจากตึกชั้นห้าลงมาก็คงจะเห็นมันชัดเจน แต่หลังจากเช็กสภาพเบ้าหน้าตัวเองเสร็จ ผมก็ต้องมาจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองก่อนออกไปเรียน และนั่นแหละคือที่ที่ ไม่อยากจะไป
“พาวิน!”
เสียงเล็กเอ่ยขึ้นจากระยะไกลก่อนวิ่งพุ่งกระโจนเข้ามากระชากใบหน้าของผมไปบีบเพื่อตรวจเช็กสภาพ เธอคนนี้ชื่อว่า” ปลายน้ำ” เป็นเพื่อนสมัยเรียนประถมของผม เธอมักจะเข้าหาผมเสมอเวลาผมมีเรื่องเดือดร้อนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ต้องการความช่วยเหลือ เธอจะเป็นคนแรกที่ก้าวเข้ามา และตอนนี้ก็กำลังบีบแก้มผมด้วยสีหน้าเอาเป็นเอาตาย จับผมเบิกตากว้างจ้องไปยังตาของผมแม้ใต้ตาจะคล้ำดำมืดดูไม่ได้มากก็ตาม
“เธอ ยัยบ้า พอได้แล้วน่ะ”
“ดูสิ สิวขึ้นด้วยอ่ะ อี๋ นี่หัวช้างหนิ ขอบีบได้ไหมอ่ะ” นิ้วไว้เล็บยาวเฟื้อยเข้ามาใกล้สิวบนหน้าผากของผมอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ได้เอ่ยตอบออกมาและเธอก็กดนิ้วด้วยเล็บคมๆ ของตัวเองนั่นจิกสิวบนหน้าผากผมเหมือนเป็นเรื่องง่ายดายทั้งที่ผมกรีดร้องแทบตายกลางโรงอาหาร
“เฮ่ย โอ๊ย! โอ๊ยๆ ๆ ๆ อย่าน้ำ โอ๊ย โอ๊ย!”
“โอ่ยโอ๊ยคิดถึงจังเธอ~~”
เสียงเอื้อนร้องเพลงมาจากไกลๆ ก่อนจะเผยให้เห็นเจ้าของน้ำเสียงที่กำลังฮำเพลงพร้อมในมือถือห่อขนมเคี้ยวกรุบกรอบ ครับ ผู้ชายบ๋องๆ นั่นชื่อลำธาร เป็นเพื่อนผมอีกคน เรารู้จักกันตอนที่ผมมาเรียนที่นี่ปีแรก ท่าทางออกดูเหมือนคนสติเกินมาเยอะไปหน่อย แต่มันเป็นคนดีนะ และตอนนี้ ผมกับปลายน้ำก็กำลังจ้องมองท่าทางบ้าๆ ของมันอยู่
“อะไร? มองแบบนั้นคืออะไรครับ? ไม่รู้จักเพลงโอ๊ยโอ๊ยของแจ้ ดนุพลหร๋อม”
“ฉันรู้จักแต่เวอชั่นเบน ชลาทิศย่ะ”
“อุบ๊ะ! เจ้ฟังเพลงเก่าๆ แบบนี้ด้วยเหรอจ๊ะ”
“อย่ามาเรียกเจ้นะอีธาร”
“ทำไมเจ้? หรือให้เรียกเจ๊? เจ๊ปลายน้ำ~~”
“เดี๋ยวจะเอาสิวที่หน้าวินมาป้ายหน้าแกนี่แหละ! ฉันไม่เข้าใจแกเลยจริงๆ บ้าอยู่แล้วจะทำตัวให้เหมือนคนบ้าทำไมอีกกลัวคนเขาไม่รู้หรือไงว่าแกบ้าน่ะ! ”
“โอ๊ย กลัวแล้ว กลัวจังเลย~~ แต่ถึงจะบ้าพี่ลำธารก็บ้ารักนะคะ คริคริ...เอ่อ ไอ้วิน หน้ามึงนี่นะ หายหัวไปวันเดียวโทรมยังกะผี ขอบตาแกก็ดำ เมื่อวานกูกับน้ำส่งข้อความโทรหาแกยิ๊กๆ จนไฟไหม้สายก็ไม่ยอมรับ จนจะบุกบ้านแกอยู่แล้วเนี่ย! บอกแล้วไงเลิกกับสาว แต่ยังมีเพื่อนเป็นที่พึ่งนะ เย็นนี้เลิกเรียนไปตี้ร้านเกมดีกว่าไหมห้ะ? ”
ลำธารกล่าวจบพลางตบที่ไหล่ผมเบาๆ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่อะไรมันก็ยังทำให้ผมรู้สึกไม่ดีอยู่ดี เรายังกังวลแต่เรื่องของฟ้าอยู่ดี จนถึงตอนนี้
“ขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นห่วง แต่...กูก็ยังรู้สึกไม่ดีเรื่องฟ้าอยู่ดีว่ะ อีกอย่างกูไม่ไปร้านเกมกับมึงหรอก ทำตัวเป็นเด็กไปได้ ทั้งที่มึงเล่นกากกว่ากูอีก”
“เอ้า ใครบอกกูเล่นกาก เดี๋ยวนี้ฝีมือกูพัฒนาแล้วนะเว้ยทำเป็นเล่นไป อย่าหาว่าพี่ขี้โม้นะน้อง เมื่อวานชนะขึ้นแรงค์ Glorious Ruler แล้วนะครับไม่อยากจะโม้” ลำธารเก๊กท่าทำตัวมั่นอกมั่นใจจนน่าหมันไส้ ทั้งที่ในปากแม่งเคี้ยวขนมตุ่ยๆ เหมือนเด็กอยู่ดี
“วิน ผู้หญิงดีๆ ไม่ได้มีคนเดียวบนโลกนะ บางทีอาจจะมีใครสักคนที่ยอมรับในตัวแกแล้วก็ชอบแกจริงๆ อยู่ก็ได้ ฉันเชื่อว่ามันต้องมี” ริมฝีปากฉีกยิ้มอย่างเป็นกำลังใจและพูดให้กำลังใจของน้ำ ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้างและฉุกคิดขึ้นมา บางที... เราควรจะก้าวผ่านมันออกมาให้ได้ตั้งนานแล้ว ผมไม่ควรใส่ใจมันเกินไปจริงๆ นั่นแหละ
“ขอบใจนะ รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”
“หน่อยนี่มันเท่าไหนวะ”
“จิ๊ดนิง เท่าเม็ดทราย”
“โห่ ระดับคุณแม่ปลายน้ำไม่มีทางทำให้แกรู้สึกดีและคิดได้แค่จิ๊ดเดียวหรอกไอ้วิน เอ้า กินไหม?” ธารพูดพลางยื่นห่อขนมมาให้ทางนี้ “เออ หิวพอดี... เชี่ยไรเนี่ย ขนมบ้านมึงอะ นี่มันซองเปล่า”
“ฝากทิ้งด้วย กูกินหมดละ ฮิฮิ ไปละ” พูดจบปุ๊บร่างก็รีบยกก้นวิ่งหนีออกไปก่อนที่ผมจะหยิบรองเท้าฟาดใส่ “ไอ้เชี่ยธาร ไอ้ห่านี่! อย่าให้เจออีกรอบนะ จะเอาซองเปล่ายัดปาก”
“อร๊าย น่ากลัวจังเลย อย่าทำผมเลยครับ กรี๊ดๆ”
[กำลังประมวลผลข้อมูล]
...
“อ้า~ เหนื่อยยย กลับบ้านสักที”
กลับมาถึงบ้าน ผมก็เอาหัวอิงแนบกับประตูบ้านไปโครมหนึ่งด้วยความเหนื่อย วันนี้วิชาไม่เยอะแต่โคตรจะเปลืองแรงเลย... “หื้ม?” พึ่งจะสังเกตเห็นกล่องอะไรบางอย่างวางนอนนาบข้างๆ ประตู “...อะไรวะเนี่ย จำได้ว่าไม่ได้สั่งอะไรมานะ”
ผมจ้องมองกล่องพัสดุขนาดใหญ่อย่างพิจารณาพลางหันหน้ามองซ้ายขวามองไปรอบบ้าน เพราะกล่องนี่อาจะส่งมาผิดบ้าน แต่... มันจ่าหน้ากล่องชื่อตูนี่หว่า มันจะเป็นของคนอื่นได้ยังไงวะเนี่ย
“เอ่อ... อ่า ช่างแม่ง เอาเข้าไปเปิดก็ได้ บางทีฉันอาจจะสั่งฟิคเกอร์มากั๊กไว้แล้วลืมก็ได้”
ผมเปิดประตูบ้านออกกว้างพลางยกกล่องนั่นขึ้นมา แต่ แบบว่าอ๊ากกก อะไรเนี่ย ทำไมมันหนักยังกับอัดคนไว้ข้างในอย่างงั้นล่ะ เอาจริงดิ ผมชักไม่แน่ใจละว่าของในกล่องนี่มันของผมจริงๆ อะเหรอ เอาตัวดันไปที ยกขึ้นไปทีแต่มันแทบจะไม่กระดุกกระดิกเลยแม้แต่น้อย อะไรเนี่ยผมเริ่มสงสัยแล้วนะว่ามันอาจเป็นระเบิดจากคนคิดทำร้ายผมก็ได้ ถ้าหากว่ามีจริงๆ อ่ะนะ เอาไงดี...
คิดอะไรไม่ออกเว้ย เอาเป็นว่าเดินกลับเข้าไปแล้ววางกระเป๋าสัมภาระ แล้วก็วกกลับมาหัวข้อเดิม คือ..จะเอาไอ้กล่องบ้านี่เข้าไปยังไง
“ค่อยๆ ดันมันเข้าไปแล้วกัน”
[กำลังสแกนหาข้อผิดพลาด...]
...
“โว๊ว.. ในที่สุด”
ผมใช้เวลาสักพักจนในที่สุดก็เอาเจ้ากล่องขนาดยักษ์ใหญ่เข้าไปในบ้านได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังคิดอยู่ว่า ผมเผลอไปสั่งอะไรเข้าบ้านมาจริงๆ น่ะเหรอ
“....ไม่แกะดูก็ไม่รู้...”
นั่งแงะใช้มีดคัดเตอร์แกะเล็มเทปที่ห่อหุ้มกล่องไว้แน่นเหมือนไม่อยากจะให้ดูของข้างในจนกินเวลาล่วงเลยไปครึ่งชั่วโมงได้ “อ้า แกะหมดสักที อะไรกันที่ฉันสั่งมา....หื้ม...” แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ผมเผชิญ เพราะว่าเหนือกล่องใบโต ยังมีกล่องข้างในอีกกล่อง...
“ว้อยย จะไม่แกะแล้วนะเฮ่ย!”
ถึงจะบอกไม่แกะ แต่สุดท้ายผมก็แกะกล่องนั่นออกมาอยู่ดี
[อัปโหลดข้อมูลเสร็จสิ้น....]
...
“นี่มัน...อะไรวะเนี่ย.. ม..หมายความว่ายังไง? นี่มัน...” เมื่อผมเปิดกล่องนั่นออกมาด้วยความเหนื่อยและคิดว่าถ้ามีกล่องอีกชั้นผมจะทิ้งมันจริงๆ แล้วนะ และนั่นแหละ มันทำให้ผมได้พบกับ...
“ม..มีมนุษย์นอนอยู่ในกล่อง?!”
ผมรีบตะกุยห่อซิลที่พันรอบๆ ร่างนั่นอย่างลนลานพลางเขย่าร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงนั่น “เฮ้ คุณครับ ฮัลโหล ตายยังเนี่ย?” ภายในกล่องเป็นชายรูปร่างสูงสวมชุดสูทสีดำเข้มกับผมของเขาที่เป็นสีดำออกน้ำเงินเข้มเล็กน้อย... บ้า! ถ้าเกิดเป็นศพแล้วมีใครส่งโบ้ยความผิดมาให้ผมจะทำไงเนี่ย อย่าบอกนะว่านี่ศพอ่ะ งานหยาบตูแล้วนะเฮ่ย จากที่ซึมๆ พึ่งเลิกกับแฟนไป ต้องมาตาสว่างกับภาพตรงหน้าที่ชวนให้คิดมาก
“ทำไงดี ฉัน..ฉันจะซวยไหม..คุณครับ ตื่นเซ่!!”
ร่างตรงหน้ายังคงนอนแน่นิ่งไม่ขยับ แต่ว่าหน้าของเขาก็ไม่ได้ซีดเหมือนศพ อาจจะยังไม่ตายจริงๆ หรือไม่ก็...พึ่งตายเหรอ!! ไม่ๆ คิดมาก เขาอาจจะหายใจอยู่ ใช่แบบนั้น เป็นแบบนั้นแน่ๆ ผมลองยื่นนิ้วไปใกล้ๆ ปลายจมูกเพื่อพิสูจน์และเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์แต่ว่า
“ไม่หายใจ...”
จบกันชีวิตบริสุทธิ์หรรษามันต้องดับลงในตรงนี้ แต่ตอนนี้ผมควรทำยังไงดี ผมนั่งจ้องมองชายปริศนาในกล่องด้วยความสับสน ก่อนอื่นผมควรเอาเขาออกมาจากกล่องนี่หรือเปล่า? แล้วเราค่อยวางแผนว่าจะทำยังไงกับมันดีไหม? ใช่ เอาแบบนั้นล่ะ ผมดันร่างที่นอนแน่นิ่งให้ลุกขึ้นแต่จะว่าไป มันหนักแปลกๆ หรือเปล่านะ เขาก็ไม่ใช่คนอ้วน แต่ทำไมความรู้สึกเหมือนผมกำลังยกรถถังมากกว่ายกคนออกมาจากกล่องล่ะวะ
“อ่ะ..อะไรเนี่ย?”
พึ่งจะเห็นว่าที่ท้ายทอยของเขามันมีรอยแปลกๆ เป็นขีดๆ อารมณ์เหมือนแบตโทรศัพท์ที่มักจะขึ้นโชว์มาบนหน้าจอ อะไร? รอยสักเหรอ? แต่มันเหมือนกับพลาสติกแข็งๆ ฝังอยู่ที่ท้ายทอยมากกว่า อะไร? แฟชั่น? “เหมือนพลาสติกฝังลงไปจริงๆ นะเนี่ย.. อ่ะ เหวอ!!” แค่สัมผัสมันเบาๆ จู่ๆ ชายตรงหน้าที่คิดว่าน่าจะตายไปแล้ว เกิดอาการกระตุกขึ้นมาเล็กน้อยดวงตาสีฟ้าอ่อนลืมตาขึ้นกะทันหันจนขวัญผมแทบกระเจิง เชี่ยเอ้ย มันเล่นกูแล้วไงพ่อครับแม่ครับ ช่วยด้วย ช่วยลูกด้วย!!
ร่างสปริงตัวลุกขึ้นมานั่งนิ่งก่อนที่ดวงตาของเขาจะเปิดออกกว้างแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง สีตาของเขาเป็นสีฟ้าแวววาวเหมือนกับสีของน้ำทะเลใสๆ ฟ้าแบบฟ้าจริงจังน่ะครับ พอนึกออกกันไหม? ใบหน้าของเขานั้นดูเรียวยาว ดูดีมากๆ บางที่เขาอาจเป็นคนต่างชาติหรือเปล่าผมควรทักถามเขายังไงดีนะ
แต่เมื่อลองสังเกตดูดีๆ ที่ท้ายทอยของเขาที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้ มันกลับปรากฏแสงไฟสีฟ้าเล็กๆ ขึ้นโชว์เหมือนพลังแบตเตอรี่ ม..มันคืออะไร? หรือเขาไม่ใช่คน? เอเลี่ยนเหรอ เอเลี่ยนบรรจุกล่องแพ็คส่งมาบ้านผมเนี่ยนะ เขาจะมาลักพาตัวผมไปชำแหละดูเครื่องในไหมเนี่ย ตอนนี้ขาผมเริ่มสั่นระรัวเสียงสั่นตัวสั่น เอาเป็นว่ามันสั่นไปหมดจนขยับไปไหนไม่ได้นอกจากนั่งดูร่างตรงหน้าลืมตากะพริบถี่ยิก