“อะไรนะนี่คุณลิณณ์ไปแอบมีแฟนตอนไหนครับนี่ เรื่องแบบนี้ต้องเปิดเผยนะครับ พวกเราจะได้ช่วยกันดูด้วยว่าโอเคไหม” ศิวกรรีบลุกจากโต๊ะทำงานของตัวเอง มายืนอยู่ข้างโต๊ะของเฌอลิณณ์
“ทำไมลิณณ์ต้องทำแบบนั้นด้วยคะหัวหน้า” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วทำตาโตใส่
“นั่นสิคะหัวหน้า เรื่องความรักเป็นเรื่องส่วนตัวนะคะ” พีรยายิ้มเหมือนตำหนิเขาไป ว่าไม่สมควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องความรักของลูกน้อง
“ผมก็แค่เป็นห่วง เห็นไหมเอามาปนกับเรื่องงานจนได้” หัวหน้าแผนกผู้มีอายุสี่สิบห้าปี จะยอมถูกลูกน้องอายุน้อยกว่าตัวเองถึงสิบปีต่อว่าไม่ได้ จำต้องยกเรื่องงานมาช่วย
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะหัวหน้า เมื่อกี้ลิณณ์แค่คิดอะไรเพลิน ๆ เลยหลุดเสียงร้องออกมา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรักหรอกค่ะ อย่าไปฟังยัยมนมากนักเลย” คนพูดหันไปทำตาเขียวใส่มนรดา ช่างหาเรื่องมาให้เธอดีนักนะ อีกฝ่ายถึงกับหดหัวกลับเข้ากระดองตัวเองไป
“งั้นก็แล้วไป ทีนี้เรื่องโปรเจกต์น้ำดื่มสูตรใหม่ล่าสุดนี่ เมื่อไหร่พวกคุณจะทำเสร็จกันครับ ผมยังไม่ได้รับงานจากใครสักคนเลยนะ” ศิวกรพูดเสียงดัง ๆ เหมือนทวงงานลูกน้องทั้งสามคนพร้อมกัน
“หัวหน้าคะกำหนดส่งอาทิตย์หน้าโน่นนะคะ หัวหน้าจำวันผิดหรือเปล่าคะ” มนรดารีบยกมือแย้ง เพราะเธอยังไม่ได้ลงมือทำด้วยซ้ำ จะมาส่งอะไรกันตอนนี้เล่า
“นั่นสิคะอาทิตย์หน้าค่ะหัวหน้า” เฌอลิณณ์แอบกุมขมับเพราะเธอทำยังไม่เสร็จเหมือนกัน ไม่ต่างไปจากพีรยาเพิ่งเริ่มต้นทำไปได้นิดหน่อยเอง
“ผมกลัวว่าพวกคุณจะลืมกันเลยเตือนก่อนเท่านั้น ทำงานต่อได้แล้วทำให้เสร็จทันเวลาด้วยล่ะ” พูดจบก็เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ลูกน้องของเขาแต่ละคนแสบ ๆ กันทั้งนั้น ต้องมีข่มกันไว้บ้าง
แต่ท่าทางขึงขังกลบเกลื่อนความอยากรู้อยากเห็นของศิวกรนั้น ไม่ได้ทำให้สามสาวรู้สึกกลัวแต่อย่างใด ที่เกร็งกันอยู่ตอนนี้ เพราะทำงานไม่เสร็จกันสักคนนี่แหละ เรื่องอื่นหัวหน้าของพวกเธอหยวนได้หมด แต่ถ้าเรื่องงานนี่เวลาเอาจริงก็แอบน่ากลัวอยู่เหมือนกัน ยิ่งมนรดาที่เพิ่งเข้ามาใหม่ หญิงสาวยังขาดประสบการณ์อีกเยอะ รีบเลื่อนเก้าอี้มาหารุ่นพี่อย่างรวดเร็ว
“พี่ลิณณ์คะ มนไม่เข้าใจเรื่องโปรเจกต์นิดหน่อย พี่ลิณณ์ช่วยอธิบายตรงนี้เพิ่มได้ไหมคะ”
หญิงสาวเปิดเอกสารโปรเจกต์ให้รุ่นพี่ช่วยดู ซึ่งเฌอลิณณ์ไม่เคยคิดหวงวิชา ตรงไหนไม่เข้าใจหรือทำไม่ได้ ก็ช่วยสอนให้หมดทุกอย่าง นับว่าเธอโชคดีที่ได้เฌอลิณณ์เป็นรุ่นพี่ ในบริษัทแรกที่ได้เข้าทำงานหลังเรียนจบ แต่อย่าถามอะไรซ้ำซากเกินสามรอบเชียวละ เฌอลิณณ์จะหลับตาลงแล้วมองบนใส่ในทันที หาว่าเธอไม่ตั้งใจฟังในสิ่งที่สอนไป
หลังเลิกงานเฌอลิณณ์ขับรถตรงกลับบ้านในทันที เพราะมัวแต่นั่งตัวตรงเอาผมปิดต้นคอไว้ไม่ให้ใครเห็น คอเลยเคล็ดหนักในตอนเย็น กลับถึงบ้านเห็นบุพการีทั้งสองนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว ทั้งคู่เหมือนมีเรื่องอยากเล่าให้เธอฟังมากมาย จะเลี่ยงขึ้นห้องนอนเลยก็ไม่ได้ ทำเป็นนั่งคุยกับพวกท่านแบบห่าง ๆ ไปก่อน
“ที่งานแต่งเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกป้า ๆ เขาไม่เห็นลิณณ์เลยล่ะลูก หลังจากทักทายกันแล้ว เขาบอกว่าไม่เห็นลิณณ์อีกเลย จนถึงตอนเช้าก็ไม่เห็น” นายสุเมธจ้องลูกสาวเพราะเรื่องนี้มันค่อนข้างผิดปกติ
“นั่นสิ ถ้าไม่ได้คุยกับป้าวิ แม่ก็คงไม่รู้ว่าลิณณ์หายตัวได้” นางปานใจมองลูกสาวด้วยความสงสัยเต็มไปหมด ปกติเฌอลิณณ์ไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะแบบนี้
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือว่าลิณณ์เผลอไปกินไวน์เข้า แล้วเมาค่ะแม่” คนเป็นลูกยิ้มอ่อนยอมรับผิดแต่โดยดี
“นั่นไง พ่อถึงได้เป็นห่วงเรื่องนี้นัก รู้ว่ากินไม่ได้ก็ยังอยากจะกินอีกนะ แล้วไปอยู่ที่ไหนล่ะทำไมคนอื่นเขาถึงไม่เห็นกัน” นายสุเมธตบเข่าไปฉาด ไม่ผิดจากที่เคยคิดไว้แต่แรกเลย ลูกสาวคนนี้ใครยื่นของกินมาให้เคยปฏิเสธที่ไหนกัน
“ก็นอนในห้องที่คุณอาวรภาจัดไว้ให้นั่นแหละค่ะ แต่ขึ้นไปนอนตั้งแต่งานเริ่มไปได้แป๊บหนึ่งค่ะ ลิณณ์ไม่ไหวจริง ๆ ค่ะเวียนหัวมาก กลัวจะล้มจนทำงานแต่งเขาวุ่นวายเอา” เฌอลิณณ์โกหกให้เนียนเข้าไว้
“จริง ๆ เลยนะยัยลิณณ์ รู้ว่าคออ่อนกินเหล้าไม่ได้ก็ยังจะกินเข้าไปอีก เสียการเสียงานหมดเลยเห็นไหม น่าอายญาติ ๆ เขาจริง”
“แม่คะแค่ไวน์ค่ะ อีกอย่างลิณณ์ไม่ได้เสียการเสียงานนะ มอบซองให้เขาแล้ว เป็นตัวแทนพ่อกับแม่เสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ ก่อนที่จะเมาน่ะ” เฌอลิณณ์รีบแก้ต่างให้ตัวเอง พยายามไม่มองสบสายตากับพวกท่านมากนัก อารมณ์ตอนนี้ของเธอไม่คงที่เสียด้วย หากถูกเค้นหนักเข้าคงลำบากที่จะโกหกได้หมดทุกเรื่อง
“ตอนนี้คุณอาวรภายังหาตัวหนูดาวไม่เจอเลยนะลิณณ์ ไม่รู้พากันหนีหายไปที่ไหน น่าจะโทรมาบอกพ่อกับแม่สักหน่อย เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอยู่แบบนี้” นายสุเมธเอ่ยถึงเจ้าสาวที่หายไปจากงานแต่งเมื่อคืนนี้
“จะไปไหนได้ล่ะคุณสุเมธ คงไปกับแม่สาวชุดดำนั่นแหละ ดีไม่ดีหนีออกนอกประเทศไปแล้วมั้ง ไม่แน่อาจจะไปประเทศที่เขามีกฎหมายรองรับเรื่องนี้” คนเป็นภรรยาคาดเดาไปอย่างที่มันควรจะเป็น
“คุณก็พูดไปนั่น ผมว่ามันฉุกละหุกแบบนั้น คงไม่ได้เตรียมพาสปอร์ตหรือวีซ่าไว้รอหรอก”
“ก็จริงของคุณค่ะ” นางปานใจเริ่มเห็นด้วยกับสามี
“บ้านนั้นเขาคงจัดการกันได้แหละค่ะ ลิณณ์ว่าพ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเขามากนักหรอก อะไรมันเกิดไปแล้วก็ต้องปล่อยมันไป ทำได้แค่ทำใจค่ะ” อันนี้เหมือนปลอบตัวเองอยู่ชอบกล
“ฮ้าว ลิณณ์ง่วงแล้ว วันนี้ขอตัวขึ้นนอนก่อนนะคะ” เฌอลิณณ์แสร้งยกมือปิดปากหาวดัง ๆ
“ลิณณ์ไม่กินข้าวเย็นก่อนเหรอลูก วันนี้แม่ทำของอร่อย ๆ ไว้เยอะเลยนะ”
“ลิณณ์กินมาแล้วค่ะแม่ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยอิ่ม ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าอีกเลยเพลียมาก ขอตัวก่อนนะคะ ”
“งั้นเหรอลูก ไปอาบน้ำนอนเถอะถ้างั้น” หลังเห็นลูกสาวเหนื่อยคนเป็นแม่ก็ไม่รั้งเอาไว้อีก
ครั้นลับหลังลูกสาวแล้วผู้เป็นสามีก็หันไปทางภรรยา มองหน้าแบบมีเรื่องอัดอั้นในใจอยากพูด
“มีอะไรคะคุณ จ้องหน้าฉันทำไม”
“คุณว่าลูกเราแปลกไปไหม ดูเหนื่อย ๆ เพลีย ๆ ชอบกล ไม่สดชื่นเลย เจอเรื่องแบบนี้ปกติต้องมาจ้อให้เราสองคนฟังแล้วไม่ใช่เหรอ นี่ทำไมเหมือนไม่อยากพูดถึงเลยล่ะ” ผ่านเหตุการณ์ระทึกใจมาอย่างนี้ คนช่างพูดช่างเจรจาแบบเฌอลิณณ์ ไม่น่าทำตัวเงียบได้ขนาดนี้
“คุณสุเมธยัยลิณณ์ก็บอกอยู่ ว่าเมาหนีขึ้นไปนอนก่อน ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ คงไม่อินเหมือนคนอื่นเขาหรอกค่ะ”
“งั้นเหรอ” สายตาของคนเป็นพ่อยังคลางแคลงใจอยู่ แต่เหตุผลของภรรยาก็ฟังขึ้นอยู่ไม่น้อย
“งั้นสิคะ อย่าคิดมากเลย เราไปกินข้าวกันดีกว่าค่ะ ทำเยอะขนาดนั้น ยัยลิณณ์ไม่น่าไปกินข้าวนอกบ้านมาก่อนเลย รู้งี้ฉันน่าจะโทรไปถามลูกก่อนนะคะ” นางปานใจบ่นระหว่างลุกเดินเข้าห้องอาหารไป คนเป็นสามีส่ายหน้าไปมา ก่อนเดินตามหลังไปติด ๆ
ส่วนลูกสาวคนสวยที่กำลังทิ้งตัวลงบนเตียงนอนนั้น รู้สึกเจ็บยอกไปหมดทั้งตัว ยิ่งตรงช่วงล่างเหมือนระบมไปหมด อะไรจะรุนแรงกันปานนั้น เธอจำได้ว่าเสียงหนึ่งที่ติดหูในความทรงจำ คือคำว่า คร้าบ ๆ หรือจะเมาแล้วพูดเพราะ อยากหัวเราะทั้งน้ำตาจริง ๆ จะไปเรียกร้องหาความรับผิดชอบจากใคร พูดไปคงมีแต่คนสมเพชเธอแน่นอน
หลังอาบน้ำเสร็จหญิงสาวก็ตรวจดูรอยช้ำบนต้นคออีกรอบ คงไม่จางหายไปในวันสองวันนี้แน่ ตรงเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้า หาเสื้อคอเต่าแบบบาง ๆ มาเตรียมไว้ หากมีใครถามก็บอกว่าไม่ค่อยสบาย เลยต้องปกป้องลำคอให้อบอุ่นเข้าไว้ก็แล้วกัน