“อาการโดยรวมก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ แค่ทายาตรงบริเวณที่เป็นผื่นและกินยาที่หมอจัดให้ หลีกเลี่ยงอาหารที่เราแพ้ พยายามอย่าเกานะครับ อีกไม่กี่วันก็หาย” เสียงคุณหมอวัยใกล้เลขหก บอกกับคนไข้และอลีเซอร์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” อลิตาขอบคุณเขาอย่างซึ้งใจ นอกจากจะได้ยาที่ใช้เป็นประจำแล้ว เธอยังได้ยาตัวอื่นมาช่วยให้อาการทุเลาเร็วขึ้นด้วย
“ยินดีครับคุณไอริน ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนที่ผมมาตรวจคุณอลีเซอร์ตอนท้องเสียเมื่อปีที่แล้ว สบายดีใช่ไหมครับ”
“สะ... สบายดีค่ะ คุณหมอก็สบายดีใช่ไหมคะ” อลิตาตอบไปตามน้ำ จะปฏิเสธว่าไม่ใช่ไอรินก็ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยาก และอลีเซอร์ก็ทำหน้านิ่ง ไม่ยอมแก้ต่างแทนเธอ
“สบายดีครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ แต่ขอเป็นเจอข้างนอกดีกว่า มาที่นี่ทีไร มีคนป่วยทุกที”
“ค่ะ”
“ขอบคุณมากนะครับหมอ เดี๋ยวผมให้คนไปส่ง”
“ครับ” นายแพทย์ตอบพร้อมกับเก็บอุปกรณ์การตรวจใส่กระเป๋า เขาส่งยิ้มบอกลาเจ้าของบ้านและแฟนเจ้าของบ้าน ก่อนจะออกจากห้องพักของอลิตาไป
“รอยแดงที่อยู่ข้างหลัง คุณน่าจะทาเองไม่ได้ ผมจะให้ป้าแม่บ้านมาช่วยทาให้” อลีเซอร์บอกเมื่ออยู่กับอลิตาเพียงลำพัง เมื่อครู่เขายืนดูการตรวจของหมออยู่ห่างๆ เธอมีผื่นแดงขึ้นแทบทุกส่วนของร่างกาย
“ขอบคุณค่ะ”
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ฉันไม่อยากให้บ้านฉันมีคนตาย”
“คุณจะพูดร้ายๆ ยังไง ฉันก็ขอบคุณคุณอยู่ดีนั่นแหละค่ะ ขอบคุณนะคะที่...”
“อย่าเกา!” เขาทำตาดุใส่เธอ เผลอเป็นไม่ได้
“ไม่เกาค่ะ ไม่เกา... ขอบคุณนะคะที่เป็นธุระพาหมอมาตรวจ”
“แล้วคุณบอกป้าคุณหรือยัง ว่าคุณจะอยู่ที่นี่ต่อ”
“บอกแล้วค่ะ บอกว่ามีงานด่วนต้องทำ” อลิตาตอบด้วยเสียงเบาๆ เธอไม่ชอบทำตัวเป็นคนโกหกเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อมันจำเป็น เธอก็ต้องทำ
“เธอก็ทำงานให้ฉันจริงๆ ไม่ต้องคิดมากหรอก ไปอาบน้ำซะ จะได้ทายา ดีขึ้นแล้วค่อยทำงานออกแบบให้ฉัน”
“คุณก็ออกไปก่อนสิคะ” เธอเห็นเขาออกคำสั่ง แต่ยังยืนอยู่ไม่ลุกไปไหน แล้วแบบนี้จะให้เธออาบน้ำได้ยังไงกันล่ะ
“ที่ฉันยังไม่ออกไป เพราะฉันยังพูดไม่จบ กระเป๋าเธอที่อยู่สนามบิน ฉันให้คนไปเอามาให้แล้ว”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“อือ”
“ขอบคุณค่ะ”
“จะขอบคุณอะไรนักหนา เธอพูดเป็นอยู่คำเดียวหรือไง” อลีเซอร์ทำท่าเบื่อหน่ายและเดินออกจากห้อง ทิ้งให้อลิตายืนงง ว่าการพูดขอบคุณนี่มันไม่ใช่เรื่องถูกต้องเหรอ แล้วตกลงว่าเขาจะแทนตัวเองตอนคุยกับเธอว่ายังไงกันแน่ เดี๋ยวก็ผมกับคุณ เดี๋ยวก็เธอกับฉัน เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา จนเธอสับสนว่าควรจะพูดกับเขายังไงดี แต่ก็เอาเถอะ เขาไม่พูดกับเธอด้วยคำว่ากูมึง ก็ถือว่าโชคดีแล้วให้เขาให้เกียรติ
“คุณป้า เข้ามาเลยค่ะ” อลิตาตอบกลับเมื่อเสียงประตูห้องดังขึ้น เธออาบน้ำเสร็จแล้ว และกำลังพยายามทายาที่ผื่น จะติดก็แต่ตรงที่แผ่นหลังนี่แหละ ที่เธอทาได้ลำบากเหลือเกิน
“คุณ!” เธอตกใจที่คนเดินเข้ามาไม่ใช่ป้าแม่บ้าน หรือแม่ครัว หรือใครสักคนที่เป็นผู้หญิง แต่เป็นอลีเซอร์ ที่มาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่จากสนามบิน
“ฉันทาให้” เขาไม่มีท่าทีตกใจอะไร ท่าทางนิ่งเสียยิ่งกว่าก้อนหิน แม้ว่าอลิตาจะมีเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวคลุมกายก็ตาม
“มะ... ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรอคนอื่นมาทาให้ได้ค่ะ”
“ฉันจะทาให้!” เขาบอกพร้อมกับเดินไปแย่งตลับยากับก้านสำลีที่เธอถือไว้มาเป็นของตัวเอง
“หันหลัง”
“ไม่ค่ะ” อลิตาปฏิเสธยกใหญ่ ส่ายหัวไปมา ยังไงก็ไม่ยอมให้เขาได้เห็นเธอเปลือยเปล่าใกล้ๆ อีกครั้งแน่
“ฉันบอกให้หันหลัง สภาพแบบนี้ ฉันไม่มีอารมณ์อยากทำอะไรเธอหรอก”
“ฉันดูแย่มากเลยเหรอคะ” คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ จนเธอถึงกับเป็นกังวล จะว่าแย่มันก็แย่นั่นแหละ แต่มันน่าเข้าขั้นขยะแขยงเลยเหรอ
“หันหลัง” อลีเซอร์ไม่ตอบ เขาจับตัวเธอให้หันหน้าไปด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ ทายาที่ผื่นบริเวณไหล่ที่โผล่พ้นออกมาจากขอบผ้าเช็ดตัว
“ฉันไปแต่งตัวก่อนดีกว่าค่ะ” อลิตารีบจับผ้าเช็ดตัวไว้แน่น ขณะที่เขากำลังปลดผ้าเช็ดตัวด้านหลังให้ร่นต่ำลงเรื่อยๆ เพื่อทายา เพราะหากปล่อยให้เขาขยับมันลงไปมากกว่านี้ มีหวังผ้าได้หลุดไปกองที่พื้นพอดี เธอวิ่งเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว หยิบชุดนอนที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ ซึ่งมันมีแต่... ชุดนอนไม่ได้นอน
“คุณคะ”
“อะไร” อลีเซอร์ตอบกลับ
“เปล่าค่ะ” ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะให้เขาลากกระเป๋าเดินทางมาให้หน่อย แต่ก็เปลี่ยนไปใจออกมาหยิบด้วยตัวเอง เธอเดินเร็วๆ ก้าวเท้ายาวๆ มาเข็นมันเข้าไปในห้องแต่งตัว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ด้านหลังของเธอนั้นมีอลีเซอร์พยายามอย่างหนัก ที่จะไม่ชายตามองบั้นท้ายที่โผล่พ้นชายผ้าเช็ดตัวออกมาเล็กน้อย
“ชุดนอนอย่างกับเด็กประถม” เขาจิกกัดเมื่อเธอเดินออกมาพร้อมกับชุดนอนลายการ์ตูน
“ชุดแบบนี้แหละค่ะ ใส่สบาย ไม่หนาวด้วย”
“ใครถาม... เปิดเสื้อข้างหลัง รีบทา จะได้รีบเสร็จ”
“ค่ะ” อลิตาไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ให้เขาทาให้มันจบๆ ไป
“จะใส่เสื้อในทำไม ตรงสายเสื้อชั้นในก็มีผื่น แบบนี้ยาก็เลอะเสื้อหมด”
“ตรงนั้นไม่ต้องทาก็ได้ค่ะ”
“ไม่ทาแล้วมันจะหายได้ยังไง” เขาพูดจบก็ใช้วิชาการถอดเสื้อผู้หญิงที่ได้เกรดเอบวกมาตลอด ถอดเสื้อของอลิตาออกอย่างรวดเร็ว
“เอาเสื้อฉันคืนมา!” เธอใช้สองมือปิดหน้าอกเอาไว้
“ไม่คืน” อลีเซอร์ปฏิเสธ และโยนมันลงตะกร้าได้อย่างแม่นยำเหมือนเป็นนักบาสเกตบอล
“คุณ! มันไม่ต้องทาครบทุกผื่นก็ได้” เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อลิตาก็วิ่งไปเอาหมอนมาปิดบังร่างกายเอาไว้
“เลิกบ่น แล้วก็นอนคว่ำลงไปซะ นอนลงไป!”
"ไม่นอน คุณก็ทาแค่ตรงที่มันทาได้นั่นแหละ"
"จะนอนคว่ำลงไปดีๆ หรือจะต้องให้ฉันใช้กำลัง"
"ไม่นอนค่ะ คุณก็รีบๆ ทาสิ ตรงไหนทาไม่ได้ก็ช่างมัน โอ๊ย! ฉันเจ็บนะคุณ”
“ก็บอกดีๆ ไม่ฟัง ไม่ทำตาม มันก็ต้องออกแรงกันหน่อย นอนคว่ำลงไป!” เขากดตัวอลิตาให้นอนคว่ำลงไปกับเตียง และไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ปลดตะขอเสื้อในเธอออก
“อยู่นิ่งๆ! ถ้าอยู่ไม่นิ่งจะเอายาป้ายปาก” เขาเอาปลายสำลีไปจ่อที่ปากของคนที่พยายามดิ้น ดิ้นยิ่งกว่าปลาที่ถูกจบขึ้นมาบนบกซะอีก
“รีบๆ ทาสิคุณ จะทำอะไรก็ทำ ดุกว่าหมออีกนะคุณเนี่ย” หญิงสาวหมดทางต่อสู้ เพราะเขาไม่เพียงแค่จะเอายาป้ายปาก แต่กลับขึ้นมานั่งคร่อมตัวเธอเอาไว้ และถ้าเธอดิ้นแรงกว่านี้ หน้าอกหน้าใจที่ล้นออกมาด้านข้าง คงจะเผยให้เขาเห็นพอดี
“ไม่ดื้อแต่แรกก็ทาเสร็จไปตั้งนานแล้ว” อลีเซอร์พอใจที่ตัวเองปราบพยศเธอได้ เขาค่อยๆ ทายาที่หลังให้เธออย่างเบามือ ผื่นแดงๆ มันไม่ควรจะอยู่บนผิวเนียนๆ ของเธอเลย เขาอยากให้มันหายไปเร็วๆ หายไปตอนนี้ได้ยิ่งดี
“นอนอยู่เฉยๆ ให้ยาซึมเข้าไปก่อน เสร็จแล้วเธอจะใส่เสื้ออีกยี่สิบชั้นก็เรื่องของเธอ”
“เสร็จแล้วก็ออกไปสิคุณ”
“ไม่ต้องไล่ ฉันไปแน่ เชื้อโรคเยอะจะตาย ใครจะอยากอยู่นานๆ” เขาพูดจบก็โยนก้านสำลีลงถังขยะ เดินดุ่มๆ ไปที่ประตูพร้อมกับรอยยิ้ม ตลกที่เห็นเธอนอนคว่ำแทบไม่ขยับเขยื้อนตัวแม้แต่มิลลิเมตรเดียว
ก๊อก ก๊อก
“นายครับ”
“มีอะไร” เสียงประตูดังพอเหมาะพอเจาะกับที่อลีเซอร์กำลังจะเดินออกจากห้อง เขารีบยืนบังช่องว่างของประตูเอาไว้ เพื่อไม่ให้ราจีฟเห็นว่าอลิตากำลังนอนเปลือยหลังอยู่
“ได้ข่าวเรื่องคุณไอรินเพิ่มเติมแล้วครับ” ราจีฟแกล้งทำเป็นไม่เห็นว่าคนในห้องมีท่าทางอย่างไร และพยายามที่จะไม่ยิ้มออกมา เพราะตลกที่เจ้านายนั้นไม่ยอมให้ใครเข้าไปในห้องของอลิตา แม้กระทั่งกระเป๋าเดินทางของเธอ เขายังยืนยันที่จะเอาขึ้นมาให้เธอด้วยตัวเอง
“เล่ามา” อลีเซอร์ตอบอย่างให้ความสนใจพร้อมกับปิดประตูลง และคนที่สนใจไม่แพ้กันคืออลิตา เขาได้ยินสิ่งราจีฟพูด ความอยากรู้อยากเห็นในตัวพุ่งสูงกระฉูดจนต้องลุกขึ้นเดินไปเดินมา อยากรู้เรื่องของผู้หญิงที่ชื่อไอรินจัง อยากรู้ว่าเธอหายไปไหน เพราะถ้าไอรินไม่หายไป เธอก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่
“คุณไอรินกับคุณอลิตาเป็นฝาแฝดกันจริงๆ อย่างที่นักสืบคนแรกรายงานมาครับ ทั้งสองคนถูกจับแยกกันตั้งแต่อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ เพราะแม่ของเธอทั้งสองคน มีปัญหากับคนเป็นพ่อ จนถึงขั้นต้องเลิกรา”
“แย่งลูกกันเลี้ยงหรือว่ายังไง” อลีเซอร์ถามต่อ
“ก็ประมาณนั้นครับ ย่าอยากได้หลานไปเลี้ยงทั้งสองคน แต่คนเป็นแม่ไม่ยอม เลยหอบลูกหนี ฝากหนึ่งคนไว้กับพี่สาว ซึ่งก็คือคุณป้าที่เลี้ยงคุณอลิตามาจนถึงตอนนี้”
“แล้วทำไมไอรินถึงได้อยู่กับแม่”
“เท่าที่นักสืบหาข้อมูลมาได้ ตอนนั้นคุณไอรินเธอไม่ค่อยแข็งแรงน่ะครับ แม่เธอเลยต้องพาไปด้วย และสามีใหม่ก็ยินดีที่จะรับคุณไอรินเป็นลูก”
“แปลว่าไอรินก็ไม่ได้โกหกฉันมาตั้งแต่ต้น เธอเข้าใจว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียว ที่โตมากับพ่อเลี้ยง”
“ใช่ครับ แต่เหตุผลที่แม่ของคุณไอรินกับคุณป้าของคุณอลิตาไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับทั้งสองคน เราคงไม่สามารถหาคำตอบได้ครับ”
“โอเค... ขอบใจมากราจีฟ”
“ครับ แล้วนายจะให้คุณอลิตาทำอะไรต่อเหรอครับ”
“รอให้ยัยตัวแสบตัวหายแดง ฉันจะพาไปออกงานสักหน่อย”
“ออกงาน... งานอะไรเหรอครับ”
“งานอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน งานเปิดตัวล่ะมั้ง” อลีเซอร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้ลูกน้องคนสนิท ซึ่งราจีฟไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร
“นายดูสดใสขึ้นเยอะเลยนะครับ”
“ยังไงวะ” คนฟังถึงกับขมวดคิ้วเป็นเครื่องหมายคำถาม ก็ปกตินะ
“นายยิ้มเยอะขึ้นครับ”
“เหรอ...”
“ครับ ผมขอตัวนะครับ” ราจีฟพูดจบก็เดินออกจากไป วันนี้หมดหน้าที่การทำงานของเขาแล้วล่ะ
“ยิ้มเยอะ นี่มันยิ้มแบบไหนวะ” อลีเซอร์หันไปมองตัวเองในกระจก พยายามมองหน้าตัวเองเพื่อหาคำตอบว่าเขายิ้มตอนไหนบ้าง แต่ก็คิดว่าตัวเองก็ยิ้มเป็นปกติ ไม่ได้มีอะไรพิเศษขึ้นมาสักหน่อย