“มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นวัวในฟาร์มเพาะยังไงก็ไม่รู้” เจเรมีพูดตรงๆ เรียกเสียงหัวเราะจากแมทธิวได้อีกครั้ง
เจอโรมเหลือบมองลูกชายเล็กน้อย พอเห็นบางอย่างผิดปกติก็เอ่ยแทรก “แล้วเสื้อแกหายไปไหน”
เจเรมีเกือบลืมไปแล้วว่าตอนนี้ช่วงบนของตนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเท่านั้น หากแต่เขาไม่ตอบตามตรงว่ายกให้โอเมก้าในตลาดมืดไปแล้ว ทำเพียงยกยิ้ม เลิกคิ้วพลันลอยหน้าลอยตา
“ถูกอากาศแล้วหดมั้ง ใช้ผ้าคุณภาพต่ำตัดก็อย่างนี้”
อัลเบิร์ตแทบจะกระทืบเท้าใส่อีกฝ่ายที่เอาแต่เล่นอยู่ได้ ขนาดพ่อตัวเองแท้ๆ ความยียวนยังไม่ลดน้อยถอยลงเลย
เจอโรมมองลูกชายนิ่งๆ อีกเพียงครู่ ไม่อยากจะถือสาอะไรกับความกวนประสาทของคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายตัวเองตอนหนุ่มอย่างกับแกะนักก่อนออกปากไล่
“จะไปทำอะไรก็ไปซะ ฉันจะคุยธุระต่อ”
พูดมาอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องที่แมทธิวถูกเรียกมาคุยไม่ใช่เรื่องของพวกเขา เจเรมีพยักหน้ารับแล้วผละออกจากห้องรับแขกไป อัลเบิร์ตตามหลังไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงคุณนายเมอร์ซีร้องเรียกให้ทานมื้อเย็น
คล้อยหลังชายหนุ่มทั้งสองไปได้เล็กน้อย แมทธิวก็เปิดปาก
“ยังเฮ้วเหมือนเดิมเลยนะครับลูกชายคุณเนี่ย เห็นแล้วอย่างกับเห็นคุณตอนหนุ่มๆ”
“มันบ้ากว่าผมเยอะ เทียบกันไม่ติดหรอก” เจอโรมตอบอย่างขอไปที ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะร่วน
ความจริงตอนหนุ่มๆ เจอโรมก็ไม่ต่างอะไรจากเจเรมีนัก เพียงแต่รู้กาลเทศะมากกว่า ไม่หาเรื่องใครไม่เลือกหน้าอย่างนี้ ยังรู้ว่าคนไหนควรมีเรื่องด้วย คนไหนควรอยู่ให้ห่าง แต่สำหรับเจเรมีนั้นไม่ใช่ รายนั้นพร้อมจะประจันหน้ากับทุกคนที่ยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับเขาโดยไม่รีรอทันที
“อย่าไปคุยเรื่องความบ้าของมันเลย ผมไม่ได้เรียกคุณมาเพราะเรื่องนี้หรอกนะ” เจอโรมเข้าเรื่อง
แมทธิวพยักหน้ารับก่อนเริ่มบทสนทนาที่คุยค้างไว้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“แล้วคุณจะให้มันเป็นอย่างนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่ มีแผนว่าจะหยุดทำอย่างนี้เมื่อไหร่ครับ”
“จนกว่าคุณจะมีทางเลือกอื่นให้ผม” เจอโรมว่าเสียงเรียบ สายตาจับจ้องไปยังชายตรงหน้าที่อายุไล่เลี่ยกับตนเอง “จนกว่าจะมียาที่ระงับอาการนั้นได้อย่างถาวร”
คนฟังรู้คำตอบดี เขาก็กำลังพยายามหาทางอยู่ แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็นับว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ยาที่เขาลักลอบให้แพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลซึ่งเขาดูแลอยู่ผลิตออกมาเรียกได้ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงเลยทีเดียว ตั้งแต่เริ่มใช้กับเจเรมีและค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าชายหนุ่มคนนั้นจะออกอาการอย่างที่ควรจะเป็นใดๆ
ได้ผลชะงัด ไร้ซึ่งผลข้างเคียง เป็นยาคุณภาพดีที่สุดเท่าที่เขาเคยดำเนินการผลิตมาแล้ว
ทว่ากระนั้นเจอโรมก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ ผลของมันเป็นที่น่าพอใจก็จริง หากแต่มันยังไม่เคยได้รับการทดลองใช้กับกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นกรณีที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น และเป็นกรณีที่... ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ยังไม่เจอ ‘หนูทดลอง’ ที่เกิดมาเพื่อลูกชายเขาเลยสักครั้ง
เหตุผลนี้ทำให้เขาต้องเรียกแมทธิวมาปรึกษาเป็นการส่วนตัว อีกไม่นาน เจเรมีก็จะออกไปสู่สังคมอัลฟ่าเต็มตัวแล้ว มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่พวกเขารู้กันดี ในหมู่ของพวกผู้นำก็มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เขาจะไม่ยอมให้เจเรมีกลายเป็นเหยื่อเด็ดขาดแม้ว่าลูกของเขาจะได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมวายร้ายที่ใครๆ พากันขยาดก็ตาม
“ผมกำลังกังวลว่าถ้าสักวันเราเจอหนูทดลองตัวนั้น เราจะจับมันมาทำการทดลองได้ทันการณ์ก่อนที่เจเรมีจะกลายเป็นเหยื่อหรือเปล่า” เจอโรมว่าออกไปตามตรงว่าเขากลัดกลุ้มเรื่องอะไร
แมทธิวพยักหน้ารับ ไร้คำพูดออกจากปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย
“ผมเองก็กังวลเรื่องนั้น กับพวกทั่วๆ ไปก็มั่นใจได้อยู่หรอกว่าใช้ได้ผล แต่กับคนคนเดียวที่เราไม่เคยเจอเลยมันก็พูดยากอยู่นะ”
“ผมถึงอยากให้คุณเร่งมือหน่อย เรื่องงบประมาณไม่ต้องเป็นห่วง ผมพร้อมจะสนับสนุนด้านนี้ ขอแค่ให้คุณเอ่ยปากมา แล้วก็เหยียบให้สนิท ทุกอย่างต้องเป็นความลับเหมือนเดิม”
แมทธิวพยักหน้า เขารักษาความลับได้อยู่แล้ว กับคนที่เคยมีบุญคุณต่อกันมาอย่างเจอโรม เขาไม่มีวันทรยศหักหลังครอบครัวของผู้มีพระคุณเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเก็บความลับมาได้ถึงยี่สิบปี ซ้ำยังร่วมมือดำเนินงานโครงการลับกับอีกฝ่ายเพื่อเจเรมีถึงเจ็ดปีอย่างนี้เหรอ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมจัดการให้ได้”
การกระทำของพวกเขาดูเหมือนกับพวกนักการเมืองที่เจรจากระทำการทุจริตก็ไม่ปาน ทว่าไม่ใช่ งบประมาณที่แมทธิวได้จากทางเจอโรมไม่ได้มาจากการคอร์รัปชัน หากแต่เป็นรายได้ของตระกูลเมอร์ซีเอง แต่การกระทำนี้ก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ เมื่อมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเจเรมีโดยตรง มีเพียงแต่โครงการที่เขากำลังทำอยู่เท่านั้นที่ไม่ได้รับการเห็นชอบและอนุมัติจากอีกสามตระกูลอย่างเป็นทางการ ทว่ามันก็ไม่ได้สำคัญเมื่อมีเจอโรมอยู่เบื้องหลัง
สำหรับเจอโรมแล้ว เขาได้ยินสหายเก่าพูดอย่างนั้นก็สบายใจ เขาเชื่อใจแมทธิวและคาดหวังสูงอยู่เหมือนกัน แมทธิวเองก็เหมือนกับอัลเบิร์ต สนิทกับตระกูลเมอร์ซีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จากวัยเด็กสู่ตอนโตกระทั่งถึงตอนที่ต่างฝ่ายต่างมีหน้ามีตาทางสังคมอย่างนี้ แม้ว่าคำพูดคำจาจะเปลี่ยนไปตามการวางตัวในสังคมอยู่บ้าง แต่ความสนิทชิดเชื้อไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย
“ผมตั้งความหวังไว้สูงนะ” เจอโรมย้ำคำอีกครั้งให้แมทธิวได้หัวเราะน้อยๆ
เขาเองก็ตั้งความหวังไว้สูงเช่นเดียวกัน แต่ว่า...
“แต่การฝืนสัญชาตญาณมันไม่ง่ายเลยนะ คุณควรคิดหาทางอื่นไว้เผื่อเป็นแผนสำรองด้วย”
เจอโรมรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะให้แผนการนี้สำเร็จถึงขั้นสูงสุดเสียก่อน เพราะแผนสำรองของเขามันไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่นัก
“ถึงได้บอกว่าคาดหวังกับคุณไว้สูงไง” เจอโรมว่าอีกครั้ง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบบ้าง
แมทธิวไม่ว่าอะไรต่อ พอจะรู้มาอยู่หรอกว่าแผนสำรองของเจอโรมมันไม่เข้าท่าเพราะมันคือแผนการพาตัวเจเรมีหนีออกจากมหานครเพิร์ลในกรณีที่ทุกอย่างที่พวกเขาสร้างมาพังทลายลง ถ้าต้องทำตามแผนนั้นขึ้นมา เท่ากับว่าตระกูลเมอร์ซีต้องทิ้งทุกอย่างที่มีไปทันที
“หรือไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องหาหนูทดลองให้พบก่อนที่จะเจอกับเจเรมี แต่นานขนาดนี้แล้วยังไม่พบตัว กลุ่มอัลฟ่าในเพิร์ลก็มีแค่หยิบมือ ในเมื่อเจเรมีไม่แสดงอาการออกมาก็อาจจะวางใจได้”
“ยังไม่แสดงอาการแค่ระยะนี้ แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ ทำตามหน้าที่ให้ดีก็แล้วกัน ผมขอฝากชีวิตลูกชายเอาไว้ด้วย”
การสนทนาของทั้งสองเป็นไปอย่างยาวนานพอสมควร กว่าจะเสร็จสิ้น อัลเบิร์ตก็แทบจะหลับในห้องของเพื่อนสนิทแล้วถ้าหากว่าคุณนายเมอร์ซีไม่มาเคาะประตูเรียกพร้อมกับเอาชุดเข็มฉีดยามาให้ เจเรมีจัดการตัวเองอย่างคล่องแคล่ว ทำเอาเขาที่มองอยู่อดถามออกไปไม่ได้
“ต้องฉีดทุกวันเลยเหรอครับ” ไม่ได้ถามเจเรมี หากแต่ถาม มาเรีย เมอร์ซี ที่เก็บข้าวของหลังลูกชายฉีดยาให้ตัวเองเสร็จ
“ใช่แล้วจ้ะ”
“ทั้งเช้าและเย็นเลยเหรอ”
“ช่วงนี้ก็ต้องแบบนี้แหละนะ ป่วยนี่” ใบหน้าของคนตอบเปื้อนรอยยิ้มทำเอาอัลเบิร์ตไม่กล้าถามอะไรต่อ ถึงอยากถามก็ไม่มีโอกาสแล้วเมื่อมาเรียพูดขึ้นอีก “แล้วเธอจะกลับเลยไหมจ๊ะอัล เห็นว่าคุณวอล์กเกอร์คุยธุระเสร็จแล้ว หรือจะนอนค้างที่นี่กับเจมี”
คนถูกถามเหลือบไปมองเจเรมีที่โดดขึ้นเตียงเล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายกระดิกนิ้วเรียกยิกๆ ด้วยท่าทางกวนประสาท อัลเบิร์ตก็ส่ายหน้า
“ไม่ล่ะครับ ผมกลับพร้อมพ่อดีกว่า”
ใครมันจะไปอยากอยู่ให้ปวดหัวมากกว่าเดิม ถึงจะมั่นใจว่าเจเรมีคงไม่ก่อเรื่องแล้ว แต่ก็คงจะกวนเขาน่าดู กลับไปพักผ่อนที่บ้านให้เต็มที่เพื่อรอรับมือกับความแสบสันของคนตัวใหญ่ในวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า
“งั้นไปกันเถอะจ้ะ”
ได้ยินมาเรียพูดอย่างนั้น อัลเบิร์ตก็จัดการบอกลาเพื่อนแล้วออกจากห้องนอนไป มาเรียขอตัวไปเก็บข้าวของก่อน ปล่อยให้เพื่อนลูกชายเดินออกไปยังหน้าบ้าน หากแต่ยังไม่ทันจะถึงประตู แค่เข้ามาใกล้บริเวณหน้าห้องรับแขกเท่านั้น เขาก็ต้องหยุดกึกเมื่อหูได้ยินเสียงสนทนาลอยมา
“ขอบคุณที่มานะคุณวอล์กเกอร์”
“สำหรับคุณแล้ว ผมยินดีครับ แต่ผมก็คงต้องขอยืนยันคำเดิมว่าการต่อสู้กับสัญชาตญาณมันไม่ง่ายเลย คุณลองหาแผนการอื่นสำรองไว้เพิ่มเติมเผื่อเป็นทางเลือกด้วยก็แล้วกัน แผนสำรองแค่แผนเดียวมันไม่น่าจะพอ”
“ผมรู้ ไปเถอะ ผมจะไปส่ง”
ไม่ได้ตั้งใจจะฟังแต่ได้ยินไปเรียบร้อยแล้ว พลันก็สงสัยว่า ‘ต่อสู้กับสัญชาตญาณ’ ที่ว่าคืออะไร หากแต่ก็ต้องรีบทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทั้งสองโผล่หน้าออกมา ก่อนรีบบอกลาเจอโรมทันที