ธีโอถึงกับโก่งตัวงอด้วยความเจ็บปวด พอเจเรมีผละออกมา พวกเพื่อนของชายหนุ่มที่ยืนรอดูสถานการณ์อยู่ถึงได้รีบปรี่เข้าไปลากเขาออกห่างจากปีศาจตนนั้น
“พวกสวะ” เจเรมียิ้มเผล่ สะใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็ได้เล่นสนุกก่อนกลับ
รอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้าเจเรมีเป็นรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจ และธีโอก็ไม่ชอบมันทุกครั้งที่เห็นเสียด้วย ทว่าก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้วเมื่อเจเรมีเปล่งเสียง
“ไสหัวไปภายในสามวิ...”
“คอยดูเถอะแก ฉันเอาคืนแกแน่” ธีโอไม่วายขู่
เจเรมีกลอกตาแล้วออกปาก “สาม...”
ไร้ซึ่งการนับหนึ่งและสองพลันทำท่าจะถลาเข้าไปอีก คราวนี้ไม่ได้ไปมือเปล่า หันไปคว้าท่อนเหล็กที่วางพิงกำแพงอยู่ใกล้ๆ มากระชับในมือมั่น แค่นั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้ธีโอและผองเพื่อนอยู่อีกต่อไป ทั้งหมดรีบพากันออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ไม่ใช่ว่ากลัวเจเรมีหรอกนะ แต่คำนวณดูแล้ว ทะเลาะกับคนบ้าไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
เห็นพวกนั้นไปหมดแล้ว เจเรมีก็โยนท่อนเหล็กทิ้ง ปัดมือที่เปื้อนฝุ่นออกสองสามครั้ง สะบัดคอแล้วว่าด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
“ไร้น้ำยากันซะจริง เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอหน้าจะเล่นสนุกกับพวกมันอีก นายอยากให้ฉันจัดอะไรพิเศษให้มันไหม”
“พอเถอะน่าเจมี แค่นี้ก็หนักพอที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้แล้วนะ” ได้ยินเพื่อนคาดโทษ อัลเบิร์ตก็รีบแทรก
จริงอย่างที่อัลเบิร์ตว่า กระทืบลูกชายสมาชิกสภาระดับสูงที่เจอหน้ากันโดยบังเอิญเสียอ่วมเพราะโอเมก้าคนเดียวขนาดนั้น มันชวนให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเมอร์ซีกับตระกูลแฮร์ริสันสั่นคลอนได้เลยทีเดียว
ไม่รู้ว่าเจเรมีตระหนักถึงผลเสียข้อนี้หรือไม่ รู้แต่ว่าเขาไม่สนใจ นอกจากเดินไปใกล้โอเมก้าคนนั้น ปรายตามองยังต้นแขนผ่ายผอมข้างขวาที่มีรอยสักเป็นสัญลักษณ์โอเมก้าขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยตรงหัวไหล่และมีรอยสักเป็นจุดๆ อยู่ด้านล่างซึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเขาเคยถูกขายทอดตลาดมาแล้วกี่ครั้ง
เท่าที่เห็นเหมือนจะมีสี่จุด...
ส่วนเครื่องหมายโอเมก้านั้นเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเพศที่ทุกคนจำเป็นต้องสักเอาไว้เมื่ออายุครบยี่สิบปีไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นอื่นๆ สำหรับโอเมก้าอาจจะพิเศษหน่อยตรงที่ไม่จำเป็นต้องอายุครบกำหนดก็สามารถสักได้ แค่รู้ว่าเป็นโอเมก้าก็ถูกตีตราแล้ว เพราะอย่างไรเสียพวกโอเมก้าก็ต้องไปขึ้นทะเบียนตั้งแต่แรกเกิดเพื่อให้อยู่ภายใต้นโยบายการควบคุมประชากรของรัฐ
เจเรมีมองคนตรงหน้านิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่ให้คนถูกมองเสียวสันหลังวาบ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“นายชื่ออะไร”
“ละ...ลูก้า” อีกฝ่ายตอบรับเสียงสั่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนถามเลยแม้แต่น้อย
เจเรมีก็ไม่สน ถามต่ออีก “ตอนนี้นายเป็นของใคร”
เดาว่าน่าจะเพิ่งถูกขายทอดตลาดมาถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคิดเมื่อลูก้าตอบ
“ตอนนี้...มะ...ไม่มีครับ”
พวกอัลฟ่าก็เป็นอย่างนี้ เบื่อแล้วก็ทิ้งขว้าง อยากได้ก็มาซื้อใหม่ หนักหน่อยก็ถึงขั้นฆ่าทิ้ง ดีที่ลูก้ายังรอดมาได้เพราะถูกขายต่อมาเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะยังเด็กอยู่ก็เป็นได้
ได้คำตอบเสร็จสิ้น เจเรมีก็ยืนมองอยู่นาน ลูก้าชักตัวสั่นมากกว่าเดิม อยากหนีไปให้พ้นจากตรงนี้จะแย่ อัลเบิร์ตเองยังอดอึดอัดกับการจ้องมองของเจเรมีไม่ได้เลย อันที่จริงเขาอึดอัดเพราะต้องมาอยู่ใกล้ๆ กับโอเมก้าในตลาดมืดอย่างนี้มากกว่า ก่อนจะตัดสินใจโพล่งขึ้นเพื่อเตือนให้เพื่อนรู้ว่าควรไปจากที่นี่ได้แล้ว
“เจมี เสร็จเรื่องแล้วพวกเราก็...”
จู่ๆ ก็หยุดพูดไปเพราะเจเรมีเหลือบมามอง ก่อนที่เขาจะแกะกระดุมเสื้อเครื่องแบบของตัวเองออก ถอดมันออกมา เหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวใน จากนั้นก็เอาเสื้อตัวนั้นไปคลุมให้ลูก้า
“นายคงไม่อยากให้ใครเห็นว่าถูกขายมากี่ครั้งหรอกมั้ง”
ลูก้าชะงัก เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ เจเรมีวางท่าทีเฉยชาก่อนพยักปลายคางไปยังอีกทิศ
“เอ้า ไสหัวไปได้แล้ว จะอยู่อย่างนี้อีกนานไหม”
ไม่เข้าใจว่าอัลฟ่าอย่างผู้ชายคนนี้จะมาช่วยเขาไว้ทำไม ไม่ถามด้วยซ้ำว่าเขาไปทำอะไรไว้ถึงได้ถูกผู้ชายสามคนนั้นไล่ตามมา แต่ก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรให้เสียเวลาอยู่แล้ว เมื่อถูกไล่ก็รีบลุกขึ้นพรวด ริมฝีปากแห้งผากเอ่ยขึ้นหลายๆ ครั้ง
“ขะ...ขอบคุณครับ ขอบคุณ...”
แล้วก็ชำเลืองมองใบหน้าของคนที่ช่วยเขาเล็กน้อย พอเห็นได้ชัดเจนก็รีบหันหนีแล้วออกวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งให้เจเรมีกับอัลเบิร์ตมองตามหลังอยู่อย่างนั้น
พอลูก้าจากไปแล้ว อัลเบิร์ตก็ยกมือขึ้นลูบใบหน้า
“ให้ตายเถอะเจมี วันนี้นายก่อเรื่องเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ครั้งนี้บานปลายใหญ่หลวงเลยเนี่ย”
“นายว่าหมอนั่นอายุเท่าไหร่” ไม่ได้ฟังที่อัลเบิร์ตพูดสักนิด ถามเรื่องอื่นแทรกเสียอย่างนั้น
อัลเบิร์ตอ้าปากอย่างไม่เชื่อว่าเขาจะทำแบบนี้ พลันรีบพูดโพล่ง
“นี่เจมี นายเลิกสนใจ...”
“ฉันว่าน่าจะสักสิบเจ็ดสิบแปด แต่ตัวเล็กขนาดนั้น อาจจะสิบหกก็ได้ ยังเด็กอยู่เลยนายว่าไหม”
ยังคงไม่สนใจสิ่งที่อัลเบิร์ตจะพูดอยู่ดี สุดท้ายเพื่อนสนิทก็ถอดใจแล้วกลอกตาพลางโบกมือไหวๆ ในอากาศเป็นเชิงว่าอย่ามาพูดกับเขา
“นึกภาพไอ้พวกคนแก่ตัณหากลับนอนกับเด็กนั่นไม่ออกเลยแฮะ คงทุเรศน่าดู”
แต่พอเจมียังพึมพำคนเดียวไม่หยุด ก็อดไม่ได้ที่จะยุติการกระทำบ้าๆ นี้
“พอเถอะ กลับกันได้แล้ว ฉันปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”
“นายนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”
ถ้าสิ่งที่เจเรมีพูดเป็นเรื่องตลกก็คงจะเป็นตลกร้ายหรือไม่ก็มีแค่เจเรมีเท่านั้นที่หัวเราะร่วนอยู่คนเดียว
อัลเบิร์ตไม่มีอารมณ์จะมาเล่นด้วยแล้ว สีซีดขาวไม่ต่างอะไรจากกระดาษ สงสัยวันนี้จะเกินรับกับวีรกรรมเขาได้ไหวแล้วล่ะ
“ไปๆ กลับก็กลับ แล้วก็เลิกทำหน้าอย่างนั้นสักที เห็นแล้วปวดหัว”
ถึงจะยอมกลับแต่โดยง่าย ทว่าก็ไม่วายยอกย้อน
อัลเบิร์ตไม่รู้จะแสดงอาการเหนื่อยหน่ายออกมามากกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว ยังดีที่เจเรมียอมทำตามคำขอของเขา ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายกอดคอแล้วลากออกไปจากตลาดมืดอย่างสบายอารมณ์ จะมีก็แต่เขานั่นแหละที่เป็นกังวล
เครื่องแบบของเจมี... ให้โอเมก้าคนนั้นไปมันจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ
เหลือบมองคนข้างกายที่ทำท่าทางสบายใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไล่ความกังวลนั้นทิ้ง
คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง... หวังว่านะ ก็เจมีเป็นจอมวายร้ายนี่ ใครจะทำอะไรได้
ตอนแรกตั้งใจว่าจะแยกย้ายกลับบ้านทันทีด้วยรู้สึกเหนื่อยล้ากับสิ่งที่พบเจอมาวันนี้เต็มทน ทว่าเอาเข้าจริงก็ไม่ได้กลับเพราะถูกเจเรมีลากมาที่บ้านแทน อัลเบิร์ตนึกอยากจะปฏิเสธอยู่หรอก แต่ก็ทำได้เพียงเก็บปากเงียบเมื่ออีกฝ่ายอ้างว่าบิดาของตนอยากพบด้วยไม่ได้เจอหน้าเขามาระยะหนึ่งแล้ว
ถูกเอาผู้ใหญ่มาอ้าง อัลเบิร์ตก็จนปัญญา ยอมตามมาแต่โดยดี หากแต่พอเข้าบ้านของเพื่อนสนิทไป ทักทายกับคุณนายเมอร์ซีที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเรียบร้อยก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าบิดาของเขาเองก็อยู่ในบ้านหลังนี้แล้วเช่นกัน
“พ่อ” สีหน้าตกใจพร่างพรายขึ้นบนใบหน้าของอัลเบิร์ต “มาทำอะไรที่นี่น่ะครับ” เอ่ยปากถามออกไปด้วยใจสั่นระรัว เกรงว่าที่บิดามาโผล่ในบ้านเพื่อนสนิทอย่างนี้เป็นเพราะรู้เรื่องวีรกรรมที่เจเรมีก่อในวันนี้แล้วเรียบร้อย
แมทธิว วอล์กเกอร์ ซึ่งกำลังยกถ้วยชาคาโมมายล์ขึ้นดื่มเหลียวมองหน้าลูกชายก่อนตอบเนือยๆ
“คุณเมอร์ซีมีเรื่องจะคุยกับพ่อนิดหน่อยก็เลยตามให้มา”
คนถูกเอ่ยถึงเป็นฝ่ายยิ้มทักชายหนุ่มบ้าง อัลเบิร์ตไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร บิดาถูกเรียกตัวมาอย่างนี้แสดงว่ารู้เรื่องวันนี้ทั้งหมดแล้ว แน่นอนว่าหมายถึงเรื่องที่เจเรมีลากเขาไปยังตลาดค้าโอเมก้าด้วย
ย้ำให้ชัดเจนว่า...เจเรมีลากเขาไป!
“คือ...ผมอธิบายได้นะครับ พวกเรา...” ออกปากแก้ตัวไปโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังไม่มีใครถามด้วยซ้ำ
แมทธิวยกมือขึ้นปรามลูกชายทันควัน “ไม่ต้องเล่า พ่อรู้หมดแล้ว มีคนมาบอกเรียบร้อย และก็ไม่ต้องห่วง คุณเมอร์ซีไม่ได้เรียกมาเพราะเรื่องนี้”
ไม่รู้อัลเบิร์ตจะโล่งใจดีหรือไม่ แต่เจเรมีไม่สะทกสะท้านอะไรสักนิด หัวเราะพลางเอ่ย
“ข่าวไวจริงๆ มีสายอยู่ทุกที่เลยนะพวกคนระดับสูงเนี่ย” หมายถึงชนชั้นสูงที่อยู่ในระดับสูงซึ่งเหนือกว่าชนชั้นสูงทั่วไป
แมทธิวหัวเราะให้กับความคึกคะนองของชายหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่เล็กยันโต ก่อนเจอโรมจะเป็นฝ่ายตัดบท
“ถ้าแกจะเพลาๆ ความบ้าลงบ้างมันก็ดี ฉันขี้เกียจฟังเรื่องร้องเรียนว่าแกไปก่อปัญหาอะไรมาบ้าง”
“พวกหนุ่มๆ ก็แบบนี้แหละครับ กำลังคึกคะนอง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆ จะโตขึ้นถึงขนาดนี้แล้ว อีกไม่นานก็จะได้ประทับรอยสักแล้วสินะ” แมทธิวเสริม สายตามองไปยังหัวไหล่ข้างขวาของเจเรมีที่ปราศจากรอยสักอันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเพศ
ไม่ใช่เจเรมีคนเดียวที่ยังไม่มี ลูกชายเขาเองก็ยังไม่ได้รับการสักเหมือนกัน แต่คงอีกไม่นานแล้ว ก็ทั้งคู่อายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วนี่
“ผมว่ามันไร้สาระ” เจเรมีอดสวนไม่ได้
“ถึงจะไม่ชอบ แต่ก็อดทนหน่อยนะ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมานาน ใครๆ ก็ทำกัน” แมทธิวหัวเราะเมื่อเห็นว่าคำพูดของเขาทำคู่สนทนายู่หน้าด้วยเข้าใจดีเลยว่าเจเรมีเบื่อหน่ายกับจารีตประเพณีทางสังคมเพียงใด เขาเองก็เบื่อ ตอนที่อายุเต็มยี่สิบและต้องเข้าพิธีประทับรอยสัก เขาเองก็แอบต่อต้านในใจเล็กๆ เหมือนกัน