กรุงปักกิ่ง
หอพักมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
“ข้าจะตามหาเจ้าลี่เซียน!!!” เสียงแผ่วเบาล่องลอยมาตามสายลม
แต่เหตุใดเล่าราวกับว่าเสียงนั้นกระซิบอยู่ชิดริมหูของหญิงสาวนางหนึ่งที่กำลังนิทราอย่างสนิทด้วยเพราะเธอเดินทางมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศจีน หญิงสาวเชื้อสายจีนเดิมมีถิ่นพำนักที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นามว่าหวังฟางเซียน เดินทางมาศึกษาต่อในสำนักวิชาโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์วิทยาในระดับชั้นปริญญาตรี
เธอเดินทางเข้าแผ่นดินจีนเป็นครั้งแรกในชีวิต หญิงสาวเกิดที่ประเทศจีนแต่ไปเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาโดยตลอดตามพ่อและแม่ของเธอ ซึ่งมีอาชีพเป็นแพทย์ด้วยกันทั้งคู่ พ่อและแม่ของเธอพบรักกันในขณะที่เดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก จนตัดสินใจแต่งงานและให้กำเนิดบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านั้นในสายตระกูลหวัง ก่อนจะโยกย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งบุตรสาวเพียงคนเดียวสามารถสอบชิงทุนเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของรัฐในดินแดนมังกรแห่งนี้ได้ แทนที่จะเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา
แม้ทั้งสองจะไม่เห็นด้วยเท่าใดนักแต่ก็มิอาจขัดใจบุตรสาวเพียงคนเดียวของทั้งสองได้ ด้วยฟางเซียนคอยพูดอยู่เสมอว่าเธอจะกลับมาอยู่ที่ประเทศจีนให้ได้ด้วยตัวของเธอเอง เพราะบ้านที่แท้จริงของหญิงสาวคือแผ่นดินจีนหาใช่ประเทศสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด ด้วยวัยเพียงสิบเก้าปี ซึ่งหญิงสาวก็สามารถสอบชิงทุนเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทของมหาวิทยาลัยปักกิ่งรวดเดียวเป็นผลสำเร็จโดยไม่ต้องง้อพ่อและแม่ของเธอแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำยังสามารถพูดภาษาจีนกลางซึ่งเป็นภาษาราชการของจีนแผ่นดินใหญ่ได้อย่างคล่องแคล่ว รวมไปถึงจีนกวางตุ้ง จีนแต้จิ๋วหรือแม้กระทั่งจีนไหหลำ เธอก็สามารถเรียนรู้และใช้ภาษเหล่านั้นได้อย่างคล่องแคล่วจนคนเป็นพ่อและแม่ยังอดแปลกใจไม่ได้ เพราะทั้งสองสามารถพูดภาษาจีนกลางได้เท่านั้นไม่นับรวมภาษาอังกฤษที่ทั้งคู่ต้องใช้ชีวิตประจำวันในสหรัฐอเมริกา
และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเดินทางไกลจากบ้านที่สหรัฐ อเมริกาเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิตในฐานะประชาชนจีน ซึ่งเธอก็มีบัตรประชาชนเช่นเดียวกับชาวจีนทั่วไปเช่นกัน และกิจกรรมมากมายสำหรับนักศึกษาใหม่ในระดับปริญญาตรีทำให้เธอเหนื่อยล้าอย่างยิ่งยวดทำให้เธอเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล เสียงเพรียกหาดังเช่นเสียงกระซิบแผ่วล่องลอยกระทบเข้ากับโสตประสาทของเธอ และเจ้าหล่อนกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาแห่งความฝัน
ใบหน้าสวยดั่งพระจันทร์เริ่มส่ายไปมาราวกับว่ากำลังฝันร้ายก็ว่าได้ เหงื่อมากมายเริ่มผุดพรายอยู่เต็มใบหน้าพร้อมเสียงร้องตะโกนก้องออกมาจนสุดเสียง
“เทียนอี้!!!” ร่างระหงลุกพรวดพราดจากเตียงนอนอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่งามสอดส่ายสายตาไปมาอย่างตื่นตระหนกราวกับว่าสิ่งที่เธอฝันนั้นคือความจริง
“โอ๊ย! คนจะหลับจะนอนตะโกนอะไรกลางดึกฟางเซียน!” รูมเมตของหญิงสาวบ่นพึมพำด้วยความรำคาญ
“ขะ… ขอโทษ... ฉันขอโทษนะ พอดีฝันร้ายไปหน่อย” หญิงสาวตอบกลับแม่เพื่อนร่วมห้องเสียงอ่อยๆ
“นี่แม่คุณ แทนที่จะฝันดีดันฝันร้ายทำไมยะ พรุ่งนี้เราจะได้พบอาจารย์ที่เป็นขวัญใจของบรรดานักศึกษาหญิงในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ควรจะฝันหวานถึงอาจารย์ผู้หล่อเหลาประดุจองค์เง็กเซียนฮ่องเต้จึงจะถูก
ฟางเซียนได้แต่ส่ายหน้าไปมาติดๆ กันเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมห้องละเมอใฝ่ฝันอาจารย์หนุ่มหล่อที่ต่างพากันกล่าวถึงไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอก้าวเข้ามาในเขตแดนมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“อาจารย์ก็คน พวกเราก็คนหน้าตาก็เหมือนกัน แตกต่างกันตรงไหน ผู้ชายที่หล่อกว่าอาจารย์มีเยอะแยะถมเทไป อะไรจะพากันละเมอเพ้อพกถึงขนาดนี้” หญิงสาวมีความเห็นแย้งแตกต่างกับเพื่อนร่วมห้อง ทำให้แม่เพื่อนสาวที่กำลังนอนหันหลังให้บนเตียงตรงกันข้ามเด้งกายขึ้นจากที่นอนทันที
“มีแต่เธอนี่แหละมั้งที่มีความเห็นต่างกว่าคนอื่น แสดงเธอยังไม่เคยเห็นคณบดีของพวกเราใช่ไหมล่ะ”
แทนการตอบนับหญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน
“ฉันจะเคยเห็นได้ยังไงก็ในเมื่อเพิ่งจะเข้าแผ่นดินจีนเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะเลือกที่จะเรียนสาขาวิชาประวัติศาสตร์ถึงได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ยังไงเล่า”
แม่เพื่อนสาวตัวดีพยักหน้าขึ้นลงเมื่ออีกฝ่ายบอกออกมาเช่นนั้น
“อันที่จริงก็ไม่มีใครเคยเห็นคณบดีของพวกเราหรอกนะ ฉันก็ได้ยินเขาพูดต่อๆ กันมาอีกทีเหมือนกัน... แหะๆ” แม่เพื่อนสาวเอ่ยสารภาพเสียงอ่อยๆ
“โธ่เอ๊ย ไอ้เราก็นึกว่าเคยเห็นแล้วเสียอีก” ฟางเซียนพูดพลางหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น
“แต่จะว่าไปอาจารย์ก็ทำตัวลึกลับชอบกล เห็นใครๆ เขาพูดกันว่าอาจารย์จะไปจะมารวดเร็วมากเหมือนล่องหนได้เลย และไม่ใช่ว่าสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งนะ เขาว่ากันว่าอาจารย์มาจากฉางอาน มีผลงานการขุดค้นมากมายเกี่ยวกับเมืองฉานอานและเมืองลั่วหยาง จึงถูกเชิญให้มาเป็นคณบดีสาขาประวัติศาสตร์จีนที่ปักกิ่งนี่ไง และอาจารย์ยังสามารถอ่าน เขียน ภาษาโบราณตั้งแต่ยุคสร้างแผ่นดินจีนที่จารึกบนกระดองเต่ามากมาย จนถึงยุคที่สามารถผลิตกระดาษขึ้นมาใช้ อาจารย์อ่านได้หมดเลยนะเธอ”
“อือหือ... จริงเหรอนั่น... ใช่คนแน่นะจื่อเหยา” จู่ๆ ฟางเซียนก็พูดโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ราวกับว่าอาจารย์หนุ่มที่กำลังกล่าวขานอยู่นั้นไม่ใช่คน
“เฮ้ย! ยายบ้า! ก็คนน่ะสิ หรือเธอว่าอาจารย์ไม่ใช่คนหรือยังไง” จื่อเหยาต่อว่าเพื่อนร่วมห้องเป็นการใหญ่เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เอ้า... ก็เล่นบอกว่าอ่านภาษาโบราณได้ตั้งแต่ยุคสร้างแผ่นดินจีน ฉันก็คิดว่าคงเป็นเหล่าเซียนองค์ใดองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ก็เท่านั้นเอง ถ้าอาจารย์ไม่ใช่คนก็คงเป็นบุ้นเชียงตี่กุน [1]เทพแห่งปัญญา ฉันก็เลยคิดแบบนั้น” หญิงสาวพูดพลางยักไหล่ขึ้นลงทั้งสองข้างพร้อมๆ กันก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“แต่จะว่าไปฉันก็ว่าแปลกอาจารย์มีผลงานการขุดค้นทางด้านประวัติ-ศาสตร์ แต่มาเป็นคณบดีสาขาประวัติศาสตร์ได้ตั้งแต่ยังหนุ่มเลยเหรอ ปกติระดับคณบดีน่าจะอายุห้าสิบปีขึ้นไปแล้วกระมัง หรือเธอว่ายังไงจื่อเหยา” ประโยคสุดท้ายหญิงสาวเอ่ยถามเพื่อนร่วมห้องด้วยความสงสัยกับสิ่งที่เธอผิดสังเกต
“ไอ้เรื่องอายุฉันก็ไม่รู้ ได้ยินเขาพูดกันต่อๆ มาว่าอาจารย์คงจะราวสามสิบหรือสามสิบต้นๆ เท่านั้นเองนะ สูงใหญ่ บึกบึนโคตรแมนเป็นบ้าเลย บางทีอาจารย์คงจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีใบหน้าก็เลยอ่อนเยาว์กระมัง แบบนี้สิน่ากินเป็นบ้าเลย แก่แล้วก็ยังเซ็กซี่คริคริคริ” เจ้าหล่อนพูดพลางหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่ก่อนจะล้มตัวลงนอน พร้อมเอ่ยสำทับขึ้น
“รีบนอนเถอะฟางเซียน พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปฟังคณบดีรูปหล่อกล่าวต้อนรับพวกเราดีกว่าเธอ” จื่อเหยากล่าวพร้อมกระพือผ้าห่อของเจ้าหล่อนพร้อมคลุมกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างมิดชิด
“ตามสบายเถอะ... เสียเวลาอ่านหนังสือเปล่าๆ ไปฟังก็แค่นั้น สู้ไปหาอะไรอ่านในห้องสมุดดีกว่า ในนั้นมีตำราประวัติศาสตร์และหนังสือหายากเก็บรักษาไว้เหมือนในพิพิธภัณฑ์ไม่มีผิดเพี้ยน เอาเวลาที่มีค่าทำประโยชน์โดยการอ่านหนังสือดีที่สุด” หญิงสาวรำพึงเบาๆ กับตัวเอง พร้อมเอนกายลงบนที่นอนหนานุ่มตามเดิม พลางปิดสวิตช์ไฟหัวเตียงจนภายในห้องมืดสนิท ท่าม กลางดวงตาหวานคู่สวยยังคงมองเพดานห้องท่ามกลางความมืดนั้น
“ใครกันนะจ้าวเทียนอี้ แล้วลี่เซียนล่ะเป็นใคร ทำไมฉันถึงได้ฝันเห็นอะไรแปลกๆ แบบนี้นับตั้งแต่วันแรกที่มาถึงด้วยนะ ฝันเหมือนกันทุกวันเลยสินะ ราวกับว่าตัวเราเหมือนหลุดไปดูหนังจีนสมัยโบราณอย่างไรอย่างนั้นเลย แล้วมันเกี่ยวกับฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ถังอีกด้วย... ถังเสวียนจง... จ้าวเทียนอี้...ลี่เซียน” หญิงสาวรำพึงชื่อของบุคคลที่เธอฝันเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา ก่อนจะผล็อยหลับไปโดยมิรู้ตัว
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งรัตติกาล ความเงียบงันแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ กลุ่มควันขาวค่อยๆ ล่องลอยเข้ามาทางหน้าต่างที่ปิดสนิทอย่างช้าๆ ก่อนจะรวมตัวคล้ายร่างของบุรุษจนกระทั่งกลายเป็นร่างของชายหนุ่มในชุดเกราะระดับขุนพลชั้นสูงในสมัยโบราณ ยืนมองฟางเซียนที่กำลังหลับสนิทอยู่ในขณะนี้
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาลี่เซียน... ข้าตามหาเจ้าพบแล้ว” ร่างสูงใหญ่ของนักรบโบราณกล่าวพร้อมคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ
มหาวิทยาลัยปักกิ่ง[2]
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียมีหนังสือ 9.0195 ล้านเล่มรวมถึงวารสารและหนังสือพิมพ์จีนและต่างประเทศ ห้องสมุดแห่งนี้ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลครบวงจรที่ทันสมัยมากมายอีกด้วยเป็นแหล่งรวมวิชาความรู้และสรรพวิชาทุกอย่างอยู่ในหอสมุดห้องนี้
ร่างงามระหงในระดับความสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ขี่จักรยานส่วนตัวผ่านประตูทางเข้าออกหลังจากแลกบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอขี่จักรยานผ่านเข้าไปในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางมากมายยิ่งนัก ท่ามกลางอากาศของต้นเดือนเมษายน อุณหภูมิในตอนเช้าต่ำกว่าสิบองศาและพอเข้าช่วงบ่ายจะสูงขึ้นมาเป็นสิบห้าองศา ต้นไม้ต่างๆ ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยยังไม่มีใบ เพราะอากาศยังเย็นอยู่นั่นเอง ก่อนจะขี่ผ่านเจดีย์ปั่วหญ่าอันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
เธอขับขี่จักรยานจนกระทั่งมาถึงจุดหมายนั่นก็คือหอสมุด ก่อนจะนำรถจักรยานเข้าไปจอดเก็บไว้ในสถานที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ ร่างงามค่อยๆ ก้าวเดินผ่านประตูใหญ่ของห้องสมุดที่ขึ้นชื่อได้ว่าใหญ่ที่สุดในเอเซีย ก่อนจะแหงนคอมองตั้งบ่าเมื่อเธอเห็นสิ่งที่อยู่ภายในอาคารโดยไม่สนใจผู้คนที่อยู่ภายในอาคารที่กำลังมองตรงมาที่เธอเป็นตาเดียวกัน ด้วยเพราะฟางเซียนนอกจากเธอจะมีสติปัญญาเป็นเลิศแล้ว ความงามของเธอประดุจดั่งดอกโบตั๋นแรกแย้มฉันใดก็ฉันนั้น ใบหน้าหวานสวยดั่งดวงจันทรา คิ้วโก่งดั่งพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากอิ่ม ผิวขาวอมชมพูเนียนละเอียดนุ่มละมุนมือและรูปร่างที่แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดแต่มิอาจปิดส่วนเว้าส่วนโค้งที่ทุกคนเห็นแล้วไม่มีที่ใครจะไม่มอง
“วะ... ว้าว... ช่างใหญ่โตอะไรเช่นนี้ นี่น่ะเหรอห้องสมุดซึ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีหนังสือรอให้เราอ่านหลายล้านเล่มเลยทีเดียว” หญิงสาวพูดพลางทำท่าทางคันไม่คันมือใคร่อยากอ่านหนังสือใจแทบขาด ตามปกตินิสัยของคนชอบอ่านและชอบเขียนนั่นเอง เธอเดินตรงดิ่งไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อกดหารายละเอียดหนังสือที่เธอต้องการค้นหาอย่างรวดเร็ว
“ประวัติศาสตร์จีนสมัยราชวงศ์ถังอยู่ไหนน้า” หญิงสาวกวาดสายตาอยู่บนหน้าจอคอมก่อนจะหยุดลงเมื่อหน้าจอดังกล่าวบอกกับเธอว่า สิ่งที่ต้องการนั้นอยู่ที่ใด
“ชั้นสามประวัติศาสตร์จีนโบราณ โอ้โห! อย่าบอกนะว่าทั้งชั้นเพราะลำพังชั้นเดียวก็กว้างสุดลูกหูลูกตาแล้ว” หญิงสาวยืนพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปขึ้นลิฟต์ในตัวอาคารเพื่อขึ้นไปบนชั้นที่เธอต้องการ