5
ทำผิดก็ต้องขอโทษ
เช้าวันนี้นางอำไพเตรียมทำเปียกปูนกะทิสดให้ลูกค้าตามยอดสั่งแล้วก็จัดแจงแบ่งใส่ตะกร้าไว้เพื่อให้ลูกสาวนำไปขอโทษนางพิมพ์พรเรื่องปีนกำแพงบ้านเมื่อวานนี้ รุ้งพรายเองก็เลือกแต่งตัวในชุดสุภาพเรียบร้อย หญิงสาวสวมเสื้อผ้าลูกไม้สีขาวแขนกุดกับกระโปรงสีครีมยาวคลุมเข่าเล็กน้อย
“แม่เอาขนมใส่กล่องคนเดียวได้แน่นะ ทำทันหรือเปล่า” รุ้งพรายยังเป็นห่วงมารดาที่ยังทำงานไม่เสร็จ
“ทันสิรุ้ง ลูกค้านัดมาเอาตอนสิบโมงมีเวลาเหลือเฟือ อีกอย่างรุ้งก็ตื่นมาช่วยแม่ทำตั้งแต่ไก่โห่แล้วด้วยรีบไปเถอะสาย ๆ แบบนี้เหมาะสำหรับกินของว่าง”
“งั้นรุ้งไปก่อนนะคะแม่” รุ้งพรายหิ้วตะกร้าแล้วเดินออกจากประตูบ้าน ไปหยุดยืนกดกริ่งที่บ้านของนางพิมพ์พร
เพราะแม่บ้านยังไม่กลับมาจากต่างจังหวัด คนเดินมาเปิดประตูให้จึงเป็นเตชัส ชายหนุ่มยืนอึ้งอยู่นานกว่าจะนึกออกว่าใครยืนอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง
“เธอเองเหรอรุ้ง”
“พี่เต” รุ้งพรายก็ออกอาการงุนงงเล็กน้อย เตชัสเปลี่ยนไปมากจากเมื่อเจ็ดปีก่อน หนุ่มผอมแห้งสูงโย่งในอดีตจะกลายมาเป็นหนุ่มตัวหนาหน้าตามีเสน่ห์ไปได้ถึงเพียงนี้
“ตะลึงเลยรึไงรุ้ง” คนถูกมองลอบยิ้มให้กับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แน่ล่ะ เป็นใครก็ต้องมองเขาตาค้างแบบนี้ทุกคน
“อ้อ สวัสดีค่ะพี่เต” รุ้งพรายรีบยกมือขึ้นไหว้เขา เพราะมัวแต่ตกตะลึงจึงเสียมารยาทไปบ้าง
“มาทำไม” เตชัสยืนขวางทางเหมือนไม่อยากให้เธอเข้าบ้านเขา
“รุ้งจะมาขอโทษเรื่องเมื่อวานค่ะ ขอรุ้งเข้าไปหาคุณป้าพิมพ์นะคะพี่เต” หญิงสาวพยายามไม่อารมณ์เสียในตอนนี้ เตชัสยื่นหน้ามาใกล้แล้วเบะปากใส่เธอ
“ไม่ให้เข้า”
“พี่เต ! รุ้งไม่ได้มาหาพี่เตแต่มาหาคุณป้าพิมพ์นะคะ”
“เหรอ มาหาแม่หรือมาหาพี่คริษฐ์กันแน่”
“จะมาหาใครก็ช่างไม่ได้มาหาพี่เตก็แล้วกัน”
“ยัยรุ้งนี่บ้านพี่นะ พี่ไม่ให้เข้า”
“บ้านคุณป้าพิมพ์กับพี่คริษฐ์ต่างหากพี่เตไม่มีปัญญาสร้างบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้หรอก” รุ้งพรายหมดความอดทนกับเขาแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตขัดเธอเสียทุกเรื่อง ไม่รู้จะจงเกลียดจงชังอะไรกันหนักหนา
“นี่กล้าว่าพี่เหรอรุ้ง นิสัยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไม่มีความเกรงใจพี่เลยสักนิด”
“ถ้าพี่เตทำตัวดี ๆ รุ้งมีหรือจะไม่เกรงใจ”
“ยัยรุ้ง !”
“โอ๊ย ! ปล่อยรุ้งนะพี่เต” รุ้งพรายถูกเตชัสกระชากต้นแขนแล้วผลักให้ออกจากหน้าบ้านไป
“ออกไปเลย ! กลับบ้านไปเลย มาทางไหนไปทางนั้น บ้านนี้ไม่มีใครเขาต้อนรับเธอหรอกรุ้ง”
“ไอ้พี่เต !” ‘หมดกันภาพลักษณ์ที่รักษาไว้ก่อนหน้า’
“กลับบ้านไปเลยชิ่ว ๆ” เตชัสสะบัดมือไล่เหมือนเธอเป็นตัวเชื้อโรคร้ายอะไรสักอย่าง รุ้งพรายยืนหิ้วตะกร้าขนมอยู่หน้าบ้าน เขาก็ยืนขวางทางเดินประตูเอาไว้ พร้อมจะผลักออกหากเธอถลาเข้าไปหา ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ รุ้งพรายชะเง้อคอเข้าไปมองภายในบ้าน จากนั้นก็ยกมือขึ้นป้องปาก
“คุณป้าพิมพ์อยู่ไหมคะ ! รุ้งมาหาค่ะ ! แม่ให้เอาขนมมาให้ค่า ! คุณป้าพิมพ์อยู่ไหมคะพี่เตไม่ยอมให้รุ้งเข้าบ้านค่า !”
“เฮ้ย ! ยัยรุ้ง” เตชัสวิ่งเข้าไปหาหญิงสาว รีบเอาฝ่ามือปิดปากที่ส่งเสียงตะโกนดังลั่นเอาไว้
“โอ๊ย !” ฝ่ามือของเตชัสถูกรุ้งพรายกัดจนต้องปล่อย ทำให้อีกคนผลักเขาออกเต็มแรงได้
“ยัยรุ้ง !” เตชัสมองคนที่หิ้วตะกร้าวิ่งเข้าบ้านไปอย่างโมโห เจ็บมือก็เจ็บแสบนักนะรุ้งพราย
เพราะเคยเข้ามาทำความสะอาดครั้งหนึ่งแล้ว รุ้งพรายจึงรู้ว่าห้องรับแขกของบ้านหลังนี้อยู่ตรงไหน เห็นนางพิมพ์พรนั่งอยู่กับคริษฐ์ จึงรีบยกมือขึ้นไหว้ทั้งคู่ในทันที
“สวัสดีค่ะคุณป้าพิมพ์พี่คริษฐ์”
“หนูรุ้งนั่งก่อนลูก ป้าก็นึกว่าเสียงเอะอะโวยวายอะไรกันหน้าบ้าน”
“แม่ครับ” เตชัสวิ่งตามมาติด ๆ มือก็กุมจุดที่ถูกกัดเอาไว้ ทุกคนต่างมองทั้งคู่แล้วเกิดคำถามตามมา
“ที่รุ้งร้องโวยวายนั่นฝีมือเตใช่ไหม” นางพิมพ์พรตาขวางใส่ลูกชายคนเล็ก เตชัสหันไปมองตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องถูกดุทางสายตา ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กับมารดา
“ผมเปล่านะครับแม่ ผมแค่ถามว่ามาทำไมแค่นั้นเอง”
“แค่นั้นแล้วทำไมน้องต้องตะโกนแบบนั้นด้วยแม่ไม่เชื่อหรอก”
“แม่ครับผมพูดจริงนะครับ”
‘ตอแหลสุด ๆ’ รุ้งพรายอยากจะหัวเราะดัง ๆ ออกมา แต่ก็ติดว่าเธอเกรงใจเจ้าของบ้านอยู่ เหลือบตาไปมองคริษฐ์ก็เห็นว่าเขามองเธออยู่ก่อนแล้ว
“แล้วมานี่มีอะไร” คริษฐ์เป็นฝ่ายถามเธอก่อนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแข็งห้วน
“คุณป้าพิมพ์คะ” รุ้งพรายหันไปหาหญิงสูงวัยแทน ทำเป็นไม่สนใจคำถามของเขา
“ว่าไงจ๊ะหนูรุ้งหิ้วอะไรมาด้วยล่ะนั่น”
“คือรุ้งอยากจะมาขอโทษเรื่องเมื่อวานค่ะ”
“ขอโทษเรื่องอะไรล่ะลูกป้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย” รุ้งพรายได้ยินแล้วก็หันไปมองหน้าคริษฐ์ หรือเขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับมารดา แต่เมื่อตั้งใจมาขอโทษแล้วเธอก็ต้องทำ
“รุ้งจะมาขอโทษเรื่องที่ปีนกำแพงบ้านคุณป้าพิมพ์เข้ามาเก็บลูกบอลเมื่อวานนี้ค่ะ”
“ยัยรุ้งนี่เธอกล้าปีนกำแพงบ้านพี่เหรอ” เตชัสเสียงดังใส่เธอ เจตนาต่อว่าให้เธอได้อับอาย
“คือรุ้งไม่เห็นรถจอดอยู่สักคันค่ะ เลยคิดว่าไม่มีใครอยู่”
“แต่ผมอยู่ครับแม่” คริษฐ์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“อ้าว คริษฐ์อยู่ทำไมไม่เปิดประตูให้น้องล่ะ”
“พี่คริษฐ์ไม่ผิดค่ะคุณป้าพิมพ์ คือรุ้งไม่ได้กดกริ่งหน้าบ้านค่ะ พอคิดว่าไม่มีคนอยู่เลยถือวิสาสะปีนกำแพงข้ามมาเลย”
“ขากลับดันปีนกลับไม่ได้ เดือดร้อนผมต้องไปส่งที่ประตูอีก” คริษฐ์ซ้ำเติมเธอต่อ
“ทีหลังไม่ทำแบบนี้นะหนูรุ้ง เดี๋ยวตกลงมาแข้งขาหักกันพอดี” นางพิมพ์พรเตือนด้วยความหวังดี
“รุ้งขอโทษค่ะคุณป้าพิมพ์ ต่อไปไม่กล้าทำแบบนั้นอีกแล้วค่ะ” รุ้งพรายพนมมือขึ้นไหว้นางพิมพ์พรพร้อมรับปาก
“แล้วนั่นตะกร้าอะไร”
“อ้อ ขนมเปียกปูนกะทิสดค่ะ แม่ให้เอามาฝากคุณป้าพิมพ์ด้วยค่ะ” หญิงสาวเลื่อนตะกร้าไปตรงหน้าของนางพิมพ์พร
“หน้าตาน่ากินมากเลย คริษฐ์ดูสิลูกต้องอร่อยแน่ ๆ ฝีมืออำไพเขาขึ้นชื่อเรื่องขนมไทยอยู่แล้ว” นางพิมพ์พรเปิดดูแล้วก็เลื่อนไปให้ลูกชายคนโตดูต่อ
“ไหน ๆ วันนี้รุ้งก็มาแล้วอยู่คุยกับป้าก่อนนะลูก วันหยุดป้าไม่ได้ไปไหนเลย”
“เอ่อ เห็นทีจะไม่ได้ค่ะคุณป้าพิมพ์ รุ้งจะกลับไปช่วยแม่ห่อขนมใส่กล่องค่ะ” รุ้งพรายไม่อยากอยู่ต่อแล้ว เพราะสายตาของสองพี่น้องไม่ได้อยากต้อนรับเธอเลย
“เสียดายจังวันหลังนะหนูรุ้ง แวะมาคุยกับป้าให้ได้นะลูก ป้าคิดถึงอยากคุยด้วยนาน ๆ”
“ค่ะเอาไว้วันหลังรุ้งจะมาใหม่นะคะคุณป้าพิมพ์”
“เตเอาขนมไปใส่ถ้วยไว้ แล้วล้างกล่องมาคืนน้องด้วย”
“ครับ” เตชัสหิ้วตะกร้าขนมเข้าครัวไปตามคำสั่งของมารดา ไม่ถึงห้านาทีก็กลับออกมาพร้อมกล่องที่ล้างเรียบร้อยแล้ว
“ไปเปิดประตูให้น้องด้วย”
“ครับ” เขาตอบรับแบบไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
รุ้งพรายยกมือขึ้นไหว้นางพิมพ์พร แล้วหันมาไหว้คริษฐ์ ทำไมเธอถึงละสายตาจากเขาไม่ได้สักที หญิงสาวเดินตามหลังเตชัสไปยังประตูทางเข้า และรู้ว่าเขาจะต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งเธออีกแน่
“จะมาอ่อยพี่คริษฐ์เหมือนตอนนั้นอีกเหรอรุ้ง มารยาเสียจริง” เป็นจริงอย่างที่คิดยังไม่พ้นประตูบ้านด้วยซ้ำเตชัสก็กวนประสาทเธอเสียแล้ว
“แล้วแต่พี่เตจะคิดค่ะ เอาตะกร้ารุ้งคืนมา”
“เดี๋ยวซิ” เตชัสยื้อตะกร้าที่รุ้งพรายแย่งเอากลับคืน
“มีอะไรอีก”
“เธอไม่มีวันสมหวังหรอกรุ้ง เพราะอะไรรู้ไหม พี่เคยบอกพี่ คริษฐ์ว่าพี่ไม่อยากได้เธอมาเป็นพี่สะใภ้ พี่คริษฐ์ตอบยังไงรู้ไหม” เตชัสเว้นจังหวะเพื่อดูท่าทีของหญิงสาว รุ้งพรายไม่ได้แสดงอาการโกรธออกมาแต่ยืนนิ่งเหมือนคนลุ้นคำตอบจากเขาอยู่
“ไม่มีวันนั้นหรอกเต พี่คริษฐ์พูดแบบนี้เลยล่ะรุ้ง” เขาทวนคำพูดพี่ชายพร้อมยิ้มยั่วให้รุ้งพรายโกรธ แต่หญิงสาวก็ทำเพียงเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นไม่ได้โต้ตอบออกมา
“พี่คริษฐ์พูดชัดเจนแบบนี้แล้ว ก็จำเอาไว้ว่าเธอไม่มีวันจะมาเป็นพี่สะใภ้ของพี่ได้แน่ ตัดใจซะอย่ามาทำรุ่มร่ามในบ้านพี่อีก” เตชัสดันตะกร้าคืนหญิงสาวแบบแรง ๆ ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าเสียงดัง
เขามองรุ้งพรายที่เดินกลับบ้านไปแบบคนเหม่อลอย ความตั้งใจแรกที่จะหลอกให้หลงรักแล้วทิ้งแบบไร้ค่ามันใช้ไม่ได้กับรุ้งพราย เมื่อหลอกให้รักไม่ได้ก็ไม่ต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป
รุ้งพรายยอมรับว่าตกใจกับคำพูดของเตชัสอยู่ไม่น้อย เมื่อก่อนนั้นมีแต่เธอที่วีนเหวี่ยงใส่เขา นี่มันเป็นช่วงเอาคืนหรืออย่างไรกัน หญิงสาวเดินคอตกหิ้วตะกร้าเข้าไปในบ้านของตัวเอง
“เป็นไงบ้างรุ้งเจอคุณป้าพิมพ์เขาไหมลูก”
“เจอค่ะแม่รุ้งขอโทษคุณป้าพิมพ์เรียบร้อยแล้วนะคะ”
“ดีแล้วลูก เราทำผิดก็ต้องขอโทษเป็นเรื่องที่สมควรทำแล้ว แล้วทำไมหน้างอแบบนั้นล่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ว่าแต่แม่ห่อขนมเสร็จหรือยังคะ รุ้งกะว่าจะมาช่วยแม่ทำต่อ”
“เหลืออยู่แค่ห้าสิบกล่องเองลูก มานี่เลยถ้าอยากช่วยแม่ ใส่งาในกล่องให้แม่มา”
“ค่ะแม่” รุ้งพรายนำตะกร้าไปเก็บ แล้วกลับมานั่งบนเก้าอี้ช่วยมารดาห่อกล่องขนมอย่างตั้งใจ พยายามสลัดทุกคำพูดของเตชัสออกจากหัวไปก่อน
แต่คำพูดนั่นก็ยังวนเวียนอยู่ในความรู้สึก ต่อให้เตชัสด่าเธอรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่มีความหมายเท่ากับเขาบอกว่าเธอไม่มีวันจะได้เป็นพี่สะใภ้ของเขา เพราะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของคริษฐ์ นึกว่าเจ็ดปีที่ผ่านมาเธอทิ้งอดีตไปแล้ว ตรงกันข้ามเหมือนความทรงจำถูกฝังกลบเอาไว้ พอกลับมาก็ถูกความรู้สึกขุดคุ้ยขึ้นมาใหม่
หญิงสาวไปนั่งตรงหน้าต่างแล้วมองไปยังบ้านหลังด้านข้าง เรื่องราวมากมายไหลกรูเข้ามาในความคิด พยายามแล้วที่จะปล่อยวางแต่กลับทำไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นเธอที่ยังยึดติดอยู่กับความรู้สึกนี้ ความรักที่ไม่มีวันจะได้สมปรารถนา
หลังจากวันนี้เป็นต้นไปรุ้งพรายก็พยายามไม่ไปบ้านของนางพิมพ์พรอีก แม้แต่ตอนทำความสะอาดอีกสองครั้งเธอก็สลับหน้าที่กับมารดา โดยให้มารดาไปทำความสะอาดแล้วตัวเธอก็ทำขนมแทนท่านอยู่ที่บ้าน เพราะคลุกคลีกับมารดามาตั้งแต่เด็กหญิงสาวจึงเรียนรู้ได้ไม่ยาก
“รุ้งคุณพิมพ์เขาถามหารุ้งอยู่นะลูก” นางอำไพกลับมาบอกลูกสาวหลังจากทำความสะอาดวันสุดท้ายเสร็จ
“ถามหาทำไมคะแม่ รุ้งไปก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับคุณป้าพิมพ์เหมือนกัน”
“ก็คุยเรื่องทั่ว ๆ ไปก็ได้ หรือว่าไม่อยากเจอใครที่นั่น” นางอำไพดักทางลูกสาวได้ถูกจุด รุ้งพรายถึงกับหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยพร้อมเอ่ยปฏิเสธแบบอ้อมแอ้ม
“เปล่าสักหน่อย”
“คริษฐ์กับเตเขาก็ออกไปทำงานแต่เช้ากัน ถ้าจะเห็นหน้ากันก็แค่ผ่าน ๆ แค่นั้นเอง จะกลัวไปทำไมรุ้ง”
“เอาเป็นว่าเราอย่าพูดถึงบ้านโน้นกันเลยแม่ รุ้งพยายามไม่คิดไม่สนใจพวกเขาแล้ว”
“โกรธพี่คริษฐ์กับพี่เตเหรอลูก”
“ไม่ได้โกรธหรอกค่ะ แต่พี่คริษฐ์กับพี่เตทำท่าเหมือนไม่อยากต้อนรับรุ้ง เลยไม่อยากไปยุ่งกับพวกเขาอีกค่ะ กลัวเขาจะรำคาญลูกกะตาเอา” มีความแง่งอนในน้ำเสียงเล็กน้อย
“แหมะ ลูกสาวแม่คิดได้ขนาดนี้เลยเหรอ เมื่อก่อนแม่เตือนปาว ๆ ก็ไม่ฟังจะมุดรั้วไปหาหนุ่มอยู่เรื่อย” นางอำไพหยอกล้อลูกสาวให้ได้ยินเสียงหัวเราะได้ พลอยโล่งอกที่รุ้งพรายไม่ดื้อดึงเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อน
“คิดได้แล้วค่ะแม่ แต่ตัดใจยังไม่ได้”
“รุ้งเอ๊ย ผู้ชายไม่ได้มีแค่พี่คริษฐ์คนเดียวนะลูก มองคนอื่นบ้างก็ได้”
“ตอนนี้รุ้งยังไม่อยากมองใครเลย อยากอยู่กับแม่แบบนี้ไปนาน ๆ”
“ปากหวานจริงนะลูกสาวแม่ อ้อ วันนี้แม่จะออกไปซื้อของใช้ที่ห้างรุ้งขับรถพาแม่ไปหน่อยนะลูก เราจะได้แวะไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ ด้วยไง”
“ดีเลยค่ะแม่ มาอยู่นี่เกือบเดือนแล้วยังไม่มีเวลาไปเดินห้างเลย รอแป๊บหนึ่งนะคะรุ้งขอไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน กลิ่นกะทิติดเต็มตัวเลยนี่” หญิงสาวก้มหน้าลงทำจมูกฟุดฟิดตรงเสื้อของตัวเอง
“จ้า แม่ก็จะอาบน้ำใหม่เหมือนกันเหม็นเหงื่อมาก” นางอำไพดึงคอเสื้อตัวเองมาดมแล้วส่ายหน้าไม่ต่างจากคนเป็นลูก
สองแม่ลูกใช้เวลาในการเลือกซื้อของใช้และเสื้อผ้าต่อ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่รุ้งพรายไม่ได้พบเจอมาเสียหลายปี ตอนทำงานอยู่ไร่ของบิดาก็มีแต่งานกับงาน ทุกคนดูจริงจังกับชีวิตค่อนข้างมาก น้อยครั้งที่จะได้เฮฮาปาร์ตี้กัน หญิงสาวพามารดาเข้าร้านเสริมสวย ต่อด้วยร้านนวด ใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขให้มากที่สุด