“ตกลงกันได้แล้ว ก็เลี้ยงฉลองกันหน่อยละกัน” เมยพูดอย่างยิ้มแย้ม และคืนนั้นก็ขนเหล้าป่าที่หมักจากน้ำผึ้งออกมาเลี้ยงกันเป็นที่เอิกเกริก
พวกผู้ชายสนุกสนานเต็มที่ ขณะฝ่ายหญิงพากันกะการณ์งานพิธีสมรสที่จะมีขึ้น ซึ่งก่อนอื่นก็จะต้องตระเตรียมชุดแต่งงานสำหรับเจ้าสาว
“พรุ่งนี้...พรุ่งนี้ข้าจะลงมือทอผ้าผืนพิเศษ สวยงามที่สุดให้ลูกคนเดียวของข้า”
เอื้องประกาศให้ทุกคนรัยรู้ด้วยสีหน้าเอิบอิ่มด้วยความยินดี
สำหรับคนเป็นพ่อแม่ก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว นั่นคือจัดการให้ลูกสาวได้ออกเรือนไปกับคนดีๆ ที่ตนคิดว่าเหมาะสม
น้ำผึ้งอาจจะเนือยในตอนแรก เพราะรู้ว่าตนไม่ได้รักพรานหนุ่ม แต่พอเห็นคนอื่นๆ พากันมีท่าทีตื่นเต้นก็พลอยเกิดอาการไปด้วย จึงไม่แปลกแม้เมื่อถึงเวลาที่ควรหลับแต่หล่อนก็ยังนอนลืมตาโพลง
ชั่วขณะหนึ่งนั้นเอง หล่อนคิดถึงเสือดำ อยากรู้ว่ามันอยู่ไหน จะมาหาหล่อนอีกหรือไม่ และจะมีสักขณะจิตไหมที่มันจะคิดถึงหล่อน
จอม นาเคนทร์ รับรู้ว่าน้ำผึ้งรับหมั้นพรานหนุ่มส่างบุญ เหมือนที่รับรู้ทุกข่าวคราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
เขาตัดใจไม่ไปหาหล่อน หล่อนก็เลยไปหมั้นกับคนอื่น
ข่าวหมั้นของหล่อนทำให้เขาเจ็บปวด เขาจึงหลบเงียบอยู่แต่ในปราสาท ทราบว่าฤดูกาลกำลังเปลี่ยนแปลงเพราะความหนาวเย็นที่เข้ามาเกาะกำแพงหิน นัยน์ตาของเขาก็เปลี่ยนจากสีน้ำตาลของฤดูใบไม้ร่วงมาเป็นสีเทาของฤดูหนาว
จอมไม่เคยชอบฤดูหนาวเลย มองลงไปข้างล่างก็มักเห็นพวกชาวบ้านเรียกลูกหลานมาอยู่ใกล้ตัวนั่งผิงไฟกัน ขณะที่พ่อบ้านเล่าเรื่องโบราณและตำนานของบรรพบุรุษซ้ำแล้วซ้ำอีก แม่บ้านจะร้องเพลงให้ฟังซึ่งบางทีก็คือเพลงกล่อมเด็ก
บางครั้งเขารู้สึกว่าค่ำคืนฤดูหนาวนี้ยาวนานไม่รู้จักจบสิ้น ทำให้เขารู้สึกหงอยเหงาที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวและเดียวดาย
บ่อยครั้งที่เขาอยากไปหา น้ำผึ้ง แต่รู้สึกปวดร้าวที่จะเข้าใกล้หล่อน
ถ้าเขาจะมีความเห็นแก่ตัวน้อยลงสักนิด เขาก็คงจะแปลงร่างเป็นเสือดำไปหาหล่อน ให้หล่อนได้มองเห็นโลกผ่านสายตาของเขา แต่เขาไม่อยากไปอยู่ใกล้หล่อนแล้ว เขาสำนึกว่าเขาอยู่โดดเดี่ยว ห่างไกลจากพวกชาวบ้านข้างล่างยิ่งขึ้นทุกขณะ
ขณะนี้เขาอยู่ยืนอยู่หน้าเตาผิงที่มีไฟลุกโชน เปลวไฟเป็นเงาวูบวาบอยู่ตามมุมห้อง เขายื่นมือไปหาไฟได้รับความอบอุ่น แต่ไฟทั้งโลกไม่อาจขจัดความเหงาหงอยจากใจของเขาได้ และไม่อาจขับไล่ความมืดหม่นในหัวใจและวิญญาณของเขาได้เช่นกัน
จอมคิดว่าตัวเขาเองนั้นก็เหมือนเงาอยู่ระหว่างความสว่างและความมืด ระหว่างความดีและความชั่วร้าย
มีเหมือนกันบางครั้งไม่บ่อยนัก เมื่อพวกชาวบ้านมาขอให้เขาช่วยเหลือ เขาไม่ช่วยเพราะอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากช่วย เวลานั้นเขารู้สึกว่าเขามีอำนาจเหนือชะตาของคนเหล่านั้น
บางครั้งที่เขายืนอยู่ในห้องมืดใต้ถุนปราสาทที่เขาฝึกใช้เวทมนตร์คาถาอยู่ในวงแวดล้อมของกำแพงหิน เขาจะรู้สึกว่ามีอำนาจมืดพลุ่งขึ้นมาในตัวเขา พยายามล่อหลอกเขาให้มาฝักใฝ่ทางมนตร์ดำ
หลายครั้งที่เขาช่วยเหลือคนตามที่ได้รับการร้องขอ เขาจะรู้สึกสว่างอยู่ภายใน เอิบอิ่มด้วยความสุข ที่ได้ช่วยเหลือผู้มีทุกข์
คืนนี้เขาไม่คิดถึงความเอื้ออารีหรือความเมตตากรุณา ความมืดหม่นแผ่ออกครอบคลุมตัวเขาเหมือนหมอกหนาที่อบทึบ
เขาหันหนีไฟ เดินออกจากห้องใต้ถุนไปตามทางเดินในปราสาท
เสื้อคลุมดำยาว ด้านในบุผ้าสีแดงสดที่เขาสวมอยู่ สะบัดพลิ้วเหมือนสายหมอกสีเทาทึม
ลักษณะของเขาแลน่าสะพรึงเมื่อเขาขยับปกคอเสื้อลักษณะคล้ายหมวกขึ้นครอบศีรษะ ปิดใบหน้าเย็นชาไว้ครึ่งๆ
เขามองเห็นตัวเองแวบหนึ่งในกระจกหน้าต่าง เป็นเงาดำของผู้ชายร่างสูงเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและเงียบกริบ เป็นสัตว์โลกโดดเดี่ยวที่ไม่เคยยอมตนอยู่ในอาณัติของผู้ใด ยอมทนใช้ชีวิตในปราสาทซึ่งเยือกเย็นและว่างเปล่าเหมือนหัวใจของเขาเอง
จอมชะงัก นัยน์ตาสีเทาเย็นชาของเขาหรี่ลงเมื่อบอกตัวเองว่ามีคนมา
เขาลงบันไดมาดูกับตาแทนใช้เวทเพื่อการมองเห็นทุกสรรพสิ่งด้วยตาที่สามที่ฝังอยู่กึ่งข้างในของกึ่งกลางสมอง
ทันทีที่เขาเปิดประตูใหญ่ คนที่บุกขึ้นมาถึงปราสาทของเขาก็ถึงผงะ เขารู้ดี ภาพลักษณ์ของเขายามนี้มองเผินๆ ก็ไม่ต่างจอมมารที่ผุดขึ้นมาจากนรก
“มีอะไร?”
เมยหน้าซีด ตัวสั่น มือที่กำลังจะดึงสายกระดิ่งหน้าประตูตกแผละอย่างอ่อนแรงกะทันหัน
จอมขึงตามอง ถามเสียงกระด้างเย็นชาดุจเดิม
“ว่าไง? ดึกป่านนี้แล้ว เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“เมียของข้า...เจ้า” เมยละล่ำละลัก กุมมือเอาไว้ระงับอาการสั่น แต่ดูจะไม่ค่อยเป็นผล แต่ความห่วงภรรยาก็มีมาก
“ข้าเจ้า...จะมาขอให้ท่านช่วย นางเป็นไข้สามวันแล้วยังไม่ฟื้น”
“มาขออะไรข้า เมียเจ้าไม่สบายก็พาไปหาหมอกลางบ้านสิ?” จอมพูดด้วยเสียงเกือบฟังคำราม
เมยตัวงอ ตาตกวูบ แต่ยังละล่ำลักเข่นเสียง
“หมอของเรารักษาไม่ได้ ข้าเจ้าคิดว่า...” เมยหายใจเข้ายาวลึก “คิดว่าท่าน...อาจมีเมตตาลงไปข้างล่างและช่วยรักษานางให้หายได้”