ตอนที่ 12
พริมโรสทําเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะทานข้าวในจานของตัวเอง แต่ยังคงส่งสายตาดุ ๆ ไปทางมองทางเขมชาติเป็นระยะ ๆ เหมือนจะบังคับให้เขากินกลาย ๆ เขมชาติได้แต่จําใจตักข้าวในจานของตนกินไปตามปกติ อย่างกลัวคนอื่นจะรู้ว่า ตอนนี้เขากําลังพลาดท่าเสียทีให้กับผู้หญิง บอกตัวเองแล้วตั้งกี่ครั้ง เตือนตัวเองแล้วตั้งกี่หน ว่าผู้หญิงคนนี้ร้ายประมาทไม่ได้ สรุปแล้วรางวัลที่เขาได้รับคงเป็น...ข้าวคลุกเกลือ จานนี้แน่ ๆ
‘ฝากไว้ก่อนเถอะ แม่ตัวดี...’
ชายหนุ่มอาฆาตไว้ในใจก่อนจะแสร้งทําเป็นอิ่มเมื่อกินไปได้แค่สองสามคํา เขาเงยหน้ามองลูกน้องทั้งคู่ที่ดูเหมือนจะอิ่มกันแล้ว ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“วันนี้ผมมีประชุมตอนบ่ายสอง นี่ก็บ่ายมากแล้ว ผมคงต้องรีบไปแล้วล่ะ” นี่เป็นคําพูดออกตัวที่ดีสําหรับการหนีจากอาหารจานพิเศษตรงหน้า ซึ่งเขารู้ว่าถ้าฝืนทานต่อไป เขาคงจะแสดงอาการบางอย่างให้คนอื่นรู้เป็นแน่ และเขาจะยอมให้คนอื่นรู้ไม่ได้...ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ยักษ์คู่ทั้งสองรีบลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเจ้านายตัวเองพูดจบ ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ยกแก้วนํ้าขึ้นมาดื่มเป็นการปิดท้ายมื้อกลางวันที่แสนจะอร่อยที่สุดในชีวิต แต่เขาคิดผิดอย่างมหันต์ เมื่อนํ้าในแก้วที่เขาดื่ม ไม่ใช่นํ้าเปล่าอย่างที่เขาคิด
นํ้าเกลือชนิดเข้มข้นพิเศษที่คุณนายระเบียบเตรียมไว้ให้...นี่คงเป็นรางวัลพิเศษของเขาอีกเช่นกัน เขมชาติได้แต่มองหน้าหญิงสาวที่ตรงมุมปากมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ แม้เจ้าตัวพยายามจะกลั้นเอาไว้แล้วก็ตาม
‘แสบ ๆ ๆ ๆ โอ่ โอ้ย!!!...’
ไม่ได้แสบ...เพราะเจ็บใจที่เสียท่าคนตรงหน้าเพียงอย่างเดียว แต่รอยแผลที่ถูกกัดนั้นยังเป็นแผลสดอยู่ เมื่อโดยนํ้าเกลือเข้าไปอีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามัน...แสบขนาดไหน
“อะไรกัน...ทานนิดเดียวเอง เดี๋ยวก็เป็นลมไปแล้งไปหรอก” พริมโรสแสร้งบ่นด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะพูดต่อด้วย
“งั้น...ไม่เป็นไร ทานนํ้า เยอะ ๆ สิคะ ทํางานใช้แรงน่ะเสียเหงื่อมากร่างกายต้องการ เกลือ... แร่ชดเชยรู้ไหม”
รู้สิ...ทําไมจะไม่รู้ ถ้าเสียเหงื่อมาก ๆ ร่างกายต้องการนํ้าและเกลือแร่มาชดเชยให้กับพลังงานที่สูญเสียไป ทําไมเขาจะไม่รู้ว่าร่างกาย ต้องการ ‘เกลือแร่’ ไม่ใช่ ‘เกลือ’
เขมชาติมองพริมโรสอย่างหมั่นไส้ก่อนจะฉุดแขนหญิงสาวให้ลุกตามไปด้วย ถ้าคุณนายระเบียบสารพัดพิษเธอยอมแต่โดยดีคงเป็นเรื่องที่แปลกที่สุดสําหรับเขมชาติแล้วตอนนี้ เขาต้องใช้แรงที่มีมากกว่าฉุดคนร่างบางที่ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนให้ลุกขึ้นมาด้วยความยากลําบาก
“คุณต้องไปกับผมด้วย” สั่งเสียงเข้มพร้อมกับลากร่างบางออกจากครัว แต่หญิงสาวพยายามขืนตัวเองไว้อย่างสุดกําลัง
“ไปไหนพริมยังกินไม่อิ่มเลย”
“เมื่อกี้บอกไม่หิวไง”
“ก็เมื่อกี้ไม่ใช่ตอนนี้นี่”
บทสนทนาที่ไร้สาระและวนอยู่ในอ่างของคนที่เชือดเฉือนผู้อื่นด้วยสมองมาตลอด ทําให้คนทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาลูกน้อง และน้อง ๆ อีกครั้ง
ไปด้วยกันอีกต้องมีเรื่องกันอีกแน่ ๆ คู่นี้พักรบกันไม่เกินห้านาทีก็กลับมาเข้าสู่สมรภูมิกันใหม่ ไม่รู้จักเหนื่อยกันเลยหรือไง ขนาดคนดูยังยอมแพ้เพราะไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย
ด้วยความที่ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก เพราะการประชุมวันนี้เป็นเรื่องสําคัญมาก ที่สําคัญเป็นความลับของบริษัท คาร์ลอตจึงรวบรวมความกล้าเตือนเจ้านายตัวเอง
“ท่านครับ ผมว่าเรารีบไปกันดีกว่า วันนี้ท่านมีประชุมสําคัญ ถ้าคุณพริมไม่ว่างผมว่า...”
“ฉันรู้แล้ว” พูดเสียงห้วนก่อนที่ลูกน้องตัวเองจะพูดจบ แล้วจึงหันไปพูดกับร่างบางที่กําลังพยายามจะแกะมือให้หลุดออกจากการเกาะกุมนั้นด้วยนํ้าเสียงที่อ่อนลง
“ไปกับผมนะครับ ถ้าประชุมเสร็จเราไปทานข้าวกัน...ผมก็หิวไม่แพ้คุณหรอก” ประโยคหลังนั้นมีแววต่อว่าเล็กน้อย แต่หญิงสาวทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของพริม”
“แต่คุณสัญญาแล้วว่าคุณจะไม่ทิ้งผมไง ไม่ทันไรคุณก็ลืมแล้ว” พอพูดถึงเรื่องสัญญาทําเอาพริมโรสถึงกับนิ่ง เพราะเธอได้ถูกสั่งสอนมาอย่างดีในเรื่องนี้ เรื่องที่เธอพยายามจะแก้แล้วแต่แก้ไม่ได้ เสียที ต้องโทษคุณตาคนเดียวที่เลี้ยงเธอมาให้เป็นแบบนี ้
‘จําไว้นะลูกอย่าผิดคําพูด อย่าผิดคําสัญญา อย่าผิดคําสาบาน ถ้าเราได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว เราต้องทําตามที่เราพูดให้ได้ไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้นก่อนที่เจ้าจะตกลงอะไรกับใครต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อนรู้ไหม’
เพราะถูกสั่งสอนมาให้รู้จักรักษาคําพูดของตัวเอง ถึงแม้บางครั้งเธอจะไม่ชอบใจเลยก็ตาม แต่เพราะความเคยชินที่ซึมเข้าสู่สายเลือด ทําให้เธอยึดมั่นทําตามสิ่งที่ตัวเองได้ลั่นวาจาเอาไว้ แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจก็ตาม
ครั้งนี้ก็เช่นกันเขมชาติกําลังทวงสัญญาที่เธอให้ไปโดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน ทําให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไม่รู้จะทําอย่างไรดี
เมื่อเห็นหญิงสาวเงียบไปเขมชาติก็รู้แล้วว่า พริมโรสไม่ใช่คนที่รับปากอะไรส่งเดช ตอนนี้หญิงสาวคงจะลําบากใจไม่น้อยที่ต้องไปกับเขา แต่เขาไม่ยอมใจอ่อนให้หรอก อยากจะแกล้งเขาดีนัก...ต้องเอาคืน
“นะครับไปด้วยกัน”
“แต่พริมต้องไปทํางานนี่คะ ไม่ได้ว่างงานหนิ” หญิงสาวยกเรื่องงานขึ้นมาอ้าง
“คุณทํางานอะไรล่ะ เดี๋ยวผมโทรไปลางานให้” ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้
“วาดรูปขาย จะไปนั่งวาดรูป โทรไปลาให้ได้ไหมล่ะ” รวนกลับ
“ดี...ไปกับผม ไปวาดที่ทํางานผมก็ได้”
“พริมวาดรูปวิวทิวทัศน์ ไม่ได้วาดรูปตึก”
“เหมือนกันล่ะน่า วิวตึกระฟ้ากลางเมืองกรุงไง นะครับ...ที่รัก ไปเป็นกําลังใจให้ผมหน่อย วันนี้ผมประชุมเครียดนะ ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง” ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง แสดงว่านาน จะให้เธอไปนั่งอดข้าวด้วยนี่นะ...ไม่มีทาง เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ไป คนเจ้าเล่ห์อย่าคิดว่าเธอจะหลงกลไปด้วย
“แต่พริมต้องช่วยน้องเก็บครัวก่อน” เธอพยายามหาข้ออ้างที่คิดว่าดีที่สุด แต่รู้สึกว่าบรรดาน้อง ๆ จะไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่ เพราะพอพูดจบแค่นั้นทั้งเขมกรกับพิชชภรณ์ ต่างขันอาสาเก็บครัวเอง พร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร เพราะทุกอย่าง พวกตนช่วยกันเก็บหมดแล้ว
ทําให้ยักษ์ใหญ่ยิ้มอย่างได้ใจก่อนจะดึงตัวเธอไปที่รถ แต่ยังก็ไม่วาย ที่เธอจะพยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ทําให้ยักษ์ใหญ่ตอนนี้เริ่มจะแยกเขี้ยวขู่แล้ว
“ชักช้า...สมกับเป็นยายเฒ่าจริง ๆ”
“เอ๊ะ...”
แต่บังเอิญคิดขึ้นมาได้เสียก่อนว่าหญิงสาวคนนี้ใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล ต้องโดนไม้อ่อน จากจะแยกเขี้ยวเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้แทน
“ที่รักครับ...จะขึ้นรถเองหรือจะให้ผมอุ้ม จริงสิคุณคงยืนบ่นจนเมื่อย มา...ผมอุ้ม” พูดจบก็ทําท่าจะช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้ม ทําให้คุณนายระเบียบรีบขยับตัวหนีเสียก่อน
“ขึ้นเองได้ไม่ต้องยุ่ง...ตาแก่”
เมื่อรถเบนซ์สีดําได้พาสามยักษ์ กับหนึ่งหญิงสาวที่บรรดายักษ์แอบเรียกในใจว่า คุณนายระเบียบ ออกจากบริเวณบ้านหลังเล็กนั้นไปแล้ว
ภายในรถก็มีแต่ความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก เพราะสมาธิของชงคมจะอยู่กับการขับรถ แต่เขาก็คอยลอบมองกระจกหลังเป็นระยะ ๆ คาร์ลอตเพื่อนร่วมงานที่นั่งตอนหน้าด้วยกันก็มีอาการไม่ต่างเขา เท่าไหร่นัก
โดยปกติแล้วพวกเขาจะคุยสรุปเรื่องงานคร่าว ๆ ก่อนเข้าประชุม แต่การประชุมนี้เป็นความลับจะให้ใครรู้ไม่ได้ ทั้งคู่จึงพากันปิดปากเงียบ และคอยลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถ ที่ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนอะไร ถ้าเกิดวันนี้จะเข้าประชุมสาย ซึ่งเป็นที่ผิดปกติอย่างยิ่งสําหรับคนอย่างเจ้านายของพวกเขา