ตอนที่ 11
สถานการณ์ในครัวเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่องานทุกอย่างเรียบร้อยตามมาตรฐานของคุณนายระเบียบ ทําเอาชายร่างยักษ์ทั้งสามถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะไม่มีงานครั้งไหนที่พวกตนจะตั้งใจทําเท่ากับการทํางานครั้งนี้ ไม่ใช่งานที่ผ่านมาพวกตนจะไม่ได้ตั้งใจทํา แต่เป็นเพราะงานนี้เป็นงานที่ไม่ถนัด แถมยังมีคนคุมที่ใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยเป็นกรณีพิเศษ
กว่าที่จะได้รับประทานอาหารกลางวันกันจริง ๆ ก็ปาไปแล้วเกือบบ่าย แต่ก็เกิดเรื่องอีกจนได้ เมื่อพริมโรสเห็นว่ายักษ์คู่ เดินออกไปข้างนอกไม่ร่วมโต๊ะทานข้าวด้วย เนื่องจากทั้งคู่ไม่อยากตีตนเสมอนาย แต่ยังไม่วายที่คุณนายเธอบ่น
“จะไปไหน...นั่งกินด้วยกันนี่แหละ ทํางานเหมือนกันเหนื่อย เหมือนกันยังจะทําเก๊กไม่หิวอยู่ไปได้ พวกนายเป็นคนนะ...ไม่ใช่ หุ่นยนต์” ก่อนที่หญิงสาวจะบ่นมากไปกว่านี้ เขมชาติตัดความรําคาญให้ทั้งคู่นั่งกินด้วยกัน และครั้งนี้พวกเขาก็ได้รู้จักนิสัย พริมโรสเพิ่มอีกหนึ่งอย่างว่า นอกจะเจ้าระเบียบเป็นที่หนึ่งแล้ว ความร้ายกาจของหล่อนก็ไม่เป็นสองรองใคร แต่ที่พิเศษกว่าข้ออื่นคงเป็นความมีนํ้าใจ และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่มีอยู่ในตัวเต็ม เปี่ยม แม้ว่าจะแสดงออกมาในลักษณะที่ไม่ค่อยจะนิ่มนวลเหมือนผู้หญิงอื่นเท่านั้นเอง
ยิ่งรู้จัก ยิ่งวิเคราะห์ข้อมูล ยิ่งทําให้เขมชาติรู้สึกชอบหญิงสาวคนดังกล่าวมากขึ้นไปอีก พริมโรสมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่พิเศษกว่าคนอื่น ยิ่งคิดก็ยิ่งทําให้เขาอยากรู้จักสาวหน้าหวานคนนี้มากขึ้น และเขาต้องรู้ให้ได้
“คุณนาย...ยังไม่ได้ให้รางวัลผมเลยนะ” เสียงออดอ้อนของยักษ์ใหญ่ดังขึ้นทันทีที่ทุกคนนั่งที่โต๊ะอาหารแล้วเรียบร้อย
โดยมีเขมชาตินั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะ เขมกรกับพิชชภรณ์นั่งอยู่ทางซ้ายมือของเขา ส่วนพริมโรสกับชงคมนั่งอยู่ทางขวามือ และคาร์ลอตนั่งอยู่หัวโต๊ะอีกด้าน
“ใจเย็น ๆ สิคะ...พริมเตรียมให้อยู่แล้ว ทําตัวเป็นเด็กชอบทวงของไปได้” พริมโรสพูดขณะตักข้าวใส่ใจแจกคนอื่น พร้อมกับยิ้มให้เขมชาติอย่างอ่อนหวาน เมื่อวางจานข้าวตรงหน้าชายหนุ่ม
“โธ่...ก็เมื่อกี้คุณยังว่าผมเป็นสลอธอยู่เลยนี่ ผมแค่อยากทําอะไรเร็ว ๆ ตามใจคุณเท่านั้นเอง” ยกความดีความชอบให้หญิงสาวได้อย่างหน้าตาเฉย ทําให้เธอต้องปรามเด็กชายจอมดื้อด้วยสายตาดุ ๆ
คนบนโต๊ะอาหารมองหน้ากันอย่างขํา ๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรอย่างนี้ มาดเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่น้อย ที่ทุกคนเห็นตอนนี้เป็นเพียงเด็กชายหัวดื้อคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“ทานข้าวก่อนนะคะ หรือว่าจะให้พริมป้อนให้”
เมื่อคนหนึ่งดื้อมา อีกคนหนึ่งก็ดุกลับไป ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะได้กินข้าวเมื่อไหร่ ในขณะที่คนอื่นรีบกินอย่างกลัวว่าจะเกิดสงครามครั้งที่สอง
“จริง ๆ นะ” พูดจบเขมชาติก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวพร้อมกับอ้าปากอย่างกับอํานวยความสะดวกให้เต็มที่ พริมโรสได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับกริยาของคนตรงหน้า ก่อนจะบรรจงตักอาหารป้อนให้อย่างเต็มใจ
“นี่รางวัลคําแรก...แล้วต้องกินให้หมดจานด้วยนะ เพราะพริมตั้งใจทําให้คุณเป็นพิเศษ ตอบแทนความดีของคุณวันนี้”
“หงับ...อื้อ!!”
“เคี้ยวข้าวอยู่อย่าคุยสิเด็กน้อย” ชายหนุ่มโดนต่อว่า
อาการชะงักเล็กน้อยของเขมชาติเมื่อลิ้นสัมผัสกับรสชาติอาหารคําแรกก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเงยหน้ามองคนป้อนที่ยิ้มมาแบบไม่รู้ไม่ชี้
“อร่อยไหมคะ...จานนี้พริมปรุงสุดฝีมือเพื่อคุณ...คนเดียวนะคะ” ถึงพริมโรสจะไม่บอกแต่เขาก็รับรู้ด้วยตัวเองอยู่แล้วว่า จานนี้เป็นจานพิเศษสําหรับเขาเพียงคนเดียว เพราะสังเกตง่าย ๆ จากสีหน้าคนอื่นที่ทานกันตามปกติ และดูเหมือนจะเจริญอาหารกันทุกคนอีกด้วย โดยเฉพาะลูกน้องคนสนิทของเขาเอง ที่ตามปกติจะทานได้ไม่เยอะขนาดนี้ จะมีใครโชคดีเหมือนเขาบ้าง
‘ยัยคนเจ้าเล่ห์ ข้าวเค็มอย่างกับน้ำทะเล...’
“ลองทานนี่ดูสิคะ...อร่อยนะ” หญิงสาวพูดพลางตักผัดผักร้อน ๆ ลงไปคลุกในจานข้าวของชายหนุ่ม พร้อมกับจะตักป้อนให้อีกรอบ แต่คู่กรณีไหวตัวทันยกมือขึ้นมาจับมือนุ่มไว้ก่อน แล้วแย่งช้อนในมือไป
“คุณยังไม่ได้ทานอะไรสักคําเลย...ให้ผมป้อนคุณบ้างดีกว่านะครับ”
‘อย่านึกว่าผมจะยอมกินคนเดียว...’
“ไม่เป็นไรค่ะ...พริมทําไปชิมไปเลยไม่ค่อยหิว คุณสิคะ ...ทํางานใช้แรงไปเยอะ ต้องทานเยอะ ๆ นะคะ ไม่งั้นพริมเสียใจนะ อุตส่าห์ตั้งใจทํา...แต่คุณไม่ยอมกิน” หญิงสาวทําหน้าเศร้าอย่างคนกําลังเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ชายหนุ่มไม่ยอมทานอาหารที่เธอทํา
‘ชั้นไม่หลงกลนายหรอก...’
พิชชภรณ์เห็นพี่สาวทําหน้าอย่างนั้นก็เชื่อสนิทใจว่า ตอนนี้พริมโรส กําลังเสียใจที่เขมชาติไม่ยอมทานข้าว จึงพยายามพูดให้ชายหนุ่มกิน
“พี่เขมทานสิคะ...อาหารอร่อยทั้งนั้นเลย ไม่เชื่อถามทุกคนดูสิคะ” เขมชาติมองหน้าน้องสะใภ้อย่างขัดใจ ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าอาหารอร่อย ท่าทางแต่ละคนตั้งหน้าตั้งตากินขนาดนั้น แต่จานของเขามันพิเศษกว่าคนอื่นนี่สิ จะให้เขากินคนเดียวได้อย่างไร ต้องให้ตัวการกินด้วย
“พี่รู้ว่าอร่อย...แต่พี่เป็นห่วงพี่สาวเราน่ะสิที่ยังไม่ได้กินอะไร”
“โธ่...นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็ห่วงพี่พริมนี่เอง” นํ้าเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างดีใจทําให้เขมชาติมองด้วยความประหลาดใจว่า ทําไมพิชชภรณ์ถึงต้องดีใจขนาดนั้น เพราะความช่างสังเกตและเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ของสถานการณ์รอบตัวเป็นประจําจนติดเป็นนิสัย แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้าก็ตาม
“พี่พริม...เขาไม่ยอมกินอะไรหรอกค่ะ ถ้าคนที่แกอุตส่าห์ทําให้กินไม่ยอมทานก่อน นิสัยแบบนี้ถอดแบบมาจากคุณยายไม่มีผิด”
‘ขอบใจมาก หนิงน้องรัก...’
พริมโรสยิ้มชอบใจกับคําตอบของน้องสาวตัวเอง แล้วหันมายิ้มให้เขมชาติอย่างจะเย้ยนิด ๆ แต่รอยยิ้มนั้นต้องหุบทันทีที่พิชชภรณ์พูดประโยคต่อมา
“แต่หนิงดีใจ และก็ขอบคุณพี่เขมมาก ๆ นะคะที่เป็นห่วงพี่พริม เพราะพี่พริมไม่ค่อยใส่ใจดูแลตัวเองเท่าไหร่ ตั้งแต่วันที่...”
“พิชชภรณ์” เสียงพริมโรสเรียกชื่อน้องสาวอย่างเต็มยศ ก่อนที่จะเอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น แม้จะพูดด้วยเสียงไม่ดังนัก แต่ก็เป็นนํ้าเสียงที่แฝงไปด้วยอํานาจ และแววตาที่กระด้างขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะปรับให้เป็นปกติ อาการเหล่านี้หาได้รอดพ้นจากการสังเกตของเขมชาติ ยิ่งพิชชภรณ์เอ่ย ขอโทษด้วยเสียงสั่น ๆ ยิ่งทําให้เขามั่นใจยิ่งขึ้น
“หนิงขอโทษค่ะ...หนิงแค่ดีใจที่พี่พริมมีคนดูแล เพราะหนิงมีความหวัง หนิงหวังมาตลอดว่า วันหนึ่งหนิงจะได้พี่สาวคนเดิมกลับมา”
“พิชชภรณ์” พี่สาวเรียกด้วยเสียงที่ดังกล่าวเดิม แต่นํ้าเสียงอ่อนลงอย่างชัดเจน ก่อนจะกล่าวอย่างนุ่มนวลเป็นเชิงปลอบใจน้องสาวว่า
“ไม่เป็นไรหรอก...พี่ดูแลตัวเองได้” แม้จะมีข้อมูลเพียงน้อยนิด แต่เขมชาติก็สรุปมาได้อย่างเต็มปากเต็ม คําว่า พริมโรสต้องมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ และคงเป็นอะไรที่สําคัญสําหรับเธอพอสมควร ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช้นํ้าเสียงและกริยาแบบนั้นกับน้องสาวที่เธอรักนักรักหนารักหนาหรอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเขาต้องรู้ให้ได้ และต้องรู้แบบละเอียดด้วย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้...จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงูสารพัดพิษอย่างพริมโรส
“ทานสิคะ...ทานให้หมดด้วยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเขมชาตินิ่งไป ถึงแม้ชายหนุ่มจะทําท่าเฉยเมยไม่สนใจ แต่เธอรู้ดีว่าตอนนี้บทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างเธอกับ น้องสาวได้ถูกบันทึกไว้ในสมองของเขาแล้วเรียบร้อย แม้จะไม่ใช่เรื่องสําคัญอะไรมากมาย แต่พริมโรสไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องส่วนตัวของเธอ โดยเฉพาะเรื่องราวในอดีตที่ผ่านไปแล้ว เรื่องในอดีตที่เธอพยายามจะลืมมัน