ตอนที่ 5
เสียงกริ่งประตูหน้าบ้านที่ดังขึ้น ทําให้ทั้งเขมกรกับพิชชภรณ์ที่กําลังช่วยกันจัดบ้านต้องเงยหน้าจากงานที่ทําอยู่ขึ้นมามอง
“ใครมา?...เดี๋ยวพี่ไปดูก่อนนะ” เมื่อเขมกรเดินมาเปิดประตูเหล็กดัดหน้าบ้าน เขาพบกับผู้หญิงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์รัดรูป กระเป๋าคล้องไหล่ สีน้ำตาลเข้มใบใหญ่
ผมหยักศกยาวเพียงไหล่ถูกรวบขึ้นไปกลางศีรษะเผยให้เห็นดวงหน้าที่หวานซึ้ง แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เคยเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่ก็รู้สึกคุ้นอย่างประหลาด
“มาหาใครครับ” ชายหนุ่มถามคนตรงหน้าอย่างสุภาพ
“นาย...ใช่นายเขมกรหรือเปล่า” พริมโรสถามขึ้นก่อนโดยที่ไม่ตอบคําถาม แล้วมองสํารวจเขมกรตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่กลัวเสียมารยาท เขมกรกับเขมชาติมีแต่โครงหน้าที่เหมือนกัน นอกนั้นเรียกว่าไม่มีส่วนคล้ายกันเลยแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะ เขมกรมีส่วนคล้ายผู้เป็นมารดาที่มีเชื้อสายจีนปนอยู่ ทําให้ได้ผิวสีขาว แม้ตาจะโตแต่ก็ชั้นเดียว ดูหล่อแบบอาตี๋มากกว่าหล่อคมเข้มแบบเขมชาติที่ไม่รู้ว่าเหมือนใคร เพราะพริมโรสยังไม่มีโอกาสเห็นทั้งบิดาและมารดาของชายหนุ่มคนดังกล่าว
“ครับ” เขมกรตอบเบา ๆ พร้อมกับความรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ คงเพราะดวงตาของผู้หญิงตรงหน้าที่ดูดุ และมีอํานาจเหมือนพี่ชายของเขาไม่มีผิด
ก่อนที่ทั้งสองคนจะทันได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ พิชชภรณ์ที่เดินมาตามเขมกรเพราะเห็นว่าออกมานานแล้ว แต่ก็ร้องทักคนมาใหม่อย่างดีใจ
“พี่พริม!!!...มาได้ไงคะ” พูดพลางเดินเข้ามากอดอย่างสนิทสนม ก่อนจะหันมาแนะนําให้เขมกรรู้จัก
“พี่กรคะ...นี่พี่พริมพี่สาวของหนิงค่ะ”
“สวัสดีครับ ผมดีใจที่วันนี้ผมได้เจอตัวจริงของพี่สักที เพราะหนิงเขาเล่าเรื่องพี่ให้ผมฟังตั้งหลายอย่าง” เขมกรพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ พริมโรสพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
“เล่าวีรกรรมแปลก ๆ ให้ฟังล่ะสิ” พริมโรสเขกศีรษะน้องสาวตัวเองเล่นอย่างเอ็นดู
“ไม่ใช่สักหน่อย...พี่พริมคะ นี่พี่กรค่ะ พี่กร...เอ่อ...”
“พี่รู้แล้ว” เขมกรตัดบทก่อนที่พิชชภรณ์จะพูดจบเพราะความเขินอาย หรือไม่เพราะความกระดากปากที่จะพูดคําว่าสามีออกมา เพราะทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงานกัน
“ใจคอจะให้พี่ยืนคุยอยู่หน้าบ้านอย่างนี้ เหรอจ๊ะ”
“หนิงลืมไปค่ะ” พูดอย่างนึกขึ้นมาได้ก่อนจะพาพี่สาวเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับเขมกร
“บ้านน่าอยู่ดีนะ” พริมโรสชมเมื่อเดินเข้ามาข้างใน บ้านสีขาวหลังเล็กที่มองจากภายนอก แต่ภายในกลับแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้อย่างลงตัว รวมถึงการตกแต่งภายในที่ดูแล้วให้ความรู้สึกถึงความหมายของคําว่าบ้าน
“เป็นเพราะหนิงครับ หนิงเขาออกแบบตกแต่งภายในเอง”
พริมโรสสังเกตใบหน้าของทั้งสองคนขณะพูดก็รู้แล้วว่า ทั้งสองคนรักกันมากขนาดไหน เพราะทุกความรู้สึกที่คนทั้งคู่มีต่อกันฉายออกมาทางแววตาอย่างชัดเจน
ไม่รู้ว่าน้องสาวตัวเองโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่รักเขมกร และเขมกรรักตอบ สิ่งที่พริมโรสกลุ้มใจตอนนี้ไม่ใช่ความสงสัยว่า เขมกรจะไม่รับผิดชอบพิชชภรณ์ แต่เธอกลุ้มใจเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต่างหาก ด้วยนิสัยของคุณวิภาดาและวิลาสินีคงไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้แน่ แล้วเธอจะช่วยน้องสาวอย่างไร
พิชชภรณ์เป็นคนอย่างไรทําไมพริมโรสจะไม่รู้ น้องสาวเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่เคยคิดร้ายคนอื่น แถมยังเป็นคนใจอ่อนขี้สงสาร ซึ่งเธอคิดว่านิสัยอย่างนี้ คงจะสู้รบปรบมือกับใครไม่ได้แน่
และความคิดของพริมโรสก็เป็นจริง
เมื่อราวต้นเดือนก่อนที่พิชชภรณ์ถูกแม่และพี่สาวของ เขมกรตามมาทําร้ายถึงหอพัก น้องสาวเธอไม่ได้ตอบโต้สองแม่ลูกนั่นเลย ไม่เลยแม้แต่จะคิด...เพราะเหตุผลที่ว่าสองคนนั่นเป็นแม่และพี่สาวของคนที่ตัวเองรัก และนั่นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว ที่ พริมโรสต้องเข้ามายุ่ง น้องสาวเธอดีเกินไปไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของสองแม่ลูกนั่น สองคนนั่นต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสมกับความผิดที่ทําร้ายคนที่เธอรัก...
“พี่พริม...พี่พริมคะ” เสียงของน้องสาวปลุกพริมโรสออกจากภวังค์
“มีอะไรเหรอหนิง”
“พี่พริมเป็นอะไรไป คิดอะไรมากหรือเปล่า หนิงเรียกพี่ตั้งหลายครั้งแล้ว”
“เปล่า แล้วหนิงมีอะไรเหรอ” พริมโรสเปลี่ยนเรื่องก่อนที่น้องสาวจะรู้ว่าตอนนี้เธอกําลังคิดที่จะทําอะไรอยู่
“หนิงแค่อยากจะถามว่า พี่หอบอะไรมาด้วยเยอะแยะ”
“อ้อ...พวกของสดของแห้ง พี่เห็นว่าเราเพิ่งย้ายบ้านคงยังไม่ทันได้ซื้อพวกของกินมาตุนไว้ พี่เป็นห่วง” ทั้งพิชชภรณ์กับเขมกรต่างมองพริมโรสด้วยแววตาสํานึกในบุญคุณ เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขมกรที่รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ทุกคนที่รายล้อมเขานั้นล้วนแต่เป็นพวกคอยหาผลประโยชน์จากเขาทั้งนั้น จะหาคนที่จริงใจและห่วงใยเขาจริง ๆ นั้น แทบจะหาไม่ได้
นอกจากเขมชาติแล้วไม่มีใครเลยสักคนที่เป็นห่วงเขา เพียงแต่พี่ชายเขาไม่แสดงความห่วงใยนั้นออกมาตรง ๆ เท่านั้นเอง
ส่วนพิชชภรณ์นั้นกอดพี่สาวตัวเองแน่นยิ่งขึ้น พริมโรสก็ยังคงเป็นพี่สาวที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเธอเสมอไม่ว่าอะไรจะขึ้น ถึงแม้ว่าที่บ้านจะไม่มีใครสนใจเธอ แต่เธอรู้ดีว่าจะมีพี่สาวคนนี้อยู่ข้าง ๆ เธอ เสมอ
“ว่าแต่เราเถอะ...อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ใกล้เที่ยงแล้วเดี๋ยวพี่จะทํากับข้าวให้กินกัน ถือว่าฉลองขึ้นบ้านใหม่” พิชชภรณ์กับเขมกรมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ค่ะ...แค่คิดว่าจะได้กินอาหารฝีมือพี่พริม พี่สาวที่น่ารักและสวยที่สุดของหนิงแค่นี้ หนิงก็หิวจะแย่แล้ว”
“ปากหวานจริงนะเราเนี่ย!.” พริมโรสโยกหัวน้องสาวอย่างอารมณ์ดี
“แล้วครัวอยู่ทางไหน และที่สําคัญจัดครัวหรือยังจ๊ะ” พิชชภรณ์พยักหน้าก่อนจะพาพริมโรสเข้าไปในครัวที่อยู่หลังบ้าน บริเวณห้องครัวขนาดกะทัดรัด แต่อุปกรณ์ทําครัวทันสมัยและครบครันวางอย่างเป็นระเบียบ ทั้งตู้เย็น ตู้เก็บของ เตา และอ่างล้างจานจะอยู่ชิดติดผนังห้อง ส่วนตรงกลางห้องจะมีโต๊ะรับประทานอาหาร ทําจากไม้ทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้าขนาดหกคนนั่งตั้งอยู่ พริมโรสมองสํารวจ รอบ ๆ ห้องอย่างพอใจ
“งั้น...พี่ทําต้มข่าไก่ ยําปลาดุกฟู กับผัดผักรวมมิตรให้ทานแล้วกันนะ” พูดพลางวางของที่อยู่ในถุงหิ้วใบใหญ่บนโต๊ะกลางห้อง
“ค่ะ...หนิงช่วยนะคะ” ก่อนจะหันมาบอกเขมกรให้ไปจัดของหน้าบ้านต่อให้เสร็จ ขณะที่สองสาววุ่น ๆ อยู่ในครัวนั้น ทําให้ทั้งคู่ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าบ้าน เขมกรออกไปต้อนรับแขกอีกคนที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย
“พี่เขม”
“เป็นไงบ้าง...พี่เอาของมาฝาก ได้ยินคุณพรรณารายบอกว่าคนท้องต้องกินของบํารุงเยอะ ๆ ลูกในท้องจะได้แข็งแรง เราเพิ่งย้ายออกมาคงยังไม่ทันได้เตรียมอะไรใช่ไหม” พูดจบก็สั่งลูกน้องทั้งสองคนขนของ ที่เพิ่งแวะซื้อมาฝากเข้าบ้าน
“ขอบคุณครับ” เขมกรกล่าวด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากหัวใจ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วเขาไม่ได้อยู่อย่างไร้ญาติขาดมิตร ถ้าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าเขมชาติจะอยู่ข้างเขา
“พี่เขมอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะครับ วันนี้เราจะได้อยู่ฉลองขึ้นบ้านใหม่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว”
“คงไม่ได้หรอก...พี่แค่แวะเอาของมาให้ ตอนบ่ายนี้พี่มีประชุม”
“ว้า...น่าเสียดายจัง วันนี้คนที่รักและห่วงผมกับหนิงจริง ๆ สองคนอุตส่าห์มาเยี่ยม ผมแค่อยากให้อยู่ทานข้าวด้วยกัน จะได้รู้สึกเหมือนผมมีครอบครัวคอยสนับสนุนอยู่” เพราะคําพูดของ เขมกรทําให้เท้าที่กําลังจะก้าวขึ้นรถชะงักก่อนจะหันมามองหน้าน้องชายตัวเองด้วยสายตาคําถาม
“พี่พริมครับ...พี่สาวของหนิงก็แวะเอาของมาฝาก ตอนนี้พี่พริมกับหนิงกําลังช่วยกันทํากับข้าวอยู่ในครัวครับ”
“พี่พริม...” เขมชาติเอ่ยทวนชื่อนั้นเบา ๆ แต่ก็พอที่จะทําให้เขมกรได้ยิน
“ครับ...พี่พริมโรส พี่สาวของหนิง” แค่ได้ยินชื่อหญิงสาวคนนั้น ผู้หญิงที่ทําให้เขาคิดอะไรไม่ออก ผู้หญิงที่ทําให้เขานอนไม่หลับมาตลอดทั้งคืน เขมชาติที่กําลังจะก้าวขึ้นรถถึงกลับเปลี่ยนใจปิดประตูรถ ก่อนบอกกับน้องชายตัวเองว่า
“งั้น...พี่อยู่ทานข้าวด้วยดีกว่า จะได้ทําความรู้จักคนในครอบครัว เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้” หลังจากนั้นเขมชาติก็เดินตามน้องชายตัวเองเข้าไปในบ้าน พร้อมกับความคิดที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่น้องชายหรือคนสนิทของตัวเขาเอง รอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่มกระตุกขึ้นมา
‘คราวนี้ ผมไม่ปล่อยคุณไปเหมือนคราวก่อนแน่..’ .