คำเตือน
**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ชื่อ สกุล สถานที่ ตัวละคร เป็นเพียงเรื่องสมมุติไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของใครทั้งสิ้น
**นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ ความรุนแรงไม่เหมาะสมสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
**นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้ผู้ใดคัดลอก ดัดแปลง ทำซ้ำ สแกนหนังสือหรือกระบวนการอิเล็กทรอนิกซ์ใดๆ ของเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของนิยาย (หากพบเห็นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย)
ตอนที่ 1
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ก็ไม่ทําชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงในห้องนั้นลุกขึ้นมาเปิด เขายังคงนอนหลับตา และคว้าหมอนมาปิดหูตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ
“กร เปิดประตูเดี๋ยวนี้” เสียงสั่งเด็ดขาดของบุคคลที่เคาะอยู่หน้าห้องนั้น ทําให้เขมกรถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นจากที่นอน
เมื่อเขมชาติเปิดประตู ก็เจอเขมกรยืนตีหน้าขรึมอยู่หน้าห้อง แต่เขาไม่ได้สนใจกลับชะโงกหน้าออกไปมองซ้ายมองขวาก่อนจะดึงแขนเขมชาติเขาห้อง พร้อมกับกดล็อคประตู
“มีเรื่องอะไร” คําถามสั้น ๆ ตรงประเด็นไม่อ้อมค้อมของผู้เป็นพี่ไม่ทําให้เขมกรรู้สึกน้อยใจแต่อย่างใด เขารู้ดีอยู่แล้วว่าภายใต้สีหน้าเรียบเฉยติดจะเย็นชาของพี่ชายนั้น ห่วงใยและหวังดีกับเขาเสมอมาถึงแม้ว่าจะไม่แสดงออกมาก็ตาม
“ผมรักผู้หญิงคนนึง แต่แม่กับพี่วิไม่เห็นด้วย...กลับดูถูกเหยียดหยามคนรักของผม” เขมกรตอบคําถามอย่างไม่อ้อมค้อมเช่นกัน
“พี่เขมคิดดูสิ! แม่ยังจะให้ผมหมั้นกับลูกสาวของเพื่อนแม่ที่...ใคร ๆ ก็รู้ว่ายัยนั่นทําตัวเหลวแหลกขนาดไหนตั้งแต่อยู่เมืองนอก ไม่งั้นไม่ถูกเรียกกลับเมืองไทยหรอก”
เขมกรฟังน้องชายเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ ซึ่งเขาพอจะทราบเรื่องนี้มาคร่าว ๆ เหมือนกันว่า ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของเขา แต่เขายังอยากจะฟังความจริงจากปากของน้องชายตัวเองมากกว่า
“ผมจะแต่งงานกับหนิง” เขมกรยืนยันหนักแน่น ก่อนจะพูดเหมือนกระซิบบอกพี่ชายต่างมารดาว่า
“หนิงท้อง”
“อะไรนะ” ถามอย่างตกใจ “แล้วนาย...แน่ใจได้ยังไง”
“หนิงท้องกับผม ทําไมผมจะไม่รู้ เขาไม่เคยมีใครนอกจาก ผม...พี่เขมต้องช่วยผมนะครับ พี่เป็นความหวังสุดท้ายของผม” เขามองหน้าน้องชายตัวเองเหมือนคิดอะไรอยู่ก่อนจะถามไปว่า
“ที่นายจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้เพราะแกทําเขาท้องใช่ไหม”
“ไม่ใช่” ปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ผมตั้งใจจะแต่งงานกับ หนิงอยู่แล้ว...เพียงแต่ผมห้ามใจตัวเองไม่อยู่เท่านั้นเอง” เสียงสุดท้ายพูดเหมือนจะสํานึกผิด
“ถ้าอยากให้พี่ช่วย นายต้องเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟังอย่างละเอียด แล้วพี่จะคิดดูอีกทีว่าจะช่วยยังไง
“ขอบคุณครับ”
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสําหรับเขมกร ถึงแม้ว่าเขมชาติจะไม่รับปากช่วยเต็มอย่างเต็มปากเต็มคํา แต่ก็ไม่ปฏิเสธ อย่างนี้แสดงว่าเรื่องของเขากับคนรักก็ย่อมมีความหวัง
“หนิงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เล่าให้พี่ฟังเดี๋ยวนี้” พริมโรสถามพิชชภรณ์ ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งเธอรักเหมือนกับน้องสาวแท้ ๆ เพราะความสนิทสนมที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก หลังจากที่เธอจัดการไล่สองแม่ลูกที่เข้ามาทําร้ายพิชชภรณ์ถึงที่พักออกไป
“เปล่าค่ะ...ไม่มีอะไร” พิชชภรณ์พยายามปฏิเสธ
“เปล่า...แล้วทําไมยัยสองแม่ลูกนั่นถึงมาทําร้ายหนิงล่ะ บอกความจริงพี่มาเดี๋ยวนี้...จะพูดมาเองหรือจะให้พี่สืบ” คนถามเพิ่มประโยคหลังเข้าไป เพราะต้องการเตือนให้พิชชภรณ์รู้ว่า ถ้าให้สืบรู้ด้วยตัวเอง เรื่องจะบานปลายไปขนาดไหน
พิชชภรณ์รู้จักพี่สาวของตัวเองดี ถ้าปล่อยให้พริมโรสสืบรู้เองมีหวังคนรักของหล่อนต้องถูกฆ่าตายแน่ สู้เล่าให้ฟังเองดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้ปราม ๆ เธอให้ยั้งมือบ้าง
“สองคนนั่นเป็นแม่กับพี่สาวของพี่กรค่ะ...พี่กรเป็นคนรักของหนิง เป็นคนที่หนิงกําลังจะแต่งงานด้วย และเป็น...เอ่อ”
พิชชภรณ์มองหน้าพี่สาวของเธอแล้วไม่กล้าที่จะพูดประโยคนั้นออกมา แต่พริมโรสมองหน้ารอคําตอบอย่างอดทน
“เอ่อ...พ่อของเด็กในท้องหนิงค่ะ” เมื่อพูดจบประโยค พิชชภรณ์มองหน้าพริมโรสที่เหมือนจะโกรธจน ควบคุมตัวไม่อยู่ ก่อนจะปรับสีหน้าให้นิ่งเฉย แล้วถามอย่างใจเย็นว่า
“หมอนั่นรู้หรือยัง”
ไม่ต้องบอกพิชชภรณ์ก็รู้ว่าตอนนี้ พริมโรสพยายามสะกดกลั้นความโกรธตัวเองไว้ขนาดไหน
“รู้ค่ะ...พี่กรรอให้หนิงเรียนจบก่อนแล้วจะแต่งงานค่ะ...หนิงเหลือสอบ เดือนหน้าก็จะจบแล้วพี่พริมไม่ต้องห่วงนะคะ”
“กี่เดือน...แล้วสองแม่ลูกนั่นรู้หรือเปล่า”
“เพิ่งสองเดือนค่ะ หนิงคิดว่าคงทราบ เพราะท่านบอก...บอกให้หนิงไปเอาเด็กออก” พิชชภรณ์พยายามกลั้นนํ้าตาเอาไว้ เมื่อพูดประโยคนั้นออกมา ผิดกับพริมโรสที่ตอนนี้สถกคําหยาบออกมาอย่างโกรธแค้น
“พี่พริมอย่าทําอะไรพี่กรนะคะ พี่กรไม่ผิด...หนิงผิดเองที่ให้ปล่อยอารมณ์พาไป แล้วหนิงยังมีเรื่องขอร้องพี่พริมอีกอย่าง” พริมโรสหันหน้ามามองอย่างสงสัย ก่อนที่พิชชภรณ์จะต่อว่า
“อย่าบอกเรื่องนี้ให้พ่อกับที่บ้านรู้นะคะ...”
“พี่ให้เวลาอีกเดือนนะ ถ้านายนั่นไม่จัดการอะไรให้เรียบร้อย...พี่จะจัดการตามวิธีของพี่เอง”
“ค่ะ...ขอบคุณค่ะ” พูดจบพิชชภรณ์ก็เข้าไปกอดพี่สาวร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น
“พี่พริม...หนิงกลัว”
“ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ปล่อยให้หนิงกับหลานเป็นอะไรไปหรอก” พริมโรสลูบหัวปลอบใจน้องสาวด้วยความเป็นห่วง
“หนิง...เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง นายกรนั่นเป็น ใคร...ขอแบบละเอียดนะ พี่จะได้ช่วยถูกว่าต่อไปควรจะทํายังไง”
หลังจากนั้นพิชชภรณ์ก็เล่าให้พริมโรสฟังโดยละเอียดเกี่ยวกับบ้านและสถานที่ทำงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
“พี่พริม...หนิงขอบคุณมากนะคะ”
ขอแค่พี่สาวรับปากช่วยแค่นี้ เรื่องอื่นก็ไม่มีปัญหา...แม้พริมโรสจะ เป็นแค่คนธรรมดา แต่พิชชภรณ์รู้ดีว่าพี่สาวเธอจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่อง ร้าย ๆ ขึ้นกับลูกในท้องเธอแน่ ถ้าจะมีใครช่วยดูแลลูกของเธอแล้ว คงมีแต่พริมโรสเท่านั้นที่เธอไว้ใจได้
ตึกสูงสี่สิบเอ็ดชั้นที่ตั้งตะง่านอยู่ตรงหน้า เหมือนกับรอคอยการมา เยือนของหญิงสาวในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีเนื้อ กระโปรงย้วยลายดอกสีน้ำตาลเข้ม เสียงฝีเท้าที่เดินเข้าไปภายในดังเป็นจังหวะสมํ่าเสมอ บ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวเองของเจ้าหล่อนเป็นอย่างดี
“ดิฉันมาขอพบคุณเขมชาติค่ะ” พริมโรสบอกพนักงานที่เคาน์เตอร์ติดต่อประสานงาน
“นัดไว้หรือเปล่าคะ” ถามอย่างเป็นมิตร
“เปล่าค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้ท่านไม่ว่างค่ะ คุณฝากเรื่องไว้ที่นี่ก็ได้ นะคะทางเราจะจัดให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูแลให้” ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“ไม่ได้ค่ะ ดิฉันมาธุระส่วนตัว”
คงเป็นเพราะคําว่าธุระส่วนตัว ที่พริมโรสพูดออกไปทําให้พนักงานคนนั้นมองหน้าเธออย่างพิจารณา แต่ก็ไม่สามารถมองพริมโรสได้นาน เมื่อสาวมั่นอย่างเธอมองกลับอย่างไม่สะทกสะท้านจนทําให้ คนที่มองอยู่ก่อนเป็นฝ่ายถอนสายตาไปเอง
‘...ผู้หญิงอะไร ตาดุชะมัด’
“เดี๋ยวดิฉันจะลองสอบถามกับคุณพรรณารายเลขาของคุณเขมชาติให้นะคะ” เพราะบุคลิกของผู้หญิงตรงหน้าไม่เหมือนผู้หญิงที่ทั่วไปที่มาตามตื้อเจ้านาย ทําให้พนักงานประชาสัมพันธ์อย่างกนกอรต้องชั่งใจอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจโทรถามคุณพรรณาราย
ดูจากการแต่งตัวท่าทาง การพูดผู้หญิงคนนี้ดูเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงมาก และมีบางอย่างที่ทําให้นึกถึงเจ้านายโดยที่เธอเองไม่ทันจะรู้ตัว
“จะให้เรียนว่าใครมาขอพบคะ” ถามอีกครั้งเพื่อจะได้รายงานถูก
“ทนายความ...มาขอพบค่ะ”
“คะ” ก่อนจะกลอกเสียงไปตามที่พริมโรสบอก เพราะแววตาอันดุดันที่มองมาเหมือนจะเตือนว่า ถ้าไม่พูด ...เธอนั่นแหละ...ตาย
เมื่อวางสายเสร็จ เจ้าตัวก็เดินออกมายืนหน้าเคาน์เตอร์ พร้อมกับเดินนําทางไปที่ลิฟต์ “เชิญทางนี้ค่ะ ดิฉันจะพาคุณขึ้นไปพบท่านเอง”
เมื่อลิฟต์พาทั้งสองขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของตึกกนกอรก็ขอตัวกลับ ปล่อยให้พริมโรสเผชิญหน้าอยู่กับสตรีวัยสามสิบตอนปลาย คนนี้คง ชื่อคุณพรรณาราย กับชายร่างยักษ์สองคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนไทยคน หนึ่งและคนต่างชาติอีกคนหนึ่ง
‘นึกว่าจะกลัวเหรอ...’
“ดิฉันมาขอพบคุณเขมชาติค่ะ” พูดอย่างไม่กลัวยักษ์สองตนที่ยืนตี หน้าเคร่ง
“ต้องรอสักครู่นะคะ พอดูคุณเขมชาติกำลังเซ็นต์เอกสารสำคัญอยู่
“ได้ค่ะ” พริมโรสเอ่ยตอบไปแล้วนั่งรอตรงโซฟานุ่ม
“ไม่ทราบว่าท่านจะเซ็นต์เอกสารอีกนานมั้ยค่ะ”
“เสร็จแล้ว เข้ามาได้” คราวนี้เป็นเสียงคนที่อยู่ในห้องดังลอดออกมา
“เชิญทางนี้ค่ะ” เสียงผู้หญิงคนเดียวในหมู่ยักษ์ดังขึ้น พร้อมกับ เคาะประตูห้องพอเป็นพิธีก่อนพาพริมโรสเข้าไปข้างใน
“ขอบคุณค่ะ” กล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มให้ ทําเอาคนที่พาเข้าไป กับคนที่นั่งรออยู่ในห้องถึงกับชะงักไม่คิดว่าผู้มาเยือนจะยิ้มได้สวย ขนาดนี้