บทที่ 2
น้องชายจอมหยิ่ง
“นี่มันอะไรกันอะมิวสิค” ฉันยืนอ้าปากตาข้าวของที่อยู่ในมือ ยัยเพื่อนสนิทของฉันจัดการยัดเยียดพวกเสื้อผ้ามากมายก่ายกองใส่มือของฉันไว้ทั้งสองข้าง ก่อนจะผลักไสให้ฉันเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้า
“ลองเสื้อผ้าพวกนี้แล้วเดินออกมาให้ฉันดูนะ เดี๋ยวฉันนั่งรอ” เสียงใสเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินตรงไปยังโซฟาสีแดงสดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นที่นั่งสำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการร้าน
ตอนนี้พวกเรากำลังช็อปปิ้งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถวสยาม ที่จริงวันนี้พวกเรากะจะมาทานข้าวกลางวันกันเฉยๆ เพราะยังไม่ได้ทานอะไรกันมาเลยตั้งแต่เช้าทั้งคู่
แต่ด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมาของยัยมิวสิคที่ว่าจะให้ฉัน ‘แปลงโฉม’ เป็นสาวเปรี้ยว แซ่บ เพื่อเอาชนะใจ ‘กันต์’ ผู้ชายที่ฉันหลงรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอ ทำให้พวกเราต้องแวะร้านเสื้อผ้าที่มิวสิคเป็นลูกค้าประจำอันดับหนึ่ง
“เยอะชะมัดเลย” ฉันสบถออกมา พร้อมกับมองเสื้อผ้าที่อยู่ในมือของตัวเองประมาณห้าถึงหกตัวได้ ก่อนจะนำมันมาวางไว้บนโต๊ะไม้ขนาดกว้างขวาง ฉันสอดส่องสายตามองชุดพวกนี้ มันวาบหวิวชะมัด ไม่ใช่สไตล์ฉันเลยสักนิด!
“ทำไมแกถึงชอบแต่งตัวแบบนี้เนี่ยยัยมิวสิค”
ทุกๆคนคงจะยังไม่รู้ใช่ไหมค่ะ ว่าฉันกับเพื่อนรักของฉันนิสัยพวกเราแตกต่างกันมากแค่ไหน ดูจากชุดนักศึกษาแล้วคงจะเข้าใจกัน ฉันแต่งชุดนักศึกษาเสื้อหลวมๆกระโปรงพลีทเหนือเข่า แต่กลับกัน
มิวสิคนั้นไม่ได้แต่งแบบนั้นเลย เธอจะแต่งชุดนักศึกษาที่มีเสื้อคับรัดแน่นโชว์หน้าอกหนาใจที่ใหญ่ตูมๆของเธอ พร้อมกับเสื้อชั้นในสีสันสดใสจนมันโผล่สีออกมาให้พวกเราได้รับชม
แค่นั้นยังไม่พอ เธอยังสวมใส่กระโปรงทรงเอที่สั้นแค่คืบ ทำให้ทุกคนในมหาลัยมองเป็นตาเดียวกัน มีแต่สายตาโลมเลียทั้งนั้น ขนาดฉันยังชอบมองเพื่อนตัวเองเลย
อ๊ะ! แต่ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ ก็ยัยนั่นสวยจริงๆนี่นา แถมผู้ชายรุมล้อมกันเยอะมากด้วย ทั้งผู้หญิงหรือไม่ก็ผู้ชายต่างก็ให้ความสนใจกันหมดนั่นแหละ
ฉันค่อยๆปลดกระดุมชุดนักศึกษาของตัวเองตั้งแต่เม็ดแรกจนถึงเม็ดสุดท้าย จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างถอดกระโปรงนักศึกษาออกจากขาเรียวทั้งสองข้างของตัวเอง ตอนนี้ทั้งตัวของฉันเหลือแค่ชุดชั้นในกับกางเกงชั้นในเท่านั้น
ฉันหยิบชุดสีดำจากหนึ่งในนั้นมา พร้อมกับสวมใส่มันอย่างมึนงงกับวิธีการใส่ที่ถูกต้อง ไม่แปลกหรอกที่ฉันจะใส่ไม่เป็น
เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ฉันเคยใส่ชุดแบบนี้ ฉันมองตัวเองผ่านกระจกเพื่อสำรวจความเรียบร้อยก่อนจะมั่นหน้าเดินออกจากห้องลองชุดไปหาเพื่อนสาวที่ตอนนี้นั่งรอฉันอยู่เพียงไม่กี่นาที
“มิวสิค เธอให้ฉันใส่ชุดอะไรกัน!!!” ฉันเดินก้าวขาเดินออกไปอย่างระมัดระวังในชุดเดรสสีดำสั้นแค่คืบ ข้างหน้าผ่าแหวกโชว์หน้าอกอย่างเห็นได้ชัด ส่วนข้างหลังนั้นแทบจะไม่มีอะไรปกคลุมจนถึงเอว มีเพียงสายสี่สายที่พันรอบตัวคอยยึดติดกับข้างหน้าไว้ไม่ให้หลุดออกจากกันเพียงเท่านั้น
“ฉันว่าแล้วเชียว เธอต้องเหมาะกับชุดพวกนี้แน่ๆ!!!” เพื่อนสาวร้องเสียงหลงด้วยท่าทีที่ตื่นเต้น เนื่องจากไม่เคยเห็นเพื่อนสาวคนสนิทของเธอแต่งการด้วยชุดแบบนี้เลย
“มะ...มันแปลกไหม” ร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดูเป็นกังวลใจ
“ไม่แปลกหรอก เธอสวยจะตาย ลองมองไปที่กระจกสิ” มิวสิคชี้มือไปที่กระจกที่อยู่ตรงหน้าของพวกเรา “ เธอหุ่นดีจะตายไป ”
ฉันมองตัวเองอยู่สักพัก ทำไมฉันไม่เห็นถึงความสวยในตัวเองเลยนะ แถมยังรู้สึกน่าอายด้วยที่ตัวเองใส่ชุดแบบนี้
มิวสิคเดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัวสักพัก ก่อนจะเดินออกมา ตอนนี้ในมือของเธอทั้งสองข้างเต็มไปด้วยไม้แขวนเสื้อที่มีเสื้อแขวนอยู่มากมาย
“เอาหมดนี่เลยค่ะ” มิวสิคยื่นเสื้อทั้งหมดให้พี่พนักงาน ก่อนจะก้มลงหยิบกระเป๋าของตัวเองที่วางไว้ตรงโซฟาสีแดงสด พร้อมกับหยิบบัตรเครดิตยื่นส่งให้พี่พนักงานไป
“เฮ้ย! จะซื้อจริงเหรอ !” ร่างบางของหญิงสาวในชุดเดรสดำสนิทเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่มัวแต่ส่องกระจกอยู่นานแสนนาน
“ ก็ซื้อจริงสิ เลือกมาขนาดนี้แล้ว เหมาะกับแกด้วย ไม่ซื้อนี่พลาดมาก” มิวสิคขยิบตาให้กับเพื่อนสนิทตัวเอง
“แต่เงินฉันจ่ายเองได้นะ” ฉันพูดออกไปด้วยความเกรงใจ ถึงจะเป็นเพื่อนกัน แต่อย่างน้อยฉันก็มีความเกรงใจอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรน่า ถือว่าฉันเลี้ยงแกละกัน คราวหน้าก็อย่าลืมเลี้ยงข้าวฉันด้วยนะ” ร่างบางของสาวสวยในลุคเซ็กซี่ยิ้มขำออกมาเบาๆกับท่าทีของเพื่อนสาวคนสนิทของเขาที่ตอนนี้หน้าบึ้งตึงไปแล้ว
มิวสิคเอานิ้วมาจิ้มแก้มร่างบางเล่นๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมให้ของสำคัญกับเขาไป
“อ่ะ! ฉันให้ เข้าไปถอดชุดนั้น แล้วใส่ชุดนี้ออกมาเลยนะ” มิวสิคยื่นถุงบางอย่างมาให้กับฉันคล้ายจะเป็นถุงเสื้อผ้า ฉันมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะรับมันมาไว้ในมือ
“มันคืออะไรนะ ?” ฉันถามออกไปอย่างสงสัยใคร่รู้
“ชุดนักศึกษาตัวใหม่ของแก”
“ห๊ะ หมายความว่าไง ???” ฉันถามซ้ำอย่างไม่เข้าใจในคำตอบ
มิวสิคไม่ตอบคำถามแต่ดันฉันให้เข้าไปในห้องลองชุดอีกครั้ง
ฉันจัดการเปิดถุงใบนั้นออกมาดูก็พบว่าเป็นชุดนักศึกษาหนึ่งชุด ฉันค่อยๆหยิบเสื้อขึ้นมาดู ก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนสาวที่ตอนนี้เข้ามาอยู่ในห้องลองชุดด้วย
“นี่มันชุดอะไรกัน” ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่มิวสิคที่ตอนนี้เอาแต่ยิ้มร่าเร่งเร้าให้ฉันใส่ชุดสักที
“ใส่ๆไปเถอะน่า” มิวสิคพูดเสริม
“ก็ได้”
“เร็วๆเลย ฉันรอดูอยู่” มิวสิคพูดก่อนจะเอามือทั้งสองข้างมาปิดตาตัวเอง
ฉันค่อยๆถอดชุดตัวเดรสตัวเก่าออกก่อนจะบรรจงใส่เสื้อนักศึกษาที่คับแน่นจนกระดุมแทบปริออกมา ทำไมฉันถึงคับหน้าอกแบบนี้นะ!
“แก ทำไมมันคับหน้าอกอย่างนี้วะ” ฉันถามออกไป ตอนนี้ฉันเริ่มจะติดกระดุมตรงหน้าอกไม่ได้แล้ว
“แกคัพDเท่าฉันใช่ป่ะ ใส่ๆไปเหอะ” มิวสิคบอกปัดๆ ก่อนจะหยิบรองพื้นจากกระเป๋าเครื่องสำอางใบใหญ่มาซับหน้าตัวเองให้ขาววิ้งมีออร่า
ฉันพยายามติดกระดุมเสื้อนักศึกษาให้หมดทุกเม็ด ตามด้วยใส่กระโปรงหนังศึกษาที่ฉันไม่คุ้นชินเอาซะเลย มันเป็นกระโปรงทรงเอที่สั้นแค่คืบ คล้ายกับของมิวสิค
ตอนนี้ฉันอยู่ในชุดนักศึกษาที่มีเสื้อคับแน่นจนกระดุมแทบปริเผยให้เห็นหน้าอกที่ล้นทะลักออกมา พร้อมกับกระโปรงทรงเอที่สั้นแค่คืบ ทำให้เห็นเรียวขายาวสวยของตัวเอง ฉันส่องกระจกอยู่สักพักยัยมิวสิคก็เงยหน้าขึ้นมามองและทำหน้าพินิจพิจารณาสาระรูปฉันในตอนนี้
“แกใส่ชุดนี้แล้วสวยเหมือนฉันเลย!!!” ร่างบางตาลุกวาวที่เห็นเพื่อนสนิทของตัวเองกำลังแต่งชุดที่คล้ายคลึงกันอยู่
“บ้า ฉันสวยกว่าแกอีก” ฉันเอ่ยพร้อมกับเบ้ปากมองบน
“อยากมีเรื่องกับฉันใช่ไหมย่ะ” มิวสิคเอ่ยด้วยความระแคะระคาย
“ฉันล้อเล่นๆ ว่าแต่...ทำไมแกให้ฉันใส่ชุดนี้อะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เพื่อเอาชนะใจพี่กันต์ของแกไง ลืมไปแล้วเหรอ ว่าแกจะจับพี่กันต์มาทำผัวนะ”
“กรี๊ด! อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉะ...ฉันแค่อยากเป็นแฟนกับพี่เขาแค่นั้นเอง ไม่แน่อนาคตอาจจะเป็นสามีก็ได้” ร่างบางหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับบิดแขนไปมาด้วยความเขินอาย
“ถ้าแกยังอยากจับพี่เขามาทำผัว แกต้องใส่ชุดนี้ไปมหาลัยทุกวัน หรือไม่ก็ไปอ่อยถึงบ้านเลย เข้าใจ๋ ?”
“อืม เข้าใจแล้ว ฉันจะพยายาม! แต่แกจะให้ฉันใส่ชุดนี้จริงๆเหรอ ฉันว่ามันวาบหวิวไปรึเปล่าวะ” ฉันเหลือบมองไปตรงกระจกเห็นตัวเองยืนอยู่กับชุดนักศึกษาสุดเซ็กซี่
“ถ้าแกอยากจะล้มเลิก ก็ถอดมันทิ้งซะ” มิวสิคพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เธอเริ่มจะหงุดหงิดที่เพื่อนสนิทของเธอเอาแต่งอแงเถียงเธออยู่นาน
“ฉันใส่ก็ได้ แต่แกรู้ได้ไงว่าพี่กันต์จะชอบแบบนี้ ?”
“ฉันมั่นใจว่าพี่เขาต้องชอบ ผู้ชายเกือบทั้งหมดในมหาลัยก็ชอบมองผู้หญิงที่แต่งตัวแบบนี้กันทั้งนั้น” ร่างบางเอ่ยก่อนจะสะบัดผมพร้อมกับหยิบกระเป๋าตัวเองออกมาจากห้องลองชุด ทำให้ฉันต้องเดินตามออกไปด้วย
ฉันกับมิวสิคหิ้วถุงเสื้อผ้ามากันคนละสองถุง จากนั้นพวกเราก็เดินเล่นกันรอบๆห้างจนมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านหนังสือแห่งหนึ่ง
“ฉันลืมไปเลยว่าจะมาซื้อหนังสือนิยายสักหน่อย” สิ้นเสียงใส มิวสิคก็รีบเดินเข้าไปในร้านหนังสืออย่างเร็วไว ทำให้ฉันต้องเดินตามเข้ามา ก่อนจะเอ่ยคำบางคำออกไป “ แกอ่านนิยายด้วยเหรอ ฉันเพิ่งรู้ ”
“อ่านดิ แกไม่เคยสังเกตว่าฉันอ่านตอนไหนต่างหาก” มิวสิคเบ้ปากออกมาอย่างน้อยใจ ฉันแอบยิ้มขำเบาๆ แต่แล้วสายตาของฉันก็หันไปเผชิญกับสายตาคู่หนึ่งเข้า
“นั่นมันกานต์นี่” ฉันพูดออกมาเบาๆ แต่แล้วสายตาคู่นั้นก็รีบเมินสายตาของฉันไปโดยทันที ทำให้มิวสิคที่กำลังเลือกนิยายด้วยความสนใจบนชั้นวางหนังสือ มาสนใจฉันแทน
“อะไรเหรอต้นหอม ?” มิวสิคขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันเจอน้องชายของกันต์นะ” ฉันชี้ไปทางเด็กผู้ชายรูปหล่อคนหนึ่งที่อยู่ตรงมุมหนังสือการ์ตูน ถึงแม้จะเคยเจอกันเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ฉันก็จดจำใบหน้าของเขาได้ ก็พวกเราเพิ่งจะเจอกันไปเมื่อเช้าเอง)
“ห๊ะ ? กันต์มีน้องชายด้วยเหรอ แกรู้ได้ไง” มิวสิคถามอย่างสงสัย
“เมื่อเช้ารถฉันเสีย แล้วฉันก็เลยอาศัยรถของกันต์มามหาลัย มีน้องชายเขานั่งมาด้วย” ฉันเริ่มร่ายยาวเรื่องเหตุการณ์เมื่อเช้าให้มิวสิคฟัง จะว่าไปทำไมฉันลืมเล่าเรื่องนี้ให้ยัยนี่ฟังกันละเนี่ย
มิวสิคพยักหน้าอย่างเข้าใจในสิ่งที่ฉันเล่า ก่อนจะพูดต่อ
“ทำไมแกไม่บอกฉันเร็วกว่านี้ แต่ไม่เป็นไร ฉันคิดอะไรออกแล้ว”
“อะไร ?” ฉันถามออกไป เริ่มจะรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแล้วสิ
“อยากได้พี่ก็ต้องตีสนิทน้อง แกควรจะไปตีสนิทกับน้องของกันต์นะต้นหอม!” มิวสิคกอดอกพูดอย่างเชื่อมั่น
“แกจะให้ฉันไปตีสนิทได้ไง น้องเขาหยิ่งขนาดนั้น T^T” ฉันพูดออกไปตามความเป็นจริง เขาไม่เคยจะพูดกับฉันเลยสักคำ
“ไม่ลองจะรู้ได้ไง แกรีบเข้าไปทักทายน้องเขาสิ เร็วๆเลย ก่อนที่น้องเขาจะไปซะก่อน” มิวสิคออกแรงใช้มือทั้งสองข้างผลักดันฉันให้ออกไปจากมุมหนังสือนิยาย แล้วเดินหน้าเข้าไปในมุมหนังสือการ์ตูนแทน ฉันเดินมาไม่กี่ก้าวก็มาหยุดยืนอยู่ข้างๆเขา ‘กานต์’ น้องชายของกันต์
“น้องกานต์!” ฉันตะโกนเรียกเขาไม่ดังมากโดยใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตรที่สุด ตอนนี้ฉันรู้สึกได้ว่ามีสายตาของยัยมิวสิคกำลังจับจ้องสถานะการณ์อยู่
“…” เขาหันมามองหน้าฉันแว๊บหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ามองหน้าสือการ์ตูนในมือต่อ
“อะ...เอ่อ คือว่าจำพี่ได้ไหม” ฉันส่งยิ้มหวานให้กับเขา
“…”
เงียบ...
“พี่ชื่อ ต้นหอม เราเพิ่งเจอกันเมื่อเช้านี้ จำได้ไหมเอ่ย” ฉันพยายามยิ้มสู้เสืออย่างอ่อนโยนที่สุด ก่อนจะจับไหล่คนข้างๆไว้ให้หันมาคุยกับฉัน
“ผมจำพี่ได้ครับ ช่วยเอามือออกไปด้วย” ร่างสูงพูดด้วยเสียงเย็นชาเย่อหยิ่ง ทำให้ร่างบางต้องรีบชักมือกลับมาทันทีพร้อมกับหัวเราะแหะๆด้วยความกลบเกลื่อน
ฉันส่งสายตาอ้อนวอนให้มิวสิคออกมาช่วย แต่ก็ไม่เป็นผล มิวสิคได้แต่ส่งนิ้วสองนิ้วให้เป็นกำลังใจ แปลว่าสู้ๆ ทำไมฉันถึงรู้สึกกลัวเด็กม.ห้าอย่างงี้นะ!
“งั้นเรียกพี่ว่าพี่ต้นหอมได้ไหมค่ะ” ฉันพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส
“ครับ พี่ต้นหอม” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะหยิบหนังสือการ์ตูนมาสามเล่ม แล้วรีบก้าวเดินฉับๆไปทางเคาท์เตอร์คิดเงิน จนกระทั่งไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านหนังสือ
“น้องมาคนเดียวเหรอ ?” ฉันถามออกเชิงรั้งเขาเอาไว้ก่อน
“ครับ” ร่างสูงตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเก็บหนังสือการ์ตูนใส่กระเป๋านักเรียนหนังทรงสีเหลี่ยมที่เด็กมัธยมเอกชนมักจะใช้กัน
“แล้วกลับไงอ่ะ ?” ฉันเอียงคอเล็กน้อยอย่างสงสัย จำได้ลางๆว่าเขาบอกพี่ชายตัวเองว่าไม่ต้องมารับนี่นา
“นั่งแท็กซี่กลับ” เขาพูดใช้น้ำเสียงห้วนโต้ตอบ
“เอ่อ... ไม่สะดวก” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดเสร็จ ยัยมิวสิคก็เสนอหน้าเข้ามา พร้อมกับพูดกับฉันด้วยเสียงรีบเร่ง
“ต้นหอม ฉันขอโทษด้วยนะ แม่เรียกฉันกลับบ้านด่วนเลยอะ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร ถ้าฉันไม่รีบกลับตอนนี้มีหวังโดนฆ่าตายแหง” มิวสิคทำหน้าเจ็บปวดเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่กลับบ้านไม่ทันเวลาที่แม่ตัวเองบอก
“น้องชื่ออะไรนะคะ ?” มิวสิคหันไปมองร่างเด็กหนุ่มก่อนจะพูดขึ้น
“ชื่อกานต์ครับ” ร่างสูงตอบก่อนจะเชยตามอง
“กานต์งั้นฝากเพื่อนพี่กลับบ้านด้วยนะ มันไม่มีรถกลับ ยบ้านอยู่ใกล้กัน กลับด้วยกันไปเลย กลับดีๆละ บ๊ายบาย” มิวสิคพูดก่อนจะรีบโบกมือลาจาก จากนั้นเธอก็วิ่งหายไปในพริบตา
ทำไมยัยนั่นถึงรีบร้อนขนาดนั้นนะ แล้วฉันจะเอายังไงต่อละเนี่ย... อยู่กันสองคนแล้วซะด้วย สงสัยต้องแสดงความเป็นพี่ออกมาซะแล้ว!*
“กานต์กลับบ้านกับพี่นะ” ฉันยิ้มหวานให้พร้อมกับเอ่ยชวน
“…” ร่างสูงไม่ตอบ ก่อนจะเดินไปเรื่อยๆอย่างมีเป้าหมาย ทำให้ฉันต้องรีบเดินตามเค้าอย่างเร็วโดยที่ยังไม่พูดอะไร
ร่างสูงเดินไปถึงหน้าห้าง ก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่ เขาเปิดประตูขึ้นรถก่อนที่จะเข้าไปนั่งข้างใน ทำให้ฉันต้องรีบวิ่งขึ้นไปนั่งตามเขา ก่อนจะปิดประตู
เขาบอกทางให้กับคนขับ รถแท็กซี่ขับมาเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดอยู่ที่หน้าปากซอยบ้าน พวกเราเดินลงมาจากรถแท็กซี่ ความเงียบเริ่มบดบัง พร้อมกับบรรยากาศที่ดูน่าหดหู่
“กานต์ วันนี้พี่กันต์ยังไม่กลับบ้านเหรอ” ฉันถามออกไปเมื่อพวกเราเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านของเขา ก่อนที่จะสังเกตุไปเห็นโรงจอดรถที่ตอนนี้ไม่มีรถจอดอยู่
“อืม” เขาตอบคำสั้นๆออกมาและเข้าใจได้ง่ายๆ
“งั้นเหรอๆ แหะๆ”
บทสนทนาของเรากำลังจะสิ้นสุดลง ฉันต้องยื้อเอาไว้สิ ตีสนิทกับเขาให้ได้!
“เธอไม่ต้องมาตีสนิทกับฉัน” จู่ๆร่างสูงก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาชะงักสักพัก ก่อนจะพูดต่อ
“ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดจะจับพี่ชายฉันเป็นผัว”
กรี๊ด!!! เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ ฉันจะจับพี่ชายเขาเป็นผัวงั้นเหรอ ทำไมเด็กสมัยนี้พูดคำหยาบคายนักนะ!
“นายว่ายังไงนะ” ฉันเริ่มกำมือแน่น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามระงับอารมณ์โกรธที่เริ่มจะประทุขึ้นมา
“หูหนวกรึไง ยัยป้าแรด”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!