บทที่ 1
รบแรกพัก รักแรกพบ
Tonhom: แก ฉันใจเต้นตึกตักไม่หายเลยอ่ะ
Music : เพ้อเจ้อ
Tonhom : ทั้งคืนนี้ฉันนึกถึงแต่หน้าเขา
Music : ส่งสติ๊กเกอร์โคนี่ปิดหน้า
Tonhom : ส่งสติ๊กเกอร์หมีบราวน์จูจุ๊บโคนี่
Music : ฝันดี
Music : ไปนอน แล้วเลิกเพ้อซะ
Tonhom : ฝันดีย่ะ
Tonhom : คืนนี้ฉันจะฝันถึงเขาแน่นอน
ฉันนอนกลิ้งเล่นบนเตียงไปมาพร้อมกับคุยไลน์กับเพื่อนสนิทตัวเอง เมื่อเช้าฉันได้เจอกับรักแรกพบของตัวเองเป็นครั้งแรก ยัยมิวสิคเพื่อนสนิทของฉันได้ยินแบบนั้นถึงกับเหวอไปเลย มันน่าแปลกใจขนาดนั้นเลยเหรอที่ฉันจะมีความรักมั่งนะ
ฉันอยู่โดดเดี่ยวกับความโสดมาตลอดยี่สิบปี ไม่ใช่ว่าหน้าตาฉันแย่หรืออะไรหรอกนะหน้าตาฉันออกจะสวยกว่าหลายๆคนด้วยซ้ำ(หลงตัวเองชัดๆ) แต่เพราะฉันไม่เคยตกหลุมรักใครเลยสักครั้งต่างหากมีแต่คนอื่นมาตกหลุมรักฉันกันทั้งนั้น แต่ฉันไม่รักเขา ความรักนี่ไม่ยุติธรรมเอาซะเลยเนอะ
ฉันโยนโทรศัพท์ทิ้งลงไปบนที่นอนลายคิตตี้อย่างกระแทกกระทันก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างรับลมนอกระเบียง มองเห็นต้นไม้ใบหญ้าที่ได้รับการดูแลตกแต่งสวยงามเป็นอย่างดีและมีสระว่ายน้ำขนาดเล็กกระทัดรัดน่าลงไปแหวกว่ายอยู่หน้าบ้าน
บริเวณบ้านของฉันไม่ได้กว้างมากนัก เป็นบ้านจัดสรรทั่วไปที่พบเห็นได้ตามหมู่บ้านในกรุงเทพ แต่ที่พิเศษสำหรับหมู่บ้านนี้ คือจะมีพี่รปภ.คอยสอดส่องดูแลความสงบสุข ทำให้หมู่บ้านไม่เคยมีโจรมาขึ้นบ้านเลยสักครั้ง ทำให้ฉันใช้ชีวิตอยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างปลอดภัยไร้ความกังวล ถึงแม้บางทีจะแอบลืมล็อคประตูบ้านบ้างก็เถอะ
“พี่ชายไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว” ฉันถอนหายใจออกมา บ่นอุบอิบกับตัวเองคนเดียว ทุกวันนี้ฉันต้องขับรถไปเรียนเอง ซักผ้า ทำกับข้าว ทำนู่นทำนี่ทำนั่น ดูสิ! ทำอะไรด้วยตัวเองหมดทุกอย่าง สตรองแค่ไหนกันเชียว
ถึงแม้บางทีจะแอบเหงาหงอยอยากอยู่กับครอบครัวบ้างก็เถอะ แต่ก็พอเข้าใจว่าพวกท่านั้นมีภารงานหน้าที่การงานมากมายก่ายกองแค่ไหน
แม่ของฉันทำงานเป็นนักแสดง เลยตะลอนทัวร์ไปทำงานที่ต่างประเทศทุกสัปดาห์ ส่วนพ่อของฉันทำงานเป็นคุณหมอ อยู่แต่โรงพยาบาลทั้งชีวิต คงจะแปลกใจใช่ไหมล่ะ ว่ามาแต่งงานกันได้ยังไง ฉันก็ยังแปลกใจอยู่เลย หน้าที่การงาน เวลาว่างที่มีให้กันมันไม่สัมพันธ์กันสักนิด
อ๋อ! เกือบลืมไป ส่วนพี่ชายตัวแสบของฉันตั้งแต่เรียนจบไปก็แทบจะไม่เคยจะมาเหยียบบ้านหลังนี้เลย ไม่รู้ว่าไปติดสาวที่ไหน
“อ้าว บ้านหลังข้างๆมีคนมาอยู่ใหม่แล้วเหรอ” ฉันมองไปบ้านข้างๆที่มีห้องนอนห้องหนึ่งแนบชิดติดกันกับห้องนอนของฉัน ลืมบอกไป บ้านของฉันมีฝาแฝดอีกหลัง มีเพียงรั้วสั้นๆเล็กๆที่กั้นความห่างระหว่างบ้านของพวกเราเอาไว้
บางทีก็ดูไม่เป็นส่วนตัวเลย แต่ที่มันดูเป็นส่วนตัว เป็นเพราะบ้านหลังนั้นดูเหมือนว่าจะมีเจ้าของนานมาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยมาอาศัยอยู่เลยสักครั้ง ไหงวันนี้ถึงมาอยู่ได้ละ แปลกจริงๆ
แกร๊ก!
หน้าต่างของบ้านอีกบ้านถูกเปิดออกมาโดยใครบางคน
ฉันหันไปมองตามเสียงประตูที่ถูกเปิดออกก็ถึงกับต้องตกใจ ตาเบิกกว้าง หัวใจลงไปอยู่ที่ตาตุ่มในทันที
“สวัสดี” อีกฝ่ายเอ่ยทักทาย แต่ฉันก็ได้ทำแต่หน้าเหวอ เพราะคนที่เปิดออกมาจากบ้านประตูนั้นเป็น…!!!
“กะ กันต์!!!” ฉันตะโกนออกไปอย่างตกใจเหมือนกับคนเจอผี
เอ้ะ! นี่กลางคืนแล้วนี่นา หรือฉันจะเจอผีหน้าเหมือน ? แต่ผีที่ไหนมันหล่อขนาดนี้ละ
“รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ ไม่ต้องทำหน้าเหมือนเจอผีขนาดนั้นก็ได้ ฉันเป็นคนนะ = =;” ใบหน้าหนุ่มหล่อฉีกยิ้มบางๆก่อนจะจ้องมองใบหน้าหวานที่ยืนอ้าปากค้างอยู่
“อะ เอ่อ คนพูดถึงนายเยอะจะตายไป เด็กต่างชาติย้ายมาไทย อะไรแบบเนี้ยอ่ะ ใครจะไม่รู้จักกันล่ะ ฮ่าๆ” ฉันพูดออกมาติดๆขัดๆ ก่อนจะฝืนยิ้มแห้งๆออกมา หัวใจของฉันเต้นตึกตักไม่เป็นส่ำเลย
“รู้จักชื่อฉันก็ดีแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ น้องสาวข้างบ้าน อ่อ! แล้วอีกอย่างฉันไม่ใช่เด็กต่างชาติ ฉันเป็นคนไทยแท้ โอเคนะ”
“อะ เอ่อ โอเค ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ... ห้ะ! ฉันไม่ใช่น้องสาวสักหน่อยฉันเรียนปีเดียวกับนายนะ” ฉันจ้องมองหน้าเขาที่เขาเข้าใจผิดว่าฉันเป็นน้องสาว หน้าตาฉันออกจะสวยสมวัยแท้ๆ ทำไมเขาเห็นว่าฉันหน้าอ่อนกว่าเขาละเนี่ย อายุก็ขึ้นเลขสองแล้วด้วย
“อ้าวเหรอ ไม่ต้องพูดเพราะขนาดนั้นก็ได้ ฉันคิดว่าเธอเป็นรุ่นน้องฉันซะอีก” กันต์ยิ้มขำๆ ก่อนจะจ้องมองใบหน้าหวานอย่างจดจ่อเหมือนกับกำลังค้นหาคำตอบจากนัยน์ตาสาวคู่สวย
“เธอคงไม่ได้เป็นFCฉันเหมือนคนอื่นๆใช่ไหม” เขาถามต่อ
“เปล่า ไม่ใช่ได้เป็น ฉันไม่เคยไปสมัครFCเลยนะ แค่แฟนเพจนายฉันยังไม่เคยเข้าไปกดไลค์เลย” ฉันตอบไปตามความจริง ใบหน้าเริ่มแดงก่ำ ทำไมเขาต้องจ้องฉันขนาดนี้ด้วยนะ ฉันจะละลายแล้ว อย่ามองด้วยสาวตาแบบนั้นสิ โถ่!
“ก็ดี หวังว่าฉันคงจะเป็นเพื่อนกับเธอได้นะ แล้วก็ห้ามไปบอกใครละว่าฉันอยู่บ้านหลังนี้”
“ไม่บอกอยู่แล้ว นายเห็นฉันเป็นคนยังไงกัน = =;” ฉันคุยกับเขาเหมือนกับคนปกติ แต่หัวใจนี่เต้นแรงสุดๆไปเลย นี่มันไม่ใช่ความฝันใช่มั้ย!
“ตอนนี้ฉันเห็นธอเป็นคนแปลกหน้า ว่าแต่เธอเรียนอยู่คณะอะไรนะ”
“นิเทศ” ทำไมเขาต้องหาว่าฉันเป็นคนแปลกหน้าด้วยละ ก็ได้แต่คิดและสงสัย ไม่กล้าถามออกไป
“ฉันวิศวะ คงรู้อยู่แล้วใช่ไหมละ”
“รู้แล้วละ ว่าแต่บ้านหลังนี้เป็นบ้านของนายเหรอ ? ฉันไม่เห็นเคยมีคนมาอยู่ เลย ฉันแค่สงสัยนะ”
“อืม บ้านฉันเอง ไม่เคยเห็นมีใครมาอยู่ คงเพราะคนที่บ้านฉันอยู่แต่ต่างประเทศนั่นแหละ”
‘กันต์!!! พาฉันออกไปกินข้าวได้แล้ว หิวแล้วโว๊ย!!!’
จู่ๆก็มีเสียงใสๆยังไม่ค่อยแตกหนุ่มของผู้ชายตะโกนดังขึ้นมา
“อุ้ย โทษที ดึกขนาดนี้แล้ว ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” เขาโบกมือบ๊ายบายก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับปิดประตูดังปัง
“บ๊ายบาย...”
ฉันรีบปิดประตูแล้วเดินเข้ามาในห้องก่อนจะกรี๊ดออกมา เมื่อกี้มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม เขามาอยู่บ้านข้างๆฉัน
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!”
หัวใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำเลย เมื่อกี้คุยกับเขาด้วย คุยแบบปกติซะด้วยสิ อร๊าย เขาเอาแต่จ้องหน้าฉัน
เขินชะมัดเลย สงสัยคืนนี้ฉันคงจะฝันถึงเขาแน่ๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหล่อเหลา ดวงตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยความดุดัน จมูกที่โด่งเป็นสัน ริมฝีปากอมชมพูดูชุ่มชื้นจนน่าลิ้มลองให้จูบ แถมยังมีหุ่นที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อน่าจับน่าแตะ ถึงจะมีชุดนักศึกษาปกปิด แต่ก็ไม่อาจจะต้านทานหุ่นที่ได้สัดส่วนได้
ฉันว่าฉันควรจะรีบจีบเขาแล้วสิ ก่อนที่ใครๆจะมาจีบเขาก่อนฉัน! อยู่เฉยๆไม่ได้แล้วละต้นหอม ฉันว่าฉันหลงรักเขาเหมือนกับรักแรกพบในนิยายแน่ๆ แค่มองหน้าก็เหมือนโดนขโมยหัวใจไปแล้ว!
ก่อนจะนอนก็อัพเดตสถานเฟสบุ๊คสักหน่อยดีกว่า
“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ก็เหมือนตกอยู่ในสนามรบที่ไม่ได้พัก ต้นหอมคนนี้พร้อมจะลงสนามรบแล้วค่ะ”
โพสแล้ว เขินจัง
ฉันนั่งเล่นแฟนเปิดดูข่าวสารเรื่อยๆ จนไปเปิดเพจFCของเขาขึ้นมา ก็พบว่าเพจนี้ลงรูปเขาเยอะมาก ฉันก็แอบสงสัยนะ รู้สึกว่าเขาจะมาเรียนได้สามวันแล้ว ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นเขาที่บ้านหลังนี้เลยละ หรือเป็นเพราะว่าฉันไม่ค่อยออกมานอกบ้าน แต่จะว่าไปทำไมเพจนี้ลงรูปเขาได้เยอะแยะในเวลาแค่สามวันเองละ แอบถ่ายภาพหลุดเหรอ ต้องเซฟซะแล้วสิ
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง สุดท้ายฉันก็เพ้อถึงกันต์จนหลับใหลเข้าสู่ห่วงนิทรา...
หวังว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่ดีนะ...
คร่อก Zzz...
7 : 25 นาฬิกา
ถ้าวันนี้เป็นวันที่ดีก็บ้าแล้ว!!!
“ไอ้รถบ้าเอ้ย ทำไมต้องมาเสียตอนที่คนกำลังรีบๆไปเรียนตอนเช้าด้วยว่ะ” ฉันสบถออกมาพร้อมกับสีหน้าที่บึ้งตึง ก่อนจะพยายามสตาร์ทรถให้ติด
ผ่านไปได้ประมาณสิบนาที สุดท้ายฉันก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งหนึ่ง แล้วเลิกล้มความพยายามที่จะสตาร์รถให้ติดต่อไป ปกติรถคันนี้มันไม่เคยจะเสียหรือสตาร์ทไม่ติดในเวลาฉุกละหุกอะไรแบบนี้นี่นา!!!
ฉันก้าวขาเดินลงมาจากรถเมื่อหมดหนทางและความหวังที่รถเก๋งคู่ใจของฉันจะสตาร์ทติด ฉันใช้รถคันนี้มาตั้งแต่ตอนขึ้นมหาลัยปีหนึ่ง พ่อของฉันท่านซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ซึ่งฉันก็ไม่ได้ต้องการมันเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ได้ใช้มันมาระยะยาว
“เฮ้อ เอาไงต่อดี ฉันจะไปเรียนสายไหมเนี่ย” ฉันบ่นกับตัวเองเบาๆก่อนจะคิดหาหนทางแก้ไขปัญหา
วันนี้ฉันแต่งตัวในชุดนักศึกษาพอดีตัวไม่คับแน่นมากและไม่หลวมมาก มันเลยทำให้ไม่เน้นสัดส่วนอะไรมากมายเหมือนคนอื่นๆในมหาลัย ส่วนกระโปรงของฉันนั้นก็ชุดแสนจะแปลกแหวกแนวกว่าใครๆ เพราะฉันสวมกระโปรงทรงพลีทจีบบานเลยเข่าไปประมาณสองเซนติเมตร
ส่วนรองเท้านั้นเป็นร้องเท้าผ้าใบสีขาวธรรมดาๆทั่วๆไป มันเลยทำให้คนในมหาลัยมักจะมองนิสัยฉันจากการแต่งตัว คิดว่าฉันนั้นใสซื่อและน่ารัก ไม่ใช่ผู้หญิงเปรี้ยว แซ่บ แต่งตัวจัดจ้าน
ฉันเดินมาจนถึงหน้าบ้านของตัวเอง พร้อมกับล็อคกุญแจประตูรั้วบ้านให้เรียบร้อย ก่อนจะพยายามมองหารถแท็กซี่บริเวณนี้ แต่ก็ไม่พบเลยสักคัน
เมื่อเห็นดังนั้นฉันจึงใช้ขาทั้งสองข้างเดินไปเรื่อยๆจนไปถึงปากซอยหมู่บ้านที่ที่ควรจะมีรถแท็กซี่ขับผ่าน แต่แล้วฝันของฉันก็ต้องสลายไปในพริบตา ฉันใช้สายตาทั้งสองคู่สอดส่องไปยังบริเวณแถวๆนี้ ตอนนี้หน้าปากซอยบ้านฉันนั้นเงียบกริบไร้ร่องรอยของการมีรถขับผ่านไปผ่านมา ฉันจะทำยังไงดีละทีนี้
อ๊ะ! ฉันคิดอะไรออกแล้ว
“โทรหายัยมิวสิคดีกว่า เผื่อยัยนั้นจะมารับฉันได้!” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉันก็รีบหยิบไอโฟนหกในกระเป๋าสะพายข้างออกมาทันที ก่อนจะปลดล็อคหน้าจอด้วยลายนิ้วมือ แล้วเลื่อนหาเบอร์ยัยมิวสิค
“อ้าว เธอคนข้างบ้าน มัวทำอะไรอยู่นะ”
“ห๊ะ! นะ...นาย ไม่ทันที่ฉันจะได้กดโทรหาเบอร์เพื่อนรัก ฉันถึงกับต้องเผลอตะโกนออกไปด้วยความตกใจ นัยน์ตาหวานทั้งสองคู่เบิกกว้าง จู่ๆก็มีรถยนต์คันหรูราคาเหยียบล้านขับออกมาจากซอยบ้านของฉัน และแล้วรถคนนั้นก็มาหยุดจอดอยู่ข้างๆฟุตบาทที่ฉันยืนอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจกว่านั้นก็คือคนขับนั้นเป็นกันต์ แถมยังมาทักทายฉันอีกด้วย
“เธอแต่งชุดนักศึกษา กำลังจะไปเรียนเหรอ” เขาเลื่อนกระจกรถให้ต่ำลงเล็กน้อย ก่อนจะถามฉันด้วยคำถาม
“ใช่ ฉันกำลังจะไปเรียน” ฉันพยักหน้า พยายามตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติที่สุด ไม่เขอะเขินใดๆทั้งสิ้น
“ไปเรียน ไหนรถ?” เขาถามออกมา พร้อมกับใบหน้าที่ตอนนี้คิ้วขมวดกันจนยุ่งเหยิง
“อ่อ พอดีรถฉันเสียนะ ว่าจะออกมาเรียกรถแท็กซี่แถวหน้าปากซอย แต่ไม่มีสักคนเลยอ่ะ” ฉันฝืนยิ้มปนหัวเราะ สงสัยวันนี้คงจะไม่ได้เข้าเรียนแล้วมั้ง ไม่มีรถแท็กซี่สักคันผ่านมาบ้างเลย
“มาขึ้นรถฉันสิ ไหนๆเราก็เรียนมหาลัยเดียวกัน” เขาเอ่ยชวน พร้อมกับยิ้มบางๆอย่างไม่รังเกียจที่จะให้ฉันติดรถไปด้วย ฉะ...ฉันชอบรอยยิ้มนั้นจัง
“อ่ะ...เอ่อ ไม่ดีกว่า ฉันเกรงใจนะ” ฉันกล่าวออกไปตามมารยาท ก่อนสายตาจะเหลือบมองไปเห็นคนที่นั่งข้างหน้าอีกฝั่งทางด้านคนขับ
“อีกอย่าง นายมีคนนั่งไปแล้วด้วย ฉันไม่รบกวนดีกว่า” ถึงฉันจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ก็อยากนั่งรถไปกับเขาสุดๆเลย แต่ว่าคนที่นั่งกับเขา นั่นมันเด็กผู้ชายไม่ใช่เหรอ
“คนนี้นะเหรอ น้องชายฉันเอง” เขาพูดก่อนจะใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางน้องชายที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในโทรศัพท์
“ขึ้นมาเถอะ เร็วๆเลย ถ้าไม่อยากสาย วันนี้ฉันมีเรียนเช้าด้วย” เขาพูดอย่างเร่งๆแกมบังคับให้ฉันรีบขึ้นมานั่งบนรถของเขา
“งั้นฉันไปด้วยก็ได้ ขอบคุณนะ!” ฉันรีบเดินมาและใช้มือเอื้อมไปเปิดประตูรถถัดจากประตูคนขับ ก่อนจะขึ้นไปนั่งอย่างสงบเสงี่ยม จากนั้นเขาก็ขับรถออกไป
บรรยากาศในรถค่อนข้างจะอึดอัดนิดหน่อย เพราะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นน้องชายของกันต์ เขาเอาแต่จองมองฉันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ฉันไม่ใช่ศัตรูของเขาสักหน่อย ทำไมต้องจ้องฉันเขม็งขนาดนั้น
“เธอชื่ออะไรนะ ฉันไม่เคยถามชื่อเธอมาก่อน ลืมซะสนิทเลย” จู่ๆกันต์ก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศภายในรถที่เงียบไปนาน
“ฉันชื่อ ต้นหอม” ฉันเอ่ยยิ้มๆ
“ชื่อน่ารักดีนะ” เขาพูดออกมาพร้อมกับสายตาที่ถอดมองไปตามท้องถนนหนทาง
“ชื่อเหมือนผัก ฉันเกลียดผักชนิดนี้ที่สุด” เด็กหนุ่มร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบหลังจากที่กดโทรศัพท์เล่นเกมเป็นเวลานาน ทำให้พี่ชายของเขาต้องหันมามองหน้าโดยทันที
“กานต์ เขาเป็นเพื่อนพี่ พูดให้ดีๆหน่อย” ร่างสูงผู้เป็นพี่ชายกล่าวตักเตือนคำพูดคำจาของน้องชายตัวเอง
“ครับๆ” ร่างบางกล่าวแบบขอไปที ก่อนจะใช้สายตาจ้องมองมาทางฉันอย่างสำรวจ
อะไรของเขากันนะ!?
“น้องกานต์มีอะไรเหรอคะ ถึงมองพี่แบบนั้น” ฉันกล่าวออกไปพร้อมกับยิ้มเจือนๆอย่างเป็นมิตร
“ … ” ร่างบางไม่สนใจคำพูดของฉัน ก่อนจะก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ต่อไปจนกระทั่งรถยนต์มาหยุดจอดที่โรงเรียนมัธยมเอกชนแห่งหนึ่ง ที่มีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายกำลังเดินเข้าโรงเรียนอย่างเร่งรีบ
‘พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย หยิ่งชะมัด! ฉันได้แต่พูดในใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา
“วันนี้พี่ไม่ต้องมารับนะ กลับเองได้” ร่างบางบอกกล่าวผู้เป็นพี่ ก่อนจะยกมือไหว้เป็นเชิงสวัสดี แล้วรีบเดินหายเข้าไปในโรงเรียนทันที
“น้องนายเรียนที่นี่เหรอ” ฉันเอ่ยถามออกไปให้คนที่ตอนนี้ขับรถอยู่ได้ยิน
“ใช่ ทำไมเหรอ?”
“ฉันก็เคยเรียนโรงเรียนนี้ก่อนจะมาขึ้นมหาลัยนะ” ฉันพูดไปยิ้มไปเมื่อระลึกถึงความหลังในวัยมัธยมที่แสนจะสนุกสนานที่สุดในช่วงชีวิต
“น้องนายเรียนอยู่ชั้นอะไรแล้วเหรอ ดูเป็นหนุ่มหล่อเชียว” ฉันถามออกไป พร้อมกับนึกถึงใบหน้าของกานต์ เขาทั้งหล่อและสูง คล้ายกับเด็กมหาลัยที่ใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลาย
“เรียนอยู่ม.ห้า อายุสิบเจ็ดแล้ว”
เราพูดคุยกันตามปกติเรื่อยๆ จนกระทั่งรถที่กันต์ขับสุดท้ายก็มาหยุดจอดลงที่โรงจอดรถของมหาลัย ฉันเอ่ยกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้งที่มาส่ง ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นตึกเรียนโดยทันที ในใจก็พลันคิดว่า
วันนี้ก็ไม่ใช่วันที่แย่เสมอไป ได้ใกล้ชิดกับกันต์ตลอดเวลาที่นั่งรถมาด้วยกัน
14 นาฬิกา
ได้เวลาเลิกเรียนวิชาทั้งหมดของวันนี้แล้ว เป็นวันที่เหนื่อยกว่าวันไหนๆ เพราะเรียนตั้งแต่คาบเช้าจนถึงบ่าย ฉันเดินออกมาจากตึกเรียนพร้อมกับเพื่อนสนิทของตัวเอง
“มิวสิค ฉันมีเรื่องให้แกช่วยอ่ะ” ในที่สุดฉันก็พูดออกไป ฉันคิดมานานตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะต้องพูดกับมิวสิคเรื่องนี้
“เรื่องอะไรเหรอ ?” มิวสิคหันหน้ามามองฉันก่อนจะทำสีหน้าที่ดูงุนงง
ฉันถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยประโยคที่สุดแสนจะน่าอายสำหรับฉัน
“ฉันอยากจีบผู้ชายที่ชื่อกันต์”
“ห๊ะ! ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม แกจะจีบผู้ชาย ?” มิวสิคร้องเสียงหลงอย่างไม่เชื่อในคำพูดของฉัน
“ใช่ ฉันหลงรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว”ฉันส่งสายตาอ้อนวอนให้กับมิวสิค ยัยนั่นต้องยอมช่วยฉันแน่ๆ!
มิวสิคเงียบไปสักพัก หัวสมองกำลังประมวลและไตร่ตรองพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่
“โอเคๆ ฉันจะช่วยแกเอง ฉันเพิ่งจะเคยเห็นแกอยากมีแฟนเป็นตัวเป็นตรครั้งแรก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง รับรอง แกจีบติดแน่ๆ!” มิวสิคขยิบตาข้างหนึ่งก่อนจะจับมือฉันให้เดินตามเขาไปที่รถของตัวเอง
‘ยัยต้นหอม เธอต้องพยายามจีบผู้ชายให้ได้นะโว๊ย!!’ ฉันพูดให้กำลังใจตัวเองในใจ