“ถึงคืนให้แม่คนนี้ก็ทิ้งลูกไปหาผู้ชายคนใหม่อยู่ดี น้ำหน้าอย่างนี้จะมีปัญญาเอาอะไรมาเลี้ยงลูกสอนลูก! ทางที่ดีบอกมาเลยดีกว่าว่าจะเอาเงินเท่าไหร่ สิบล้านพอไหม ฉันจะเซ็นเช็คให้แลกกับการไม่ต้องมายุ่งมาพบมาเจอลูกอีก! ฉันไม่ยากให้ลูกมีแม่แย่ๆ แบบเธอ!”
“แล้วคุณเป็นพ่อที่ดีนักหรือไง ฉันทำงานในบริษัทคุณตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้องจนแกคลอดออกมา คุณก็ยังโง่ไม่รู้ไม่สงสัยอะไรเลย เราสองคนมันก็แย่พอกันนั่นแหละ!”
“เฟื่องลดา!!” รณภพโกรธจัดแผดเสียงเรียกชื่อผู้หญิงกาฝาก สงครามย่อมๆ ในบ้านกำลังปะทุหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มสงบลงเมื่อมีน้ำเย็นไหลรินลงมาดับความร้อน คุณนายแขไขทนฟังเสียงทะเลาะกันของสองพ่อลูกไม่ได้จึงอุ้มหลานชายตัวน้อยออกมาข้างนอก
เด็กชายวัยหกเดือนหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มกำลังจะเคลิ้มหลับแต่ก็อยากตื่นดูโลกภายนอก มือเล็กไขว้คว้าไปหามารดาบังเกิดเกล้าเป็นปฏิกิริยาเล็กๆ ที่ทำให้ท่านเจ้าสัวแอบน้ำตาซึม เสียใจ และผิดหวังในตัวลูกชายว่าทำไมถึงทำกับเฟื่องลดาได้มากถึงขนาดนี้
“เฟื่อง มาหาลูกเร็ว ไม่ได้เจอลูกตั้งหลายวันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ขอบคุณค่ะคุณแข” คุณแม่ยังสาวน้ำตาคลอยกมือไหว้ท่านก่อนเข้ามาอุ้มลูก ตั้งแต่กลับจากเชียงใหม่ท่านทั้งสองพาหลานไปตรวจดีเอ็นเอซ้ำอีกรอบ หลังจากผลตรวจชัดเจนก็ทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลหลานแล้วพามาอยู่บ้านหลังนี้ ท่านบอกมาเยี่ยมได้ทุกวันจะมาค้างด้วยก็ได้แต่ทว่าลูกชายของท่านกลับกีดกันทุกช่องทาง ไม่ให้เจอที่บริษัท ไม่ให้มาที่บ้าน จะเจอได้ก็ต่อเมื่อไปอ้อนวอนรณภพถึงยอมเจียดเวลาพามาเจอลูกแค่สิบยี่สิบนาที
สัมผัสอ่อนนุ่มจากผิวพรรณของลูกน้อยเรียกน้ำตาให้ไหลลงอาบแก้ม เฟื่องลดากอดลูกให้แน่นมากขึ้นยกร่างของแกขึ้นมาหอมแก้ม คิดถึงลูกใจแทบขาด นอนร้องไห้ทุรนทุรายทุกคืน กลับไปทำงานที่บริษัทก็ไม่มีสมาธิถูกหัวหน้าด่าทุกวันจนท้อใจไม่อยากทำงาน ในหัวเฟื่องลดามีแค่เรื่องของลูก กลัวจะไม่ได้เจอ กลัวรณภพจะแย่งลูกไปจากอกตนเองตลอดกาล
“ยืนมองอะไรล่ะนงค์ ปักแจกันค้างไว้ไม่ใช่เหรอรีบทำต่อให้เสร็จสิ ส่วนยม เธอถือกระเป๋าคุณเฟื่องขึ้นไปข้างบนนะ ไม่ใช่ในเรือนคนใช้อย่ายกไปผิดที่” คุณนายปรายสายตามองไปทางแม่บ้านที่ซ่อนอยู่หลังลูกชาย อนงค์อายุอานามพอๆ กับตนเองมีนิสัยหยิ่งผยอง ดูถูกคนเก่ง ส่งต่อนิสัยไม่ดีหลายอย่างมาให้รณภพแต่จะไล่ออกก็ไม่ได้เพราะรณภพติดอนงค์มาก
อนงค์ทำเสียงฮึดฮัดขัดใจใส่คุณนายรีบสะบัดต้นคอใส่ กลับไปปักแจกันดอกไม้ต่อ ทว่าสายตาจิกกัดยังไม่ยอมละไปจากเฟื่องลดาเลยสักวินาที
“อย่าไปสนใจคนเฒ่าคนแก่เลยนะหนูเฟื่อง มาเหนื่อยๆ อุ้มลูกเข้ามาพักข้างใน ภพ ลูกเองก็มาด้วย หลานของแม่จะได้อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักที”
“คงไม่หรอกครับ ผมบังเอิญมีนัดกินข้าวกับน้องลี ขอตัวก่อนนะครับ” รณภพพูดพลางเดินเข้ามาหาเฟื่องลดา มองตาหล่อนด้วยความเกลียดชังก่อนจะก้มลงหอมแก้มลูก แววตาที่เขาใช้มองเด็กชายวัยหกเดือนไม่เชิงรักและไม่เชิงเกลียด นัยน์ตาสีดำคู่นั้นตวัดขึ้นมามองจ้องแม่ของลูก ก่อนจะเดินเร็วออกไปข้างนอกไม่สนใจจะฟังเสียงเรียกของใครทั้งนั้น
“ทุกข้อความ ทุกตัวอักษร ท่านเจ้าสัวแน่ใจแล้วเหรอครับว่าจะเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามนี้…”
ทนายปกรณ์ค่อนข้างตกใจ เอ่ยถามย้ำแม้จะมีเขียนข้อความกำกับไว้ว่าเจ้าของพินัยกรรมเขียนโดยมีสติสมบูรณ์ครบถ้วน ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองที่ท่านวิทยาเรียกตนเองเข้ามาพบถึงบ้านและจัดการเรื่องนี้ ในความเป็นจริงท่านไม่จำเป็นต้องทำเลยก็ได้เพราะมีผู้สืบทอดมรดกเพียงคนเดียวทว่าช่วงหนึ่งถึงสองเดือนมานี้มีเรื่องมากมายประเดประดังเข้ามา และท่านพบว่าตนเองได้กลายเป็นคุณปู่ของเด็กชายตัวน้อยไปแล้ว ไม่รู้ว่าท่านกลัวหลานชายจะถูกพ่อแท้ๆ ขับไล่หรือเปล่าทำไมถึงลงทุนทำพินัยกรรมฉบับใหม่ขึ้นมา
“ช่วยจัดการให้ทีนะ นี่คงเป็นการเขียนพินัยกรรมครั้งสุดท้ายของฉันแล้ว” อากาศในห้องทำงานมืดสลัวมีน้อยมาก ท่านวิทยาพยายามนั่งนิ่งๆ เพื่อจะใช้แรงให้น้อยที่สุด
“อย่าพูดอะไรเป็นลางอย่างนั้นสิครับ ท่านเจ้าสัวเพิ่งจะหกสิบกว่าๆ ยังสุขภาพแข็งแรงดีทุกประการ แต่ที่กังวลผมเกรงว่าถ้าคุณภพรู้เข้าเธออาจจะไม่พอใจได้นะครับ แม้ท่านจะไม่ได้ระบุว่ายกของมีค่าอะไรให้บ้างแต่ทุกข้อความระบุชัดเจนว่า…”
“ว่าอะไรก็ทำไปตามนั้นแหละ …เจ้าภพมันยังอ่อนหัดนัก”
ท้ายประโยคเสียงของท่านแผ่วเบายิ่งนัก มองผ่านโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ข้ามไปยังกรอบรูปครอบครัวเมื่อสมัย ‘รณภพ’ ยังเป็นเด็กชาย ลูกชายของท่านเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี ดีเกินไปจนบางครั้งก็ติดนิสัยดูถูกดูแคลนคนที่มีฐานะต่ำกว่าตน ข้อนี้จึงเป็นจุดด้อยจุดเดียวทว่าเป็นจุดสำคัญมากที่ทำให้ท่านไม่ตัดสินใจส่งต่อตำแหน่งผู้บริหารให้แม้สุขภาพของท่านจะย่ำแย่ลงทุกวัน
“ผมขอบคุณคุณปกรณ์มากนะ ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือด้านกฎหมายให้ครอบครัวผมมาโดยตลอด อนาคตเจ้าภพจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครองบ้าน ปกครองลูกน้องหลายร้อยในบริษัท จะไปรอดหรือเปล่าส่วนหนึ่งก็อยู่ที่คุณปกรณ์ว่าจะถอดใจจากคนหนุ่มเลือดร้อนหรือเปล่า”
“ไม่ถอดใจหรอกครับท่าน ผมเห็นคุณภพมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอเก่งกาจ ฉลาดเฉลียวมากยังไงก็สามารถดูแลทุกอย่างที่ท่านสร้างมาให้ใหญ่โตขึ้นได้”
“เจ้าภพมันเก่งก็จริง แต่ความเก่งอย่างเดียวไม่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ ก็ได้แต่หวังว่าความแข็งกระด้าง ความเจ้าชู้ ความไม่ดีต่างๆ จะลดลงหลังได้รู้ซึ้งถึงคำว่า ‘พ่อ’ คำว่าพ่อแม่ที่ดีคือบุคคลที่ยอมเสียสละเพื่อลูกในหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าหากแม้กระทั่งลูกตัวเองเจ้าภพยังไม่รักไม่ยอมรับ ก็ยากนะ… ที่จะกระโดดขึ้นมานั่งแท่นผู้บริหารให้คนหลายร้อยเคารพ”
“ผมมีโอกาสได้พบเจอหลานชายของท่านเจ้าสัวกับหนูเฟื่องลดาแล้วนะครับ ทั้งสองคนน่ารักมาก ผมเชื่อว่าคุณภพกับหนูคนนั้นจะเป็นพ่อกับแม่ที่ดีให้คุณหนูกัปตันได้”
“เป็นพ่อกับแม่ที่ดีแล้วจะเป็นสามีภรรยาที่ดีไหมนะ หรือจะแค่อยู่ด้วยกันเพราะลูก” และเป็นอีกครั้งที่ท่านวิทยาพูดแทรกขึ้นมาด้วยสายตาว่างเปล่าไร้ความคิดเห็นใดๆ ชายวัยกลางคนทั้งสองต่างหนักใจถึงปัญหาในอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกอย่างจะดำเนินไปในทิศทางไหนและเป็นอย่างไร ไม่มีใครสามารถทำนายล่วงหน้าทำได้แค่รอให้มันเกิดขึ้น