บทที่11
จูล่งวนเวียนอยู่ภายในจวนสกุลจูตั้งแต่กลับมาถึง หลังจากแจ้งข่าวเรื่องงานให้กับครอบครัวทราบแล้ว พรุ่งนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงฉลอง แต่ใจของเขานั้นกลับไปที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว
‘นางจะแต่งกับใคร’
เขาในตอนนี้แม้อายุจะถึงวัยแต่งงานแล้ว แต่บิดามารดาก็ไม่เคยบังคับ ของเพียงให้แต่กับคนที่รักก็เพียงพอจึงไม่เคยพูดหรือเร่งเร้าใดๆ
เคยคิดที่จะให้บิดาไปสู่ขอนาง แม้ว่าสกุลจูเป็นคหบดีร่ำรวยไม่น้อยหน้าผู้ใด แต่เท่าที่สืบมา จื่อเหลียงเจ้ากรมอารักษ์บิดาของจื่อรั่วต้องการให้นางแต่งกับขุนนางเพื่อเส้นสายในราชสำนัก อีกข้อคือตัวเขาเองยังไม่พร้อมจะดึงนางมาสู่ทางที่ไม่แน่นอน หากเขายังไม่สามารถกระชากคนผู้นั้นลงมาจากหอคองาช้างได้ เขาก็ไม่ควรจะดึงนางเข้ามาเสี่ยงกับอัตราย
ที่ผ่านมาเห็นจื่อเหลียงทิ้งขว้างนางไว้ฝูโจ ส่วนนางนั้นก็ไร้ซึ่งบุรุษข้างกาย เขาเลยคิดอ่านไปเองว่าวันที่ทำการสำเร็จจะไปสู่ของนาง และบิดานางจะไม่มีวันปฏิเสธเขาแน่นอน
แต่มันผิดพลาดไง ใคร ใครมันไปบังอาจไปสู่ขอนางตัดหน้าเขา
“องค์ ชะ… คุณชายจู ม้าเร็วจากเมืองหลวงขอรับ”
จูล่งหันขวับไปตามทิศทางของเสียงในเงามืด ขึงตามองคนที่เรียกตนเอง องค์รักษ์เงาแทบหาเสียงตนเองไม่เจอ เพราะมีหน้าที่อารักขาอยู่ไกลๆเท่านั้นไม่เคยเข้ามาใกล้ชิดขนาดนี้ นี้เป็นหนแรกที่ได้ถวายงานจคงเผลยหลุดปากเกือบเรียกฐานะที่แท้จริงของเจ้านายตน พอยื่นจดหมายให้ก็รีบกระโดดหายไปในเงามืดทันที
‘นางจะแต่งงานในอีก 5 วัน กับคุณชายซานซีหาว บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีฝ่ายซ้าย
เจ้าอย่ากังวลใจไปข้าไม่ทำให้เจ้ผิดหวัง ข้ากับนางตอนนี้เป็นสหายกัน นางแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการแต่งงาน และข้ากับลูกน้องของเจ้าจะช่วยให้นางสมปรารถนา
ข้าเป็นสหายที่ดีขนาดนี้หวังว่าเจ้ากลับบ้านครั้งนี้จะเลียบๆเคียงเรื่องของข้าให้น้องสาวของเจ้าฟังบ้าง
หลิวเสวี่ยอวี้’
“เฮอะ” จูล่งแค่นขำ รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก 2วันนี้มานี้เขาเครียดยิ่งกว่าตอนเตรียมตัวสอบเข้าสังกัดองครักษ์ในวังหลวงเสียอีก แต่หากหลิวเสวี่ยอวี้บอกจะจัดการให้เขาก็เบาใจ แต่น่ะ ไอ้เพื่อนคนนี้มันทำดีหวังน้องสาวเขาทำไมเขาจะไม่รู้
“พี่ใหญ่ท่านเผาอะไร” เสียงดรุณีน้อย แว่วดังมาก่อนตัว
แม้ใจความในจดหมายจะไม่ใช่ความลับแต่จูล่งก็โยนกระดาษลงในเตาให้ความร้อนจากถ่านเผาไหม้กระดาษเป็นจุล ก่อนจะหยิบจอกรินน้ำชาให้ผู้มาใหม่ มือหนาตบแปะๆที่เก้าอี้ตัวใกล้ ให้น้อยน้องนั่งลงเคียงข้าง
“เจ้ามาเงียบเชียบ สมกับที่พี่สอนเจ้าเองกับมือ” จูล่งยื่นจอกน้ำชาให้น้องห้าจูไป๋เสวี่ย น้องสุดท้องผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคนทั้งสกุลจู
“ใช่ไหม ข้าเก่งขึ้นใช่ไหม ใช้วิชาตัวเบาแอบเข้ามาขนาดองครักษ์เกราะทองอย่างพี่ใหญ่ยังไม่รู้ตัว” จูไปเสวี่ยหัวเราะคิกคัก รู้สึกภูมิใจกับฝึกมิอของตนไม่น้อย
คุณชายใหญ่ยกมือหนาลูบศีรษะน้องน้อยแผวเบา
“น้องห้า พี่อยากถามเข้าอีกครั้งเจ้าอยากไปอยู่ในวังหรือไม่”
คนตัวเล็กเพียงยิ้มบางเปล่งเสียงนุ่มละมุนเสนาะหูเฉกเช่นทุกครั้ง
“ข้ายืนยันคำเดิมขอเลือกอยู่กับท่านพ่อและท่านแม่ใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไป”
แม้ไม่รู้ว่าความหมายที่แท้จริงว่าพี่ใหญ่ถามคำถามเล่านี้หลายครั้งหลายหนเพื่อการใด แต่จูไปเสวี่ยก็เพียงยิ้มรับและตอบกลับเหมือนทุกครั้ง ชีวิตในวังนางไม่ของย่างกลายเข้าไปพบพานมันอีกแล้ว ชาติเดียวก็เกิดพอแล้ว ในเมื่อชาตินี้มีโอกาสได้เลือกเหตุใดนางจะเลือกกลับไปตกนรกหลังกำแพงวังนั้นอีกกันเล่า
“ดึกแล้วเจ้ากลับเรือนนอนเถอะ พี่จะเข้านอน”
จูล่งเดินออกมาส่งน้องห้าที่หน้าเรือนนอน มองร่างบางเดินไกลออดไปจนหลับตา เขายังจำครั้งแรกที่เอ่ยถามนางได้ดี ตอนที่ตัวเขานั้นรู้ฐานะที่แท้จริงของตนเองและคนในครอบครัว
‘น้องห้าหากเลือกได้ระหว่างเป็นองค์หญิงแต่งตัวสวยๆ อยู่ภายในวัง กับเป็นหญิงสาวชาวบ้าน เจ้าจะเลือกอะไร’ จูล่งในวัย 15 เอ่ยถามน้องสาววัย 10 ขวบ เขาคิดว่าเด็กอายุเท่านี้ต้องตอบว่าอยากแต่งตัวสวยๆ อยู่อย่างหรูหรา
‘ข้าขอเลือกอยู่กับท่านพ่อและท่านแม่ใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไป’
นั้นเองที่เขาตัดสินใจที่จะหันหลังให้วังหลวง ตอนนั้นแม้สกุลเจียวจะรับปากว่าจะหนุนเขาขึ้นเป็นฮองเต้ แค่ตัวสกุลเจียวยังเอาตัวแทบไม่รอด แล้วจะมาหนุนอะไรเขาได้ หากเขาอยากได้บัลลังก์ ทุกคนภายสกุลจูย่อมอยู่อย่างไม่สงบสุข
แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด คือวันที่เขาเจอกับหลิวเสวี่ยอวี้ที่โรงหมอ เขาอาสาพาหลิวเสวี่ยอวี้ไปส่งที่แคว้นฉู่ จึงได้รับรู้ความจริงว่า ฮองเต้หลงกำลังจะก่อสงครามกับแคว้นฉู่ หากเกิดสงครามผู้คนย่อมล้มตายมากมาย คนที่เดือดร้อนมากที่สุดคือชาวบ้าน หากแพ้สงครามย่อมถูกเกณฑ์ไปเป็นทาส หยิ่งตู่อยู่ติดชายแดนย่อมถูกโจมตีก่อนใคร ครอบครัวของเขาทั้งหมดคงไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข อำนาจเท่านั้นที่จะปกป้องคนที่เขารักเอาไว้ได้ จูล่งจึงเลือกเดินทางที่อัตราย แต่ตัวเขานั้นไม่ได้คิดการเพียงคนเดียว ยังมีสหายต่างแค้วน และสกุลเจียวหนุนหลังในเงามืด และสิ่งที่จำทำให้บรรลุเป้าหมายคือการอยู่ให้ใกล้กับศัตรูมากที่สุด และตอนนี้เขาทำได้แล้ว เรียกว่ายืนหายใจรดต้นคอคนผู้นั้นก็ว่าได้