แล้วเช้าวันที่หลีเริ่นหรานรอคอยก็มาถึง หญิงสาวในร่างเด็กตื่นขึ้นมาเตรียมตัวขึ้นเขาตั้งแต่ยามเหม่า* ก่อนจะเดินออกไปเคาะประตูห้องข้างเรียกผู้เป็นพี่ชายเสียงใส
“ท่านพี่สาม ท่านตื่นหรือยัง”
“ข้าตื่นแล้ว” เสียงของคนในห้องตอบออกมาพร้อมกับเดินมาเปิดประตูให้น้องสาว “หรานเอ๋อร์ เจ้าไม่ควรเดินออกมาจากห้องเช่นนี้”
หลีเฉิงปิดประตูแล้วบ่นน้องน้อยเบาๆ แม้จะเป็นยามเหม่าแต่ฟ้าก็ยังไม่สว่าง นับว่ายังอันตรายอยู่แม้จะอยู่ในบ้านตัวเองก็ตาม และถึงห้องติดกันก็ไม่อาจวางใจ
“ข้าเดินมาหาพี่สามอย่างไรเจ้าคะ แล้วนี่เราออกไปหาท่านพ่อกับพี่ใหญ่ได้หรือยัง แล้วเราจะออกเดินทางกันตอนไหนเจ้าคะ”
หลีเฉิงส่ายหน้าน้อยๆ น้องสาวเขานั้นช่างตื่นเต้นยิ่งนัก เหมือนเขาในตอนแรกๆ ไม่มีผิด
“ป่านนี้ท่านแม่คงจะเตรียมเสบียงไว้ให้พวกเราเสร็จแล้ว อย่างนั้นพวกเราไปที่เรือนใหญ่กันเถอะ” พูดจบหลีเฉิงก็จูงมือน้องสาวออกจากห้องไปหาบิดามารดาและพี่ใหญ่
กระทั่งปลายยามเหม่าเมื่อคนพร้อม เสบียงพร้อม สี่ชีวิตก็ออกเดินทางขึ้นเขาในทันที เริ่นหรานตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ โผล่พ้นขอบฟ้าด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก ทั้งภูมิทัศน์สองข้างทางก็ดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี หรานเอ๋อร์น้อยจึงไม่ได้แสดงความงอแงออกมาเมื่อต้องเดินทางไกลเกือบสองลี้ด้วยตัวเอง ทั้งยังไม่เรียกร้องให้ใครอุ้ม ต่างจากเมื่อก่อนหน้า ทุกครั้งที่ออกจากจวนคุณหนูน้อยจะต้องร้องโวยวายบ่นว่าเมื่อย ทั้งที่ยังเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งลี้
“ท่านพ่อ! ดวงอาทิตย์ยามนี้สวยจังเจ้าค่ะ ไม่ร้อนด้วย” หลีเริ่นหรานเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี ดวงตากลมใสมองรอบข้างด้วยความตื่นเต้น
“เดินระวังด้วยหรานเอ๋อร์ มัวแต่ชื่นชอบบรรยากาศจนลืมมองทาง เจ้าจะสะดุดรากไม้หกล้มเอาได้” หลีหลุนเอ่ยเตือนน้องน้อยยิ้มๆ
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
ลลิลรับคำ ก่อนจะสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด ชาติที่แล้วเธอจำได้ว่ามีป่าที่อุดมสมบูรณ์แบบนี้เหลืออยู่น้อยมาก ฉะนั้นเมื่อได้มาอยู่ในสถานที่ที่มีออกซิเจนบริสุทธิ์เช่นนี้เธอก็จะกอบโกยเอามันเข้าปอดไปให้มากที่สุด
“เอ๊ะ! นั่นอะไรเจ้าคะพี่ใหญ่” มือน้อยๆ ชี้ไปที่ต้นไม้พุ่มเตี้ยต้นหนึ่งที่ส่องแสงเปล่งประกายราวแข่งกับแสงอาทิตย์ในยามเฉิน
“อืม...พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าอยากได้รึ?” หลีหลุนเอ่ยถามเพราะเขาเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่ง เพราะเป็นไม้พุ่มเตี้ย ทั้งยังมีดอกสีเหลืองอ่อนดึงดูดสายตา
“มันคือสมุนไพรหรือไม่เจ้าคะพี่ใหญ่” เริ่นหรานเอ่ยถามพี่ชาย หากว่ามันเป็นสมุนไพรก็ควรเก็บกลับไป แต่หากว่ามันเป็นเพียงดอกไม้ป่าที่ไม่มีคุณประโยชน์อันใด ก็ควรปล่อยให้มันชูช่อเบ่งบานงดงามเช่นนี้ต่อไป
“พี่ก็ไม่แน่ใจ พี่ก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกพร้อมๆกับเจ้า”
หลีหลุนตอบน้องสาวตามตรง เรื่องจดจำสมุนไพรนั้นเขาสู้น้องชายอย่างหลีหยางไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เขาจะมองหาพวกหัวมันป่า เผือกป่า และสนใจการดักสัตว์เสียมากกว่าการมองหาสมุนไพร อีกทั้งสมุนไพรส่วนใหญ่ที่เก็บได้ น้องชายก็จะเป็นผู้บอกและชี้นำว่าหากพบครั้งหน้าก็ให้เก็บได้
หลีเริ่นหรานพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พุ่มดอกไม้สีเหลืองอ่อนดังกล่าว แม้จะไม่มีความรู้ด้านสมุนไพร แต่นางก็รู้ดีว่าไมควรแตะต้องหรือสูดดมอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคือต้นอะไร แต่ดอกของเจ้าสวยงามนัก เช่นนั้นเจ้าก็เบ่งบานงดงามอยู่ที่เดิมเถิด ข้าจะไม่เด็ดเจ้า”
เสียงใสเอ่ยกับพุ่มไม้ก่อนจะทิ้งให้มันอยู่เบื้องหลัง แล้วเร่งเดินไปตามทางข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น วันนี้นางจะต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านไปให้พี่รองของนางดู
เวลาล่วงเลยถึงยามอู่สี่ชีวิตจึงได้หาที่พักริมธารน้ำ หลีเริ่นหรานชะโงกหน้ามองเงาตัวเองในน้ำก่อนจะยิ้มกว้างออกมา นางเพิ่งรู้ว่าหน้าตาตัวเองเป็นเช่นไรก็ตอนนี้เอง เพราะที่บ้านนั้นไม่มีกระจกเงาให้ส่อง กระจกทองเหลืองที่เธอเคยเห็นในละครจีนโบราณก็ไม่มี
หญิงสาวในร่างเด็กน้อยจึงได้แต่หันซ้ายแลขวาอยู่ตรงธารน้ำนานเป็นเค่อ เดือดร้อนหลีเฉิงเดินมาดูว่าน้องสาวตนนั้นทำอะไรอยู่นานสองนาน
“หรานเอ๋อร์ ทำอันใดอยู่รึ?”
“พี่สาม ข้าดูหน้าตัวเองในน้ำอยู่เจ้าค่ะ” เอ่ยตอบพี่ชายทว่าเริ่นหรานก็ยังส่องหน้าตัวเองอยู่อย่างนั้น พลางคิดไปว่าน้ำนี่ใสนัก มองเห็นหน้านางชัดแจ๋ว
“หน้าเจ้ามีอะไรติดอยู่รึ มาๆ พี่ดูให้” พูดจบก็เดินเข้าไปหาน้องสาว ก่อนจะจับใบหน้ากลมๆ หันซ้ายหันขวาไปมา “ก็ไม่มีอะไรติดหน้าเจ้านะ”
“มีสิเจ้าคะ” คนเป็นพี่ทำหน้างง ก็เขาดูละเอียดแล้วว่าใบหน้าน้องน้อยไม่มีอะไรติดอยู่ แล้วนางจะยังบอกว่ามีได้อย่างไร
“ไม่มี พี่ไม่เห็นมีอะไรติดหน้าเจ้า”
“ความงามอย่างไรเล่าเจ้าคะพี่สาม ความงามติดหน้าข้า” พูดจบร่างเล็กก็หัวเราะคิก ก่อนจะเห็นพี่ชายส่ายหน้าให้
“หรานเอ๋อร์ของพี่งดงามอยู่แล้ว ไปเถอะไปกินอะไรรองท้องเสีย เรายังต้องเดินเข้าไปในป่าลึกอีกหน่อย ท่านพ่อกับพี่ใหญ่บอกว่าละแวกนี้ไม่ค่อยมีสมุนอยู่แล้ว”
เพราะมีคนขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรมากและถี่ขึ้น สมุนไพรในป่าชั้นนอกของภูเขาลูกนี้จึงร่อยหรอ มีไม่มากนัก อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรธรรมดาหาได้ห้าจินก็ได้เงินไม่ถึงห้าอีแปะ แต่หากอยากจะได้เงินเยอะๆ ก็ต้องเก็บสุมนไพรหายากให้ได้
หลังจากพักเอาแรงแล้วสี่ชีวิตก็เดินขึ้นเขาไปอีก ตลอดทางเริ่นหรานนั้นไม่ได้บ่นว่าเหนื่อยเลยแม้แต่คำเดียว แต่กลับรู้สนุกในการวิ่งเก็บต้นนั้นต้นนี้มาให้บิดาและพี่ชายดู ว่ามันใช่สมุนไพรที่ขายได้บ้างหรือไม่ ทว่าต้นไม้ใบหญ้าส่วนใหญ่ที่นางเก็บมานั้นเป็นต้นหญ้าเสียมากกว่าสมุนไพร
และในขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ เด็ดต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งอยู่ สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นวัตถุสีสำก้อนหนึ่งปรากฏอยู่ไม่ไกลจากจุดที่นางยืนอยู่นัก ด้วยความสงสัยหลีเริ่นหรานจึงใช้ขาสั้นป้อมของตัวเองก้าวเข้าไปดูด้วยอาการกล้าๆ กลัวๆ
นก?.....นกอินทรี!
เด็กน้อยเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น เมื่อวัตถุสีดำที่อยู่หน้าแท้จริงแล้วคือนกอินทรีดำตัวใหญ่ เกิดมากว่าสองชาติก็เพิ่งเคยเห็นนกอินทรีของจริงก็วันนี้ นอกจากจะตัวใหญ่แล้ว ขนสีดำของมันยังเลื่อมพราวระยับยามต้องแสงแดด มองดูแล้วคล้ายอัญมณีสีดำที่เคยเห็นในชาติก่อนไม่ผิด
แล้วเหตุใดพญานกตัวใหญ่ถึงได้มานอนหมดสง่าราศีอยู่ตรงนี้เล่า?