บทที่ 1 ดวงวิญญาณที่ปรโลกไม่ต้องการ 2

2268 คำ
แต่กลับเป็นเทพเซียนคนหนึ่ง แต่เป็นใคร ชื่ออะไร มีที่มาที่ไปอย่างนั้น ตอนนี้เธอยังไม่สามารถคาดเดาหรือนึกได้ เพราะแค่เธอเริ่มนึกถึงเรื่องนั้น อาการปวดหัวรุนแรงก็จะกำเริบขึ้นมาทันที “ซี๊ด!” หลีเริ่นหรานซู้ดปาก เพราะเผลอคิดเรื่องที่ตนเป็นใครอีกแล้ว จึงถูกอาการปวดหัวโจมตี “หรานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร?” ไป๋ฮวาเอ่ยถามบุตรสาวในอ้อมกอดอย่างร้อนรน “ลูก...ลูกแค่รู้สึกปวดหัวเจ้าค่ะท่านแม่” ลลิลในร่างหลีเริ่นหรานเอ่ยตอบ นี่ก็เป็นอีกเหตุผล ที่เธอเชื่อว่าตัวเองย้อนกลับมาเกิดอีกครั้งจริงๆ ทั้งยังทำให้สมมุติฐานที่เธอตั้งไว้ว่าตัวเองอาจเป็นเทพเซียนมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นเรื่องจริง เพราะขนาดภาษาจีนโบราณที่เธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อนสักครั้งในชีวิต เธอยังสามารถพูดและฟังเข้าใจได้อย่างดี เหมือนเป็นเจ้าของภาษาเองก็ไม่ปาน “ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าเจ้าพาลูกไปนอนเถอะฮูหยิน แล้วพรุ่งนี้พี่จะให้ท่านหมอมาตรวจดูหรานเอ๋อร์” “เจ้าค่ะท่านพี่” ไป๋ฮวารับคำ ก่อนจะอุ้มพาร่างบุตรสาวไปนอนที่ห้อง “ข้าไปส่งน้องสาวเข้านอนด้วยขอรับ” หลีเฉิงเอ่ยขึ้นแล้วเดินตามมารดาไป เมื่อมารดาและน้องชายน้องสาวเดินออกไปพ้นเรือนรับรอง หลีหลุนจึงได้หันมาทางบิดาที่นั่งตีสีหน้าเครียดอยู่ “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้ากับอาหยางจะขึ้นไปเก็บของป่ามาขาย ท่านอย่าได้กังวลเรื่องค่าหมอเลยขอรับ” “ใช่ขอรับท่านพ่อ” หลีหยางรับคำพี่ชาย หลีหยุนมองลูกชายคนโตและคนรองด้วยสายตาพร่ามัว เพราะน้ำใสๆ เอ่อล้นมารวมตัวกันอยู่ที่ขอบตาปริ่มจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ นี่หรือที่เขาเรียกว่ามีบุตรกตัญญูนับเป็นโชคยิ่งกว่าได้ทอง บุตรชายทั้งสองเขานั้นนับว่าช่วยแบ่งเบาภาระได้มากโขที่เดียว เห็นอย่างนี้เขาเองก็ยิ่งสงสาร ทั้งหลีหลุนและหลีหยางควรจะได้มีอนาคตที่ดีกว่านี้ “พ่อขอบใจเจ้าทั้งสองมาก” หลังจากฟื้นคืนสติมาได้ราวเมื่อสิบกว่าวันก่อน ลลิลก็ทำความเข้าใจและทำใจกับเหตุการณ์และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ เธอทำใจและยอมรับได้ถึงการต้องใช้ชีวิตอย่างสามัญชนคนธรรมดา หาใช่บุตรตรีของขุนนางชั้นสูงอย่างที่เห็นในภาพจำของร่างนี้ไม่ ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอรู้สึกสงสารครอบครัวสกุลหลีนี้มาก ที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกร้าย ถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสีจนต้องรับโทษ ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหลีสายตรงต้องนั้นต้องแปดเปื้อนและอับอาย เพียงเพื่อไม่ยอมก้มหัวให้พวกขุนนางกังฉินดึงไปเป็นพวก “ฮึ่ย!” ร่างน้อยขบเขี้ยวเคี่ยวฟันอยู่คนเดียว ขณะที่กำลังนั่งเล่นอยู่หน้าเรือน เพราะชาติก่อนเธอมีอาชีพเป็นปลัดอำเภอหญิง ที่ต้องฝันฝ่าอุปสรรคไม่น้อยกว่าจะเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชนและอำเภอที่ได้รับการบรรจุ เมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่เป็นธรรมต่อครอบครัว เธอจึงรู้สึกคับแค้นใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เพราะชาติก่อนเป็นเด็กกำพร้าและได้ผู้ใจบุญอุปถัมภ์ แม้จะได้รับความรักและความอบอุ่นทดแทนที่เคยขาดหายไป ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เธอลืมเลือนความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวที่เคยได้รับ และในเมื่อชาตินี้เธอได้เกิดมาอีกครั้ง ในครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งพ่อแม่และพี่ชายอีกสามคน เธอจึงอดที่จะดีใจและรู้สึกผูกพันกับพวกเขาไม่ได้ และอดที่จะเคียดแค้นคนเล่านั้นที่ทำร้ายครอบครัวตนเองไม่ได้เช่นกัน! ทว่าตอนนี้เธอเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยวัยห้าขวบ จะเอาความสามารถที่ไหนไปแก้แค้นคนเหล่านั้น ลำพังแค่อาบน้ำในถังที่สูงกว่าตัวเองสามฉื่อให้ปลอดภัยยังเป็นเรื่องยาก แล้วนับประสาอะไรกับการแก้แค้น “เฮ้อ!..” คิดไปคิดมาหญิงสาวในร่างเด็กน้อยก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วนี่เธอจะทำอะไรเพื่อเป็นการช่วยเหลือครอบครัวได้ ลำพังท่านพ่อพี่ชายทั้งสามที่เข้าป่าหาสุมนไพรของป่ามาขายทุกวัน เท่านั้นคงไม่พอประทังหกชีวิตให้อยู่ได้อย่างสุขสบายแน่ อีกทั้งพวกเขาคงทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ที่เมื่อก่อนเคยมีชีวิตสุขสบาย เป็นคุณชายเป็นนายท่านมีหน้ามีตา แต่กลับต้องกลายมาเป็นคนหาของป่าเพื่อเลี้ยงชีพเช่นนี้ “ท่านพ่อ! พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม” เริ่นหรานเอ่ยเรียกเมื่อเห็นว่าคนทั้งสี่กำลังเดินเข้าบ้านมา “หรานเอ๋อร์” หลีหยุนเรียกบุตรสาวเสียงอ่อน เมื่อได้เห็นใบหน้าบุตรสาว ความเหนื่อยยากที่พบมาก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น ร่างสูงของหลีหยุนจึงอุ้มบุตรสาวตัวน้อยขึ้นมา ทว่ามือใหญ่กลับต้องชะงัก เมื่อลูกสาวตัวน้อยไม่ยอมให้เขาอุ้ม อีกทั้งยังเดินถอยห่างออกไป “ท่านพ่ออย่าอุ้มหรานเอ๋อร์เลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อขึ้นเขาไปหาของป่ามาก็เหนื่อยแล้ว” หญิงสาวในร่างเด็กยิ้มเเฉ่งเอาใจ พร้อมกับก้าวเดินเข้าไปตรงหน้าผู้เป็นพ่อ “ส่งกระบุงมาเถิดเจ้าค่ะ หรานเอ๋อร์จะช่วยถือ” เด็กน้อยกล่าวด้วยความมุ่งมั่น เธอลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าตนเองนั้นตัวเล็กบอบบาง และกระบุงที่บิดาแบกอยู่ที่หลังนั้นใบใหญ่กว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำ ทั้งพ่อและพี่ชายได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะในความมีน้ำใจของน้องสาว ทว่าร่างเล็กบอบบางอย่างนางคงไม่อาจถือกระบุงที่เต็มไปด้วยหัวมันป่าได้ “มิเป็นไร พ่อไม่เหนื่อย เจ้าอย่าห่วงไปเลยหรานเอ๋อร์น้อย” หลีหยุนเอ่ยกับบุตรสาวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะอุ้มร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด แล้วเดินเข้าไปภายในบ้านหลังเล็ก “ท่านพ่อ” เสียงเล็กเอ่ยเรียกผู้เป็นบิดา ในขณะที่กำลังล้อมวงกันทานมื้อเย็นที่ประกอบไปด้วยซุปที่ทำจากสมุนไพรที่เก็บมาได้ เคี่ยวรวมกับเนื้อไก่ป่าที่เขาเพิ่งดักได้เมื่อวันก่อน และผัดผักกับแป้งย่างคนละแผ่น แม้ว่าอาหารตรงหน้าจะสู้อาหารเลิศรสที่เคยกินไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถึงความขมขื่นนั้นออกมา แม้แต่หลีเฉิงที่ได้ชื่อว่าเป็นเด็กกินยากและเลือกกินที่สุดในบรรดาพี่น้อง “ว่าอย่างไรหรานเอ๋อร์ของพ่อ” “เหตุใดท่านพ่อจึงไม่รับสอนหนังสือแลกกับเงินละเจ้าคะ?” หญิงสาวในร่างเด็กถามด้วยความสงสัย ในเมื่อพ่อของเธอเคยเป็นขุนนางชั้นสูง แน่นอนว่าต้องรู้หนังสือและคิดคำนวณเป็น แล้วทำไมไม่เอาความรู้เหล่านั้นมาทำมาหากินละ ดีกว่าต้องขึ้นเขาไปหาของป่าเป็นไหนๆ หลีหยุนระบายยิ้มอ่อนๆ อย่างโล่งใจ เขานึกว่าบุตรสาวจะถามว่าเหตุใดบนโต๊ะจึงไม่มีเสี่ยวหลงเปาของโปรดนางเสียอีก “หรานเอ๋อร์ เมืองที่เรามาอยู่นี้กันดารยิ่งนัก ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในการหาอาหารเพื่อให้ตนเองและครอบครัวอิ่มท้อง มากกว่าจะเอาเวลามาร่ำเรียนหนังสือ อีกทั้งไม่รู้ว่าร่ำเรียนไปแล้วจะเอาความรู้ที่ได้ไปใช้ทำมาหากินเช่นไร ซึ่งนับว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า สู้เอาเวลาวันหนึ่งๆ ไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรไปขายได้เงินมาเสียจะดูมีค่ามากกว่าการเรียนหนังสือ” หลีหยุนอธิบายบุตรสาวอย่างใจเย็น เดือนแรกๆ ที่เขามาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเฉียวเฮยเมืองเซียงอู่ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นตงฟู่แห่งนี้ เขาเองก็มีความคิดจะเปิดสอนหนังสือเช่นที่บุตรสาวสงสัย ทว่าเมื่อได้เดินดูรอบหมู่บ้านเฉียวเฮย รวมถึงหมู่บ้านใกล้เคียงที่อยู่ห่างออกไปประมาณสี่ลี้แล้ว เขาก็ต้องเก็บความคิดนั้นไป ลำพังหากินให้อิ่มท้องยังว่ายากแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องเรียนหนังสือ อีกอย่างคือพวกเขาก็คงไม่ยอมเสียเงินที่หามาอย่างยากลำบาก เพื่อจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนแม้แต่อีแปะเดียวอย่างนอน ดีอย่างที่พื้นที่ในเมืองเซียงอู่แห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ทั้งป่าไม้ แหล่งน้ำก็ยังอุดมสมบูรณ์ การหาของป่าและการทำการเกษตรเล็กน้อยจึงพอช่วยให้คนเมืองนี้อยู่รอดได้บ้าง “เช่นนั้น...เหตุใดท่านพ่อยังให้หรานเอ๋อร์เรียนหนังสือละเจ้าคะ?” เด็กน้อยเอ่ยถามตาแป๋ว เพราะวิญญาณสาวที่สิงสู่อยู่ในร่างนี้นั้นเรียนมามากพอแล้ว เธอจึงคิดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องเรียนอีก ไหนจะภาษาจีนโบราณที่เธออ่านได้แทบทุกคำนั่นอีก “ให้หรานเอ๋อร์ไปหาของป่ามาขายด้วยนะเจ้าคะท่านพ่อ เราจะได้มีเงินเยอะๆดังเช่นเมื่อก่อน” แม้คำพูดของหลีเริ่นหรานจะทำให้คนฟังรู้สึกสลด แต่คนพูดกลับมีประกายในดวงตาใสแจ๋ว ไม่รู้สึกโศกเศร้าเลยแม้แต่น้อย “หรานเอ๋อร์...” “นะเจ้าคะท่านพ่อ หรานเอ๋อร์อยากไปช่วยท่านพ่อและพี่ๆ หาของป่า ในเมื่อปากท้องสำคัญกว่าการเรียน หรานเอ๋อร์ก็อยากจะช่วยทุกคนให้เหนื่อยน้อยลง” พ่อแม่และพี่ชายต่างมองก้อนแป้งน้อยของพวกเขาด้วยแววตาคาดไม่ถึง ที่ผ่านมานั้นแม้ว่าหลีเริ่นหรานจะเป็นเด็กดีและเชื่อฟังพ่อแม่ ทว่าความเป็นลูกคุณหนูและลูกสาวเพียงคนเดียวก็ทำให้หลีเริ่นหรานมีความเอาแต่ใจและเกียจคร้านแฝงอยู่ ก่อนหน้านี้ตอนที่หลีเริ่นหรานยังไม่เต็มห้าขวบ ผู้เป็นมารดาเคยให้หัดท่องจำและเขียนอ่านหนังสืออย่างง่ายๆ เจ้าตัวน้อยยังไม่ค่อยอยากจะทำ บทกวีหนึ่งหน้าเริ่นหรานใช้เวลาคัดลอกไปเดือนกว่า ครั้นพอมาเห็นเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนไปแบบนี้ ไหนเลยคนในบ้านจะคุ้นชิน “อยากช่วย...หรือเจ้าเบื่อที่จะอยู่บ้านกับแม่กันแน่ก้อนแป้งน้อย” ไป๋ฮวาเอ่ยทักลูกสาวยิ้มๆ ลูกคนนี้ดูไม่อยาก เมื่อก่อนไม่อยากร่ำเรียนหนังสือก็หาข้ออ้างไปนั่นไปนี่บ่อย อยากไปท่องหนังสือในศาลาบ้างล่ะ ร่มไม้ท้ายจวนลมเย็นบ้างล่ะ ช่างเป็นเด็กที่หาข้องอ้างไปเรื่อยได้เก่งจริงๆ “ลูกเปล่าเบื่อนะเจ้าคะท่านแม่...” ท้ายประโยคตอบมารดาเสียงแผ่วเบา ก็เธอเบื่อจริงๆ นั่นแหละ “ฮึ…เจ้าลูกคนนี้ ไม่อยากเรียนหนังสือใช่หรือไม่” หลีเริ่นหรานพยักหน้าตอบบิดา แต่ก็รีบก้มหน้ามองพื้นอย่างเร็วด้วยอายสายตามารดาที่มองมา “ท่านพ่อ ลูกว่าหรานเอ๋อร์คงจะเบื่อ ถ้ายังไงพรุ่งนี้เราพานางไปดูแมกไม้บนภูเขา เพื่อเปิดหูเปิดตาดีไหมขอรับ อีกอย่างหรานเอ๋อร์ก็เพิ่งจะฟื้นหลังจากที่นอนไม่ได้สติอยู่หลายเดือน ให้นางไปเดินออกกำลังเสียบ้าง ร่างกายจะได้มีภูมิต้านทาน ท่านพ่อว่าอย่างไรขอรับ” หลีหลุนเอ่ยออกหน้าให้น้องสาวตัวน้อย ด้วยดูออกว่าเริ่นหรานนั้นคงเบื่ออยู่บ้านจริงๆ และการให้นางได้ออกไปเจอธรรมชาติบ้าง ก็น่าจะส่งผลดีกับนาง หลีหยุนทำหน้าครุ่นคิด ความคิดของบุตรชายคนโตนั้นไม่เลว แต่เขาก็ไม่อยากให้ภรรยาอยู่บ้านเพียงลำพัง “เช่นนั้นหลีเฉิง พรุ่งนี้เจ้าก็อยู่บ้านเป็นเพื่อนมารดาเจ้าก็แล้วกัน” ด้านคนถูกวางตัวให้อยู่บ้านทำหน้ามุ่ย เขานั้นชอบการขึ้นเขาไปหาของป่าอยู่ไม่น้อย แม้จะไม่ค่อยรู้ว่าสิ่งไหนกินได้กินไม่ได้ สิ่งไหนเรียกว่าสมุนไพร สิ่งไหนคือหญ้า แต่เขาก็ชอบตามท่านพ่อและพี่ๆไป เพราะมันดูเป็นงาน เป็นหน้าที่ของผู้ชายมากกว่า ในขณะที่การอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนนั้นเป็นหน้าที่ผู้หญิง! “ลูกก็อยากไปนะขอรับ ท่านพี่รอง ท่านอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่านแม่เถิด ข้าได้ยินว่าท่านอยากจะเอาสมุนไพรป่ากับพวกหัวมัน มาปลูกตรงพื้นที่สามหมู่ที่หลังเรือนมิใช่หรือ เช่นนั้นพรุ่งนี้ท่านก็อยู่ดายหญ้า เตรียมดินเถิด ข้าจะไปหาของป่ากับท่านพ่อ ท่านพี่และหรานเอ๋อร์เอง” คนถูกน้องชายจัดแจงหน้าที่ได้แต่มองค้อน ไฉนเลยเขาจะไม่รู้ว่าหลีเฉิงนั้นคงเห็นการอยู่บ้านเป็นหน้าที่ของอิสตรีเป็นแน่ “ได้ เช่นนั้นเจ้าขึ้นเขาไปเถิด หากแต่พรุ่งนี้เจ้าไม่ได้สมุนไพรหรือหัวมันป่ากลับมา ข้าจะให้เจ้าอยู่บ้านดายหญ้าสองวัน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม