“หรานเอ๋อร์ ในคืนนั้นเจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
หลีหลุนเอ่ยถามน้องสาวตัวน้อยที่เดินอยู่ข้างกาย ตอนนี้พวกเขาสามคนกำลังจะข้ามเขตแดนของแคว้นตงฟู่ออกไป
“ข้าหรือเจ้าคะ? ข้าทำอันใด” เด็กน้อยมองหน้าพี่ใหญ่ของนางด้วยความฉงน
“เจ้าใช้พลังบางอย่างซัดใส่พวกคนร้ายที่ตามเรามาอย่างไรเล่า เจ้าใช้พลังอันใด พลังปราณของธาตุต้นกำเนิดของเจ้าตื่นแล้วรึ?” หลีหยางอธิบายพร้อมเอ่ยถาม
แม้ตอนนั้นจะเป็นช่วงวินาทีแห่งความเป็นความตาย ทว่าเขาก็รอดมาได้เพราะน้องสาวตัวน้อยคนนี้
“ข้าไม่รู้เจ้าคะ พี่ใหญ่ พี่รอง” หลีเริ่นหรานตีสีหน้าเศร้า ความจริงนางก็ไม่รู้เช่นกันว่านางทำอย่างนั้นได้อย่างไร รู้เพียงว่านางไม่ต้องการให้พี่ชายของนางตาย
“ข้าจำได้แค่ว่าข้าโกรธพวกมันมาก ยิ่งตอนที่พวกมันพูดถึงท่านพ่อท่านแม่และพี่สาม ข้าก็ยิ่งโกรธ และเหมือนสติข้าหายชั่ววูบหนึ่ง รู้สึกตัวอีกทีคนร้ายสองคนนั้นก็ตายแล้ว”
หลีหลุนกับหลีหยางมองหน้ากันอย่างหนักใจ แม้พวกเขาสองคนจะยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แต่ความใฝ่รู้ที่มีในตัวก็ทำให้พวกเขาพอจะเดาได้ว่าสิ่งที่เกิดกับน้องสาวคืออะไร
เรียกได้ว่ามีไม่กี่คนที่พลังปราณต้นกำเนิดจะตื่นก่อนอายุสิบขวบ เท่าที่ผู้เป็นบิดาเล่าให้พวกเขาฟังเมื่อสองปีก่อน คนที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้หาได้ยากนัก นับรวมกันทั้งสี่แคว้นก็มีไม่ถึงห้าคนที่พลังปราณต้นกำเนิดจะตื่นก่อนถึงสิบหนาว
“ต่อไปเจ้าห้ามใช้พลังเด็ดขาดนะหรานเอ๋อร์” หลีหลุนเอ่ยบอกน้องสาว
“ทำไมล่ะเจ้าคะพี่ใหญ่” หลีเริ่นหรานถามอย่างงุนงง ในเมื่อนางมีพลังแล้วไม่ดีหรืออย่างไร ก็เห็นกันอยู่ว่านางสามารถใช้พลังช่วยเหลือพี่ชายทั้งสองได้
“เจ้ายังเด็กมากนะหรานเอ๋อร์ ยังควบคุมพลังที่มีไม่ได้ อีกอย่าง หากมีใครรู้ว่าน้องสาวของพี่มีพลังถึงเพียงนี้ ทั้งที่ยังเป็นแค่เจ้าก้อนแป้งอยู่ พวกพี่จะทำเช่นไรถ้าพวกมันลักพาตัวเจ้าไป” หลีหยางเอ่ยพร้อมลูบหัวน้องน้อยเบาๆ อย่างเอ็นดู
เด็กน้อยวัยหกขวบคิดตามที่พี่ชายทั้งสองพูดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด อะไรที่ควรเก็บเป็นความลับส่วนตัวนางไม่ขัดขืนอยู่แล้ว เหมือนเช่นสถานการณ์ของพวกนางสามคนพี่น้องในตอนนี้ ขอแค่ออกจากป่านี้ได้ ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีก นางและพี่ชายทั้งสองสามารถมีชีวิตรอดได้ด้วยก้อนทองที่ซุกซ่อนอยู่ในย่ามใบโปรดของนาง
ทั้งสามเดินทางรอนแรมในป่ากันมาได้ประมาณสี่วันแล้ว วันแรกพวกเขากินเซ่าปิ่งค้างคืนเพื่อประทังชีวิต วันต่อๆ มาก็อาศัยลูกไม้ป่าและถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ พวกเขาทั้งสามก็จะพยายามไม่ก่อกองไฟ เพราะกองไฟจะกลายเป็นเบาะแส ให้มีคนสะกดรอยตามพวกเขาถูก หากคนพวกนั้นยังไม่เลิกไล่ล่าพวกเขาสามพี่น้อง
อีกทั้งกองไฟจะทำให้สัตว์น้อยใหญ่ในเขตป่าชั้นในแตกตื่น สิงสาราสัตว์ที่คิดว่าไม่น่าจะเจอก็อาจจะได้เจอก็เป็นได้
“พี่ใหญ่ ทางข้างหน้านั่นต้องเป็นทางสามแยกแห่งสามแคว้นแน่เลย” หลีหยางเอ่ยอย่างตื่นเต้น
เพราะเส้นทางนี้เขาเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึง ทั้งยังเคยอ่านเจอในหนังสือแสวงหาสมุนไพรวิเศษ ที่เขียนถึงการเดินทางไปหาสมุนไพรของหมอท่านหนึ่ง และเส้นทางนี้ก็มีเขียนไว้ว่าหากขึ้นเหนือไปจะเป็นแคว้นเป่ยจ้าว ถ้าจะหาสมุนไพรที่เติบโตในที่ที่มีอากาศหนาวเย็นต้องไปทางนี้
แต่หากไปทางทิศตะวันตกจะเป็นเขตแดนแคว้นหนานไห่ สมุนไพรขึ้นชื่อของแคว้นนี้เป็นจำพวกสมุนไพรตระกูลเห็ด
หลีหลุนใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะชี้นิ้วไปทางซ้ายมือ
“หนานไห่?”
“อืม เราไปแคว้นหนานไห่กันเถอะ”
ในบรรดาแคว้นทั้งสี่ แคว้นหนานไห่ถึงเป็นแคว้นที่ร่ำรวยสูสีกับแคว้นตงฟู่ อีกทั้งราชวงศ์หนานไห่ก็ถือว่ามีความปรองดองกันอย่างมาก เพราะกว่าหลายร้อยปีมาแล้วที่แคว้นนี้ไม่มีการห้ำหั่นกันทางสายเลือดเพื่อแย่งชิงบัลลังก์
ต่างจากแคว้นตงฟู่ ที่แม้จะร่ำรวยและมีความแข็งแกร่งทางการทหารมากกว่าแคว้นอื่น ทว่าการแก่งแย่งชิงดีกันในราชสำนักและบรรดาเชื้อพระวงศ์กลับรุนแรงดุเดือด เรียกได้ว่าทุกๆ สี่ห้าสิบปีต้องมีทรราชเกิดขึ้นมาสักคน
“แคว้ยเป่ยจ้าวเหน็บหนาวเกินไป อีกอย่างพี่กลัวว่าพวกเราจะสู้สภาพอากาศที่นั่นไม่ได้ แล้วจะเป็นการยากลำบากต่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แคว้นหนานไห่มีสภาพอากาศไม่ต่างจากแคว้นตงฟู่มากนัก อีกอย่างข้าเคยได้ยินคำเล่าขานมา ว่าที่แคว้นหนานไห่มีหมอเทวดาอยู่หลายคน เก่งในด้านการรักษาผู้ป่วยและสมุนไพร ไม่แน่ว่าเราอาจจะโชคดีได้เจอหมอเทวดาสักคน เพื่อฝากฝังเจ้าเป็นลูกศิษย์”
แม้จะยังไม่มีการพิสูจน์ ว่าแท้จริงแล้วหลีหยางมีพลังปราณธาตุต้นกำเนิดเป็นธาตุใด แต่หลีหลุนก็เชื่อไปเกินครึ่งแล้วว่าน้องชายคนรองของตนนั้นถือครองปราณธาตุโอสถแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กันที่แคว้นหนานไห่กันเถอะเจ้าคะ” หลีเริ่นหรานเอ่ยสรุป
เมื่อตกลงกันได้ สามพี่น้องจึงเร่งฝีเท้าเดินทางเข้าสู่เขตป่าชั้นในที่เป็นดินแดนของแคว้นหนานไห่ หลีเริ่นหรานเหลียวกลับไปมองภาพป่าไม้เบื้องหลัง อันเป็นเขตดินแดนของแคว้นตงฟู่ พร้อมเอ่ยคำมั่นในใจ
สักวัน...ข้าจะกลับมาเหยียบแผ่นดินแห่งนี้อีกครั้ง พร้อมกับใช้เลือดคนชั่วล้างแค้นให้ครอบครัวข้า!
สามพี่น้องรอนแรมในป่านานนับเดือน ด้วยเพราะระยะทางจากทางแยกสามแคว้นมา พวกเขาสามพี่น้องต้องเดินข้ามภูเขากว่าสามลูก แม้ตอนนี้จะแน่ใจแล้วว่าไม่ถูกพวกคนร้ายไล่ตามแล้ว แต่ทั้งสามก็ไม่อาจวางใจ จึงได้พากันเร่งเดินทางมาตลอดหนึ่งเดือน
กระทั่งวันนี้พวกเขาจึงได้พากันลงจากเขา และตั้งใจจะหยุดพักกันที่ริมน้ำตกกันสักวันสองวัน ด้วยเพราะตอนนี้สภาพร่างกายของทั้งสามนั้นผอมแห้ง อิดโรย แม้ในป่าจะมีลูกไม้และสัตว์ป่าเล็กๆ อย่างกระต่ายหรือไก่ป่าพอให้ได้ล่ากินอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะล่าสัตว์ได้ทุกเมื่อ
“พี่ใหญ่ น้ำนี่เย็นสบายดียิ่งนัก!” หลีเริ่นหรานเอ่ยบอกพี่ชายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับได้เกิดใหม่ หลังจากที่รอนแรมในป่ามานาน
“ข้าอยากอาบน้ำเหลือเกิน พี่ใหญ่ข้าลงอาบน้ำได้หรือไม่”
เพราะคราวที่แล้วที่นางดั้นด้นเดินข้ามธารน้ำไปเก็บต้นหงลู่ แล้วโดนพี่รองต่อว่าไปยกหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาพี่ชายทั้งสองก็ไม่เคยปล่อยให้นางได้เล่นน้ำตามอำเภอใจอีกเลย และทุกครั้งที่นางอยากเล่นน้ำ ก็จะมีพี่ชายคนใดคนหนึ่งลงเล่นด้วยเสมอ
หลีหลุนส่ายหน้าน้อยๆ ให้น้องสาว ก่อนจะบอกให้หลีหยางไปเล่นน้ำเป็นเพื่อนนาง ซึ่งหลีหยางเองก็ทำหน้าเหนื่อยใจ ก่อนจะรับปากพี่ใหญ่แล้วเดินเข้าไปหาน้องสาว
“หรานเอ๋อร์ อีกไม่นานก็ค่ำแล้ว ครั้งนี้เล่นน้ำนานไม่ได้แล้วนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“เจ้าค่ะ”
หลีเริ่นหรานรับคำพี่ชายคนรองอย่างว่าง่าย แม้ใจจะอยากเล่นน้ำนานๆ แต่ก็กลัวไม่สบายไปจริงๆ อย่างผู้เป็นพี่ว่า อีกทั้งเสื้อผ้าก็มีติดกายมาแค่คนละชุด ทั้งยังขาดเหวิ่นเพราะเกี่ยวกับกิ่งไม้ระหว่างทาง
เห็นที...ตราบใดที่ยังไม่ได้ออกจากป่านี้ ก้อนเงินในย่ามของนางก็คงไม่ต่างอะไรกับก้อนดินก้อนหินไร้ราคาค่างวด
“เอ๊ะ!? พี่รองนั่นอะไรเจ้าคะ?” หลีเริ่นหรานชี้ไปที่อะไรบางอย่างที่อยู่ข้างโขดหิน และถ้าหากว่านางไม่ได้ตาฝาด สิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็น่าจะเป็นร่างของมนุษย์
หลีหยางองตามมือน้อยๆ ที่ชี้ไปของหลีเริ่นหราน ก่อนสองพี่น้องจะค่อยๆ พากันเดินเข้าไปดูตรงโขดหินนั้นใกล้ๆ
หลีหยางดึงน้องสาวให้มาอยู่ข้างหลังตน เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้จนมองเห็นแล้วสิ่งที่อยู่หลังโขดหินนั้นเป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง
“รอพี่อยู่ตรงนี้นะหรานเอ๋อร์”
เมื่อเห็นน้องสาวพยักหน้ารับ หลีหยางจึงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ ร่างของหญิงสาวคนนั้นแล้วเอานิ้วอังไปตรงจมูก จากนั้นจึงค่อยๆ จับดูชีพจรของนาง ซึ่งอันที่จริงหลีหยางก็ใช่ว่าจะจับชีพจรเป็น แต่เขาก็เคยช่วยงานหมอหลวงในวังมาบ้าง ถึงไม่อาจตรวจชีพจรหาโรคได้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าหากจับดูแล้วชีพจรยังเต้นอยู่ก็แสดงว่านางยังไม่ตาย
และหลีหยางก็โล่งอกที่ผู้หญิงคนตรงหน้านี้ยังมีลมหายใจ เพราะในเวลาใกล้ค่ำแบบนี้ พวกเขาไม่ปรารถนาจะพบศพคนตายใดๆ ทั้งสิ้น
“นางยังไม่ตาย”
หลังจากนั้นสองพี่น้องก็ช่วยกันพาร่างของผู้หญิงคนนั้นขึ้นจากน้ำ ก่อนจะพานางไปยังจุดที่พวกเขาใช้เป็นที่พัก ซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“อาหารเสร็จแล้ว ลูกแม่มากินข้าวกันเร็ว ลู่เอ๋อร์ หลิ่งเอ๋อร์ หนี่ว์เอ๋อร์”
“ท่านแม่!” เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยวัยสิบขวบขานรับคำร้องเรียกของผู้เป็นแม่ ก่อนจะพาร่างเล็กๆ วิ่งมาถึงห้องครัวที่อยู่ข้างๆ เรือนใหญ่
“หอมยิ่งนัก! ท่านแม่วันนี้มีอะไรกินหรือเจ้าคะ เหตุใดส่งกลิ่นหอมถึงเพียงนี้” บุตรสาวคนเล็กของฝู่หลงฮวาเอ่ยถามมารดาพร้อมทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่น
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถิดหนี่ว์เอ๋อร์ ทำกิริยาไม่สมกับเป็นกุลสตรียิ่ง” หานลู่เอ่ยเตือนน้องสาวด้วยท่าทางเหนื่อยใจ
“ท่านแม่ พี่ใหญ่ว่าข้าอีกแล้ว” หานหนี่ว์เอ่ยฟ้องมารดาทันใด ทำเอาที่ชายคนโตอย่างหานลู่ส่ายหน้าอย่างจนใจ
“ลู่เอ๋อร์ เจ้าก็อย่าว่าน้องนักเลย น้องยังเด็กนัก” หลงฮวาเอ่ยกับบุตรชายคนโตยิ้มๆ ก่อนจะบอกให้ทุกคนนั่งประจำที่เตรียมตัวกินข้าวเที่ยง
“ท่านแม่ แล้วท่านตาล่ะเจ้าคะ?” หานหนี่ว์เอ่ยถาม เมื่อไม่เห็นผู้เป็นตามาทานอาหารเที่ยงร่วมกัน
“ท่านตาเจ้ายังอยู่ในห้องเก็บสมุนไพรอยู่เลย” หลงฮวาเอ่ยบอกบุตรสาว ก่อนจะตักข้าวให้คนละถ้วย
“เช่นนั้นลูกไปตามท่านตาก่อนนะขอรับ” หลิ่งเอ๋อร์เอ่ยขึ้น หลังจากนั่งเงียบฟังพี่น้องเถียงกันอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“แม่เรียกท่านตาเจ้าแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมมา เช่นนั้นหลิ่งเอ๋อร์ลองไปตามดูอีกครั้งเถิด เผื่อว่าท่านตาเจ้าจะเปลี่ยนใจ” หลงฮวาเอ่ยยิ้มๆ
“ท่านแม่ เมื่อเช้าพี่รองบอกข้าว่าท่านตาเข้าเมืองไปตั้งแต่เช้าตรู่ จริงหรือเจ้าคะ?”
“จริง ท่านตาเจ้าไปขายสมุนไพรที่เก็บได้มาเมื่อวาน ทั้งยังรีบไปดูอาการคนไข้ที่รักษาให้เมื่อคราวก่อน เห็นว่าอาการดีขึ้นมาก ท่านตาเจ้าเลยไปดูให้เห็นกับตา”
เมื่อได้ฟังความจากปากมารดา ซ่งหานหนี่ว์ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะกลับมาทำตีสีหน้าเคร่ง แล้วอมอากาศไว้ในปากจนสองแก้มป่องออกมา