ลูกสาวแม่ต้องแข็งแกร่ง

1083 คำ
ตอนที่ 15 แต่เมี่ยงเมรัยเอ่ยออกมาจากใจในขณะนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นบัดเดี๋ยวนั้น นายอัศวงค์คล้ายกับเข้าใจเลยเสียงเย็นลงนิ่งสงบ “งั้นก็ตามใจลูกถ้าหากลูกยังไม่สบายใจ แต่ถ้ารู้สึกดีขึ้นอย่าลืมกลับบ้านเรานะพ่อกับพี่ชายของหนูเรารออยู่มี หากอะไรเกิดขึ้นก็โทร.มาบ้าง” “ค่ะ” เมี่ยงเมรัยตอบบิดาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ความจริงหล่อนคิดว่า อยากจะให้บิดาหวนไปเอาใจใส่อย่างนี้กับมารดาผู้น่ารักน่าสงสารของหล่อนที่ชนบทเถอะ แต่บิดาของหล่อนก็ใจไม้ไส้ระกำนักเหมือนคนทิฐิในใจ แน่นอนเรื่องราวเหล่านี้แหละที่ยังคงทำให้คนเป็นลูกสาวอย่างเมี่ยงเมรัยพลอยปวดช้ำใจด้วย แต่ก็มิอาจเป็นอย่างนั้นได้ มารดาก็ไม่ใช่คนใจแข็งนี่ ท่านคงต้องทนอย่างที่ไม่อยากจะทน คิดถึงแม่มากมายนัก บางครั้งคิดว่าอยากจะขับรถตามไปหาถึงที่สุรินทร์ หันมาสำรวจตัวเองอีกครั้งในห้องทำงานของหล่อนที่กว้างขวาง เครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ทำงานวางอยู่ใกล้ตัว ไม่ว่ากองกระดาษเอกสาร โต๊ะคอมพิวเตอร์ เครื่องพริ้นเตอร์ ปากกาสมุด กระดาษโน๊ตข้อความ ก่อนที่ร่างระหงอย่างหล่อนจะหมุนตัวเองพาร่างเดินก้าวออกไปข้างนอกพร้อมกับกระเป๋าสะพายใบหรูสีม่วงเข้มเช่นเดิม หญิงสาวลากรองเท้าส้นสูงลายขลิบแก้วก้าวไปเรื่อยๆ ในเวลานี้พนักงานทุกคนต่างพากันกลับไปเกือบหมดแล้ว เหลือแต่ห้องทำงานของคุณลุงผู้อาวุโส ที่ได้รับการไว้วางใจจากบิดาและครอบครัวของหล่อน เมี่ยงเมรัยนับถือ ท่านคือคุณลุงวิมิตร ท่านเป็นที่ปรึกษาของบิดาอีกตำแหน่งหนึ่งดูแลทางด้านอาคารเกี่ยวกับความปลอดภัยก่อนจะกลับ เมี่ยงเมรัยคิดว่าจะขับรถออกจากที่ทำงานย่านสาธุประดิษฐ์ เพื่อกลับไปที่บ้านแถวถนนสุขุมวิท เห็นไฟในห้องทำงานเปิดอยู่แต่ประตูห้องปิด คิดว่าท่านยังคงทำงานอยู่ และหล่อนไม่คิดรบกวนท่านหรอกคุณลุงวิมิตรมีบ้านพักอยู่ในละแวกนี้ด้วยคือแถวๆเจริญกรุงวัดพญาไกรจากนั้นจึงยืนรออยู่หน้าลิฟต์ส่วนตัวสำหรับผู้บริหารก้าวลงไปข้างล่างอีกครั้ง พนักงานรักษาความปลอดภัยที่คุ้นหน้าประจำเข้ามาโค้งแสดงการทักทายต่อหล่อนบางคนก็ยกมือไหว้สวัสดีหล่อนก็ตอบสวัสดีเช่นกัน ก้าวไปที่รถคันโปรดของหล่อน คันกระป๋องสีแป๊ด แล้วจัดการสตาร์ทเครื่อง ก่อนปล่อยคลัท เหยียบคันเร่งไปตามถนนอย่างสบาย หล่อนไม่ได้คิดจะเร่งร้อน และรู้ด้วยว่าเวลานี้ก็ตามทีในฟ้าเมืองไทยท้องถนนกรุงเทพล้วนแต่ติดขัด ไม่มีความปรารถนาที่จะไปที่ไหนเลย แม้ไม่อยากจะเข้าบ้านแต่หล่อนคิดว่า คิด แต่ไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหนดี พอขับรถมาเรื่อยๆบนถนนพระรามสาม ในที่สุดก็ผ่านเข้ามาทางคลองเตย เส้นสายของถนนรัชดาตัดอโศก โล่งลิ่วไม่ยักกะติด ทำให้หล่อนมาถึงโดยเร็วกว่าที่ควรนัก คิดว่าจะต้องติดอยู่บนท้องถนนนานนับครึ่งชั่วโมง แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย รถเคลื่อนตัวได้เร็วไวนัก ขับมาถึงสี่แยกอโศกถนนสุขุมวิทเบื้องบนนั้นสายของรถไฟฟ้ากำลังแล่นผ่านด้วยขบวนยาวเหยียดและสีสันที่ทันสมัยของการโฆษณาสินค้า ที่ยุคนี้อะไรก็เป็นพาณิชย์หมด มนุษย์ยุคนี้กำลังถูกกองเงินทับตาย พอถึงบริเวณแยกข้างหน้าหล่อนกลับหันเลี้ยวซ้ายหักพวงมาลัยเปิดไฟเลี้ยวไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหล่อนต้องไปในถนนสายนี้ ซอยนี้ซึ่งรู้ว่าในอดีตนั้นเคยเป็นโรงเรียนสมัยเด็กที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ เป็นเหตุให้หล่อนได้พบกับบุลิศและมีคู่แข่งอย่างฉายพัดชา นึกถึงฉายพัดชาทีไร มีแต่ความร้อนรนเจ็บปวด ที่หล่อนรับรู้ได้ เจ้าเล่ห์อย่างฉายพัดชา หล่อนจำเป็นที่ จะต้องร้ายกาจเหมือนกัน เพราะคนอย่างฉายพัดชาไม่เคยที่จะยอมแพ้ใคร เป็นนิสัยที่เอาแต่ได้ แต่เมี่ยงเมรัย นั้นรู้จักแพ้ และยอมแพ้ได้ ยอมรับกับความจริง พารถมาถึงที่นี่แล้ว หล่อนสงบใจได้ เมี่ยงเมรัยเหลียวแลซ้ายขวาเมื่อไม่มีรถคันหลังแล่นตามมาหญิงสาวจึงขับรถเข้าไปเสียบในซองช่องว่าง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้รถของนิสิตเข้ามาจอดได้ เมื่อยังไม่กลับบ้าน ก็ต้องมาระลึกภาพเก่าที่นี่ ภาพทรงจำในอดีต ครั้งยังเป็นนักเรียน แล้วนี่เป็นเวลาที่ทุกคนกลับกันหมดแล้ว เมี่ยงเมรัยไม่ได้มีจุดประสงค์จะพบใครด้วยซ้ำ แต่การที่ตัวเองเดินทอดน่องไปเรื่อยตามความโค้งของขอบสนามที่มีคุ้งของสระซึ่งมีจอกแหนขึ้นสลับกับดอกบัว ที่นี่รักษาไว้อย่างดีที่สุด ไม่ให้วัชพืชเข้ามารบกวน ดูเหมือนดอกบัวหลวงชูชันแตกช่อเต็มกอไสวไปหมดดอกสีเขียวสีขาว ความทรงจำแต่ดั้งเดิมยังหลงเหลืออยู่ สถานที่ตรงนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเลยยังคงมีโต๊ะม้านั่งหินอ่อนว่างไร้คนนั่งในบรรยากาศที่เดียวดาย ที่เมี่ยงเมรัยชอบมาทรุดนั่งเล่นคนเดียว เพื่อรอบิดามารดามารับกลับบ้าน สนสะท้านที่ดูอ้อนแอ้นลู่ลม ต้นของมันนอกจากสูงยิ่งนักยังตรงชะลูด ได้ยินเสียงส่ายเอนไหวเหมือนส่ายเนื้อผ้าที่พลิ้วไปพลิ้วมากระนั้นคลับคล้ายได้ยินเสียงดนตรีรื่นรมย์ที่เกิดจากธรรมชาติของมัน เสียงนั้นดังไกลสม่ำเสมอ หึ่งๆประหนึ่งลมพัดกวัดไกวไปมากระนั้น และอยู่สูงมาก จนร่างระหงพยายามเหลียวมองหา กลับไม่พบอะไร ยังไม่ค่ำสักหน่อย หากแต่ว่าหล่อนสามารถมองเห็นดาวดวงหนึ่งกะจิดริดว๊อบแว๊บส่องอยู่กลางฟ้าโน่นแล้วเลยมีคำถามกับตัวเองว่า นี่จวนค่ำแล้วหรือ อะไรกัน ทำไมรวดเร็วนัก ยวดยานไม่สงบยังคงวิ่งสวนกันไปกันมาใครคนหนึ่งที่ขับรถผ่านเข้ามา ถ้าอนงค์นันดาไม่ตาฝาดนั่น หล่อนร้องบอกกับคุณสมรรตีผู้เป็นมารดา ในทันที เมื่อจะขับรถผ่านหญิงสาวร่างระหงที่ยืนคล้ายครุ่นคิดอยู่คนเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม