ตอนที่ 14
เมี่ยงเมรัยอยากจะลืมเหมือนกันนะ หล่อนลูกสาวพ่ออัศวงค์ที่ใครๆชอบเรียกคำนี้ หล่อนไม่ชอบเลย มันดูเหมือนไม่ให้เกียรติ
เขาล่ะ หากเมื่อเขากลับมาแล้ว ความรักเก่า สิ่งที่เป็นความเก่ามันคือตะกอนค้างใจและเป็นสิ่งที่เมี่ยงเมรัยพยายามคิดเหมือนกันว่าเขาจะเลือกใคร อดนึกถึงในตอนวัยเด็กไม่ได้ที่หล่อนและฉายพัดชามักจะหาเรื่องใส่กันคนที่เป็นมูลเหตุทั้งมวลทุกครั้งนั่นคือบุลิศนี่เองชื่อนี้จึงทรงอยู่ในดวงใจของหล่อนตลอดเวลา ไม่มีลืมด้วยเหตุนี้เองยามเกิดปัญหาต่างๆหล่อนจึงเรียกเขา และเมี่ยงเมรัยคิดได้ว่า ครั้งนั้นหล่อนช่างอ่อนแอนัก
ไม่รู้ล่ะ ในสมัยนั้นหล่อนคิดได้แค่นั้นเอง เนื่องจากมีคนคอยปกป้องจะว่าไปมันคือสายสัมพันธ์ที่พยายามก่อตัวด้วยสัมพันธ์ที่เมี่ยงเมรัยคิดว่าหล่อนผิดหรือที่หล่อนไม่ตอบสนองด้วยความรักอย่างที่เขาต้องการ ต่อให้บอกและพูดเป็นสิบๆครั้งในความทรงจำของหล่อนก็ตอบว่าใช่ หล่อนเคยปฏิเสธเขา เพราะอยากให้พี่บุลิศลืมมากกว่าถ้าเขายังไม่ลืมแสดงว่าเขายังโกรธหล่อน
นี่สิที่ทำให้เมี่ยงเมรัยคิดแต่ในเวลานี้นั้นหล่อนไม่แน่ใจแล้ว เพราะกาลเวลาเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันหล่อนไม่ใช่เด็กสาวกะโปโลที่แสนเอาแต่ใจคนนั้นอีกแล้ว
หล่อนในวัยยี่สิบสามเพิ่งย่างผ่านสามเดือนนั้นเป็นสาวสะพรั่ง และครุ่นคิดอะไรอยู่ตั้งนาน บานกระจกรูปทรงสูงแลดูทันสมัย ขณะที่ผิวหน้าขาวของหล่อนหันหน้าจ้องกวาดตาและส่องไปที่ความขาวของพื้นพลาสติคและเซรามิคเบื้องหน้า ส่วนมากเป็นงานที่หล่อนทำเล่น ในห้องที่เครื่องทำความเย็นอยู่ในอุณหภูมิที่พอดีสำหรับตัวเอง ใกล้ๆกับร่างระหงของหล่อนมีแจกันดอกไม้ที่ปักไว้ด้วยสีสันแปลกตาคือมีทั้งลิลลี่สีชมพู เอสเตอร์ ไฮเดรนเยียสีม่วงกับดาหลาอมชมพู
การที่มีห้องทำงานเต็มไปด้วยศิลปะความงามเช่นนี้ ทำให้คนทำงานสบายใจ หน้าที่ของหล่อนต้องใช้สมองเป็นอย่างมาก เพราะต้องคิดค้นและออกแบบร่วมกับทีมงาน งานออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นงานประเภทสร้างสรรค์ ใจร้อนไม่ได้ จึงทำให้ตนเองต้องอารมณ์ดีตลอด และในขณะนี้ ก็ตามร่างระหงของเมี่ยงเมรัยไม่อยากกลับบ้าน แม้ว่าในเวลานี้เป็นช่วงเลิกงานแล้ว ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่มีความกระตือรือร้น
แต่ก็น่าแปลกที่หัวใจจิตใจมันเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ลองนึกและมองหาเพื่อน สุลิษา นั้นเป็นเพื่อนรักที่ดี แต่ก็ไม่อาจพึ่งพาหล่อนได้ในเรื่องนี้ สุลิษาให้คำปรึกษาได้ แต่เรื่องปัญหาหัวใจลึกๆในบางอย่างนั้น สุลิษาคงไม่กล้าตอบ
และพร้อมกันนั้นหล่อนรู้แน่ด้วยว่า สุลิษาไม่กล้าเอ่ยตอบออกมาอย่างแน่นอน นั่นเพราะว่าสุลิษาไม่ใช่เมี่ยงเมรัย แต่เมี่ยงเมรัยรับรู้ว่าเพื่อนหวังดีพยายามช่วย เพียงเท่านี้ในใจของหล่อนก็ดีใจนักหนา ที่พอนึกถึงสุลิษาแล้วมีความสุข แม้ว่าไม่ได้ออกไปเที่ยวด้วยกันหรือนัดพบปะหน้ากันเหมือนเดิมที่ผ่านมา วันนั้นสุลิษาก็นัดหล่อน และได้พบเจอเขา ทั้งยังทักชมว่าเขาหน้าตาดีหล่อเหลาหล่อจัดมากเป็นคำพูดและเป็นความรู้สึกที่เพื่อนเอ่ยขึ้น เมี่ยงเมรัยรู้ดี หล่อนเห็นคล้อยด้วย เกี่ยวกับสุภาพบุรุษนามนั้นใยหัวใจของหล่อนต้องกระวนกระวายด้วยเรื่องความรักอีกล่ะ เมี่ยง?
หล่อนเฝ้าถามหัวใจของตนเองและครุ่นคิด ด้วยเหตุว่าเวลานี้งานเลิกแล้วก็ตาม หากหล่อนยังพาตัวเองอยู่ในห้องทำงาน ซึ่งเป็นที่ทำงานส่วนตัวของหล่อน ถ้าบิดาทราบในเรื่องที่หล่อนยังไม่ออกจากสถานที่ทำงานคือบริษัทและขยันมากเกินไปอย่างนี้ ท่านต้องเป็นห่วงอย่างมาก และเมี่ยงเมรัยก็ไม่อยากให้คนของหล่อนทั้งหมดรู้เรื่องด้วย
คนเราเมื่อทำงานเสร็จแล้ว อยากกลับบ้านเพื่อ พักผ่อนไม่มีที่ไหนไป แตกต่างจากวัยเด็กเหลือเกิน ยามต้องการไปที่โน่นที่นี่พ่อแม่ก็จะคอยตามติดเอาใจ พูดถึงแม่ แม่ของหล่อน แม่หมายหยกไม่เหมือนเลิกร้างกับบิดา ทั้งคู่ก็เหมือนเลิกร้างกัน ในหัวใจของคนเป็นลูกมีหรือจะปรารถนาให้บิดามารดาแยกทางกัน หล่อนต้องการความรัก และความรักนั้นต้องพร้อมพรักไปด้วยคนในครอบครัว
ไม่ว่าหล่อนและพี่ชายหล่อนนี่ใครจะรู้ไหม? หล่อนยังขาดแคลนความรักอยู่ ความรักที่ใครเติมเต็มให้ไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกผิดอีกครั้ง เมื่อนึกถึงบุลิศฟากเพราะชุดที่หล่อนสวมใส่ทำงานนั้นวันนี้สีเหลืองอ่อนพราวระยับไปหมดทั้งตัว โดดเด่นเหมือนเคย ใครๆมักเอ่ยกล่าวถึงหล่อนมีมาดเหมือนนางพญา แต่มาดนางพญาผู้จองหองเย่อหยิ่งคนนี้มีใครรู้บ้างไหมว่า หลายครั้งที่หล่อนแอบนอนร้องไห้ในห้อง ปล่อยให้น้ำตาซึมเปียกหมอน ซึ่งแตกต่างไปจากหน้ากากจริงที่หล่อนมีความสุขนักบางทีความจริงคนเรามักจะซ่อนความสุขไว้ในคราบน้ำตาของตนเอง แล้วเอาน้ำตาของตนเองเก็บซ่อนไว้ลึก จะอวดยิ้มเฉพาะความสวยงามบนใบหน้าที่ดูสง่าผ่าเผย
ซึ่งความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่หรอก
ความเจ็บช้ำมากมายต่างหากหล่อนขาดแคลนความรักย่อมปรารถนาความรักที่แท้จริงมาครอบครอง
บุลิศเป็นตัวเลือกของหล่อนก็จริงแต่เขาก็เป็นหนุ่มที่เจ้าเสน่ห์ ที่ในเวลานี้หล่อนไม่รู้ว่าใครครอบครองในหัวใจเขา และหล่อนคิดว่าไม่หมายถึงตัวเองหรอก เพราะเขาเกลียดหล่อนสิ้นดี ที่เคยทำความเจ็บช้ำให้แก่เขา เขาอาจจะยังมีตะกอนความขุ่นแค้นอยู่ เขาต้องการทำให้หล่อนเจ็บใจด้วย อดีตที่พลาดพลั้งไปแล้ว ทำผิดเสียด้วยหล่อนไม่คิดถึงมัน แต่บางครั้งเจ้าอดีตนี่ล่ะ มันกลับคิดถึงหล่อน จนทำให้ต้องรื้อฟื้นเรื่องเก่าความหลัง
ใครว่าหล่อนอ่อนแอ หล่อนเปราะบางมากกว่าต่างหาก ยามนี้เมี่ยงเมรัยหล่อนบอกกับตัวเองไม่เพียงเท่านั้นเอง หล่อนได้ยินเสียงสัญญาณมือถือดังขึ้น จึงกดรับ ขณะที่ใจตนเองยังไม่ละทิ้งความครุ่นคิด และกำลังทรุดนั่งอยู่บนนวมแชร์กำมะหยี่สีฟ้ากลางห้องทำงาน
“พ่อหรือคะ เอ้อ หนูจะกลับแล้ว”เมี่ยงเมรัยบอกท่าน ไม่อยากให้บิดาเป็นห่วงนัก แล้วบัดนี้ท่านก็ไม่วายเป็นห่วงหล่อนด้วยอาจจะเห็นว่านี่ผิดเวลาที่หล่อนควรจะกลับบ้าน
“กลับเวลาไหนล่ะ แล้วนี่ลูกคิดว่าจะกลับบ้านไหม?”
“กลับอยู่แล้วค่ะแต่เมี่ยงก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับเวลาไหนหรือไม่กลับดี” หล่อนตอบแบบนี้กับบิดา ทำให้นายอัศวงค์ตกใจที่ลูกสาวพูดแบบนี้
“อ้าวอย่ากวนพ่อสิลูก”ที่หล่อนทำให้บิดางง
“กลับแน่ค่ะแล้วค่อยเจอกัน” อาจเพราะคำพูดตามใจปากของตนเองแน่นอน