ทุกคนนิ่งเหมือนกำลังรอข้อแก้ตัวจากฉันอยู่ เมื่อพิจารณาจากสารรูปของแต่ละคนแล้ว อีแพลนมันก็แค่ผู้ชายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่เอาอ่าว ไอ้แว่นก็เด็กเนิร์ดๆ คนนึง ส่วนยัยผู้หญิงคนนั้นก็แค่พวกสาระแนที่พยายามจะเข้าหาฉันเพื่อผลประโยชน์เรื่องงานกลุ่มกับโปรเจ็คเท่านั้น ฉันไม่เห็นประโยชน์หรือโทษอะไรถ้าฉันจะต่ำทรามใส่พวกเขาบ้าง
บวกลบคูณหารผลดีผลเสียแล้ว ฉันจะไม่แก้ตัวอะไรหรอก พูดไปแล้วก็ให้มันแล้วไป ดีซะอีก อีแพลนจะได้รู้ว่าตัวเองน่ารำคาญขนาดไหน ด่าแค่นี้ถือว่าใจดีมากด้วยซ้ำ
“คิดว่าสบายดีนะ” ฉันหันไปตอบนนท์ แล้วไม่สนใจพวกตัวประกอบอีกต่อไป แพลนย่นคิ้วก่อนจะหันหาเพื่อนเพื่อยืนยันในประโยคที่ฉันพูด
“งั้นก็ดี” คำตอบแบบขอไปที เหมือนไม่ใส่ใจนักนั่นทำให้ฉันเซ็ง มันน่าหงุดหงิดนะที่มีแค่ฉันหลงละเมอเรื่องเขาอยู่คนเดียว อยากจะลืมก็ลืมไม่ได้ ฉันจำได้ทุกอย่างและทุกเรื่องที่พวกเราทำด้วยกัน
“เนล” แพลนยังคงพยายามจะเร้าหรือฉันเพราะไม่มั่นใจในประโยคก่อนหน้า ฉันล่ะเชื่อเขาเลย เขาเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ในการก่อความรำคาญแก่มนุษย์ผู้อื่นมาก
“อ๋อ แพลน ลืมบอกไป อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าเรียนเสร็จให้รีบไปหาแน่ะ”
“ฮะ อาจารย์งามละไมอะนะ?”
“ใช่”
“เรียกไปทำไม?” แพลนย่นคิ้วสูงกับสิ่งที่ฉันบอก ฉันกลอกตานิดนึงแล้วตอบเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ
“จะคุยเรื่องประกวดมารยาทมั้ง”
“อ้าว แล้วเนลไม่ต้องไปด้วยเหรอ?”
“ไม่อ่ะ... เนลมารยาทดีมากอยู่แล้ว”
“อะ อ๋อ ก็ได้” แพลนชะงักไปครู่นึง เขาคงนึกสงสัยในคำพูดของฉัน และด้วยกิริยาท่าทางที่ดูเรียบร้อยมาตลอด เขาเลยไม่เอะใจว่าฉันหลอกด่าแบบหน้าด้านๆ เอาเหอะ ถ้าเขาจะไม่หล่อแล้วจะโง่ด้วย ก็ช่างเขาละกัน
“เอ้อ งั้นเราขอตัวเหมือนกันนะ” ไอ้แว่นที่ดูเหมือนจะมีมารยาทสังคมพื้นฐานอยู่บ้างเอ่ยขึ้นเมื่อแพลนทำท่าจะหันหลังกลับไปเพื่อมุ่งหน้าหาอาจารย์ ยังไม่วายที่จะแอบหันมาเหล่มองฉันกับนนท์นิดหน่อย ส่วนยัยผู้หญิงคนนั้นก็สาระแนตามแพลนไปด้วย พอทุกคนแยกย้าย นนท์ก็ยิ้มเล็กๆ แล้วเอ่ยแซะฉัน
“เคลียร์พื้นที่เก่งเหมือนเดิมนะ”
“เคลียร์อะไรเหรอ?” ฉันแกล้งซื่อก่อนที่คนตัวสูงจะแค่นหัวเราะออกมา นนท์เป็นคนฉลาด เขาเลยรู้ทันฉันไปซะหมด ไม่ว่าจะเรื่องที่ฉันแกล้งเรียบร้อย หรือที่ฉันโกหกเรื่องอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกแพลนเมื่อกี้นี้
ก็ถ้าฉันไม่อ้าง เขาก็จะทำตัวเป็นสัมภเวสีตามติดฉันจนน่ารำคาญไง จะไล่ไปก็ดูไม่งาม บังเอิญเหลือเกินที่ฉันโกหกหน้าตายเก่งมากซะด้วย
“ไม่ต้องมาใสหรอก นนท์รู้”
“โอเค ก็ได้” ฉันตอบรับง่ายๆ เพราะยังไงนนท์ก็พูดเองว่าไม่จำเป็นต้องใสๆ ใส่เขา ดังนั้นฉันจะเป็นอย่างที่เคยเป็นก็ได้ ไม่ว่าฉันจะเป็นยังไง ฉันก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาอยู่แล้วนี่ ฉันไม่มีอะไรต้องสนแล้วมั้ง
“นนท์” ฉันเรียกชื่อนนท์พร้อมขยับเท้าเข้าไปใกล้ ฉันยืนอยู่ข้างคนตัวสูงกว่า พลางเงยหน้าสบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ริมฝีปากสีอ่อนที่ฉันเคยครอบครองมันมาแล้วด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขามองกลับมาเหมือนจะถามว่ามีอะไร แต่ก็ไม่พูด ฉันเลยเข้าเรื่องแบบตรงประเด็น ไม่มีอ้อมค้อม “คิดถึงสัส”
“...”
นนท์เงียบพร้อมสีหน้าตกตะลึง ในขณะที่หน้าฉันยังนิ่งเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
เอ้า อึ้งล่ะสิ เขาบอกเองนี่ว่าไม่ต้องมาใส พอฉันใส่เต็มทำไมต้องสตั๊นด้วย ถ้ารับไม่ได้แต่แรกก็อย่าบอกแบบนั้นสิ ถ้าไม่สวมหน้ากากตอแหลอย่างที่ทำประจำ ฉันก็เป็นคนปากตรงกับใจชนิดขวานผ่าซากเลยนะ
“คิดถึงเฉยๆ ก็ได้ ไม่เจอนานเลยอินเนอร์แรงไปหน่อย โทษที“ ฉันยิ้ม แอบรู้สึกชนะที่เห็นท่าทางของคนตัวสูง ก่อนจะหุบยิ้มลงเมื่อเห็นอะไรบางอย่างที่คอของเขา
“แค่บอกว่าไม่ต้องใส แต่ไม่ต้องแรงใส่ขนาดนั้นก็ได้ ตกใจหมด”
“ล้อเล่นไง”
“นึกว่าคิดถึงจริง”
“ก็จริงดิ จะโกหกไม ที่บอกว่าล้อเล่นหมายถึงที่พูดแรงๆ ใส่หรอก”
“เหรอ คิดถึงมากมั้ยล่ะ?”นนท์ยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะเลิกคิ้วแล้วพูดเหมือนทีเล่นทีจริงแต่ชวนคิดไปไกล ฝ่ามือข้างนึงของเขาเอื้อมมาจับมือของฉันไว้ นัยน์ตาของเราสบกันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปร๊บจนฉันสะท้านทั่วร่าง
ความหวังที่ฉันเคยโยนทิ้งไปแล้วมันเริ่มจะก่อร่างสร้างตัวกลับมาเป็นกลุ่มก้อนเมื่อเขาบีบมือฉัน รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่ควรที่จะคาดหวังอะไรไปมากกว่านี้...
“มากพอจะไปนอนหอนนท์รึเปล่า?”
แต่ฉันก็ยังเลือกที่จะพยักหน้าตอบรับคนตัวสูงอย่างไม่ลังเล
ฉันคงดูเป็นผู้หญิงที่ง่ายมาก ไม่ต่างจากของตาย หายไปตั้งหลายปี พอมาเจอกันใหม่ เขาชวนนิดเดียวก็ใจแตกตามเขามาแล้ว จะคิดอะไรก็คิดไปเถอะ ฉันไม่สนใจหรอก คนที่นินทา ฉันก็มองว่ามันเสือก เพราะมันเป็นเรื่องของฉัน ร่างกายของฉัน ฉันจะใช้มันทำอะไรกับใคร ยกให้ใคร ฉันก็มีสิทธิ์ อีกอย่างฉันไม่ได้เป็นกับทุกคนฉันเป็นแค่กับนนท์
ไม่ว่าจะตอนนั้น หรือตอนนี้ ฉันก็เป็นแค่กับเขา ฉันเคยเทคแคร์ ดูแล ใส่ใจ พยายามมามากจนเหนื่อยสายตัวแทบขาด สุดท้ายเหรอ... อย่างที่เห็น เป็นแค่คนที่ไม่ใช่ พยายามแค่ไหนก็สู้คนในใจเขาไม่ได้อยู่ดี