“อ้าว เรียนนี่เหรอ?” นนท์เลิกคิ้วสูงก่อนจะมองหน้าฉันแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงมีมารยาทเช่นกัน เขามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของฉันอยู่
ก็ไม่แปลก เพราะฉันเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ ทรงผมผิดระเบียบ ผมย้อมหลากสี แต่งหน้าจัด และทุกๆ วิถีทางที่ฉันจะแหกอกอาจารย์ให้กรี๊ดสลบได้ ฉันทำมาหมดแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับเจอฉันในสภาพเรียบร้อยประหนึ่งผ้าที่พับไว้ ไม่ต่างอะไรจากกุลสตรีคนดีของชาติ พูดให้เห็นภาพคือกุลสตรีกว่านี้ก็นางในวรรณคดีแล้วล่ะ
“อ๋อ ใช่” ฉันตอบนนท์แต่ก็แอบเหล่สายตาไปมองแพลน ที่ลุกขึ้นยืน เขาจิ๊จ๊ะเซ็งนิดหน่อยที่ฉันไม่ให้ความสนใจเขาสักเท่าไหร่
“แพลนเป็นไรปะ?” ฉันแสดงความเป็นคนดีด้วยการเป็นห่วงตามมารยาทเล็กน้อย แม้ความจริงฉันจะสาปแช่งเขาก็เหอะ
“เจ็บอ่ะ” เขาเบ้หน้าแล้วทำตาอ้อนๆ ฉันยิ้มแหย
เรื่องของมึงสิ... นี่พูดในใจ
“รีบไปหาหมอนะ เดี๋ยวจะเป็นไรมากกว่านี้”
...อันนี้พูดออกไปจริงๆ
“น่ารักจัง เป็นห่วงแพลนด้วย” เขาทำหน้ายิ้มแย้ม พยายามจะเสนอหน้าเข้ามาสอดแทรกฉันกับนนท์ด้วยการมองไปทางคนมาใหม่ด้วยนัยน์ตาสงสัย “ละนี่ใคร รู้จักกันด้วยเหรอ?”
เสือก... นี่พูดในใจ
“อ๋อ รู้จักกัน”
...อันนี้พูดออกไปจริงๆ
“หน้าตาก็ใช้ได้นะ” หมอนั่นพยักหน้าเล็กๆ แล้วสำรวจนนท์ จนคนตัวสูงมองกลับด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก เขาขยับเท้าเดินขึ้นบันไดหนี แต่อีแพลนก็เดินตามเหมือนสัมภเวสี จนฉันอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด รู้สึกอยากจะยกเท้าถีบมันตกบันไดให้คอหักตายอีกสักรอบ
หน้าตาก็ใช้ได้นะ? เฮอะ อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง ถ้าเทียบหน้านนท์กับเขา เหมือนเอาหนังเท้าที่ลอกออกจากตาปลามาประชันกับโฉลกหน้านิชคุณอ่ะ ข้อศอกหมายังด้านน้อยกว่าหน้าแพลนเลยมั้ง คนเขาไม่ชอบก็ตื้ออยู่ได้ รำคาญ!
“นนท์แวะมาหาเพื่อนแถวนี้” นนท์ว่าก่อนจะหยุดเท้าตรงหน้าฉัน พวกเราอยู่ห่างกันไม่มาก บทสนทนาเป็นไปอย่างเรียบง่ายราวกับว่าเรื่องของเราไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“อ๋อ” ฉันตอบรับ คนตัวสูงนิ่งไปแล้วมองฉันเหมือนคิดอะไรอยู่
“ว่าไงนาย เราแพลนนะ แฟนเนล” แพลนพยายามมีบทบาท ทั้งที่เกิดมาเป็นตัวประกอบจนฉันหงุดหงิดใจในความสาระแนของเขา ไอ้แว่นหยุดยืนอย่างมีมารยาท ส่วนเพื่อนแพลนก็ทำหน้าสนอกสนใจฉันซะเหลือเกิน
“เรานนท์” นนท์ตอบกลับอย่างมีมารยาท ไม่มีความรู้สึกอะไรอยู่ในนั้น เหมือนจะถามว่าฉันมีแฟนแล้วไง? เขาไม่ได้สนใจหรอก แต่เอาเหอะ ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะแสดงท่าทีหึงหวงอยู่แล้ว ฉันปลงตั้งแต่เมื่อหลายปีที่ก่อนละว่าถึงฉันพยายามแค่ไหนก็ไม่ได้ใจเขาหรอก แค่รู้สึกเหมือนถูกตอกย้ำอีกรอบเฉยๆ เอง
เฮ้อ ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ท่องวนไปค่ะ
เพราะฉันปลงแล้ว ฉันจึงไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดเรื่องอีแพลน ช่างมันและช่างแม่ง ฉันจะมีใครหรือไม่มี ก็ไม่เคยสำคัญกับนนท์หรอก
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ท่องอีกรอบละกัน จะได้ปลงอีก
“บังเอิญดีเนอะ ไม่เจอกันตั้งนาน”
“โลกกลมดี” นนท์ยิ้มอย่างเป็นมิตรและทิ้งความเงียบระหว่างบทสนทนาให้ฉันรู้สึกว่างเปล่า
...แค่นี้เหรอ เขาไม่คิดจะขอช่องทางการติดต่อฉันสักนิดเหรอ?
อืม แค่นี้ก็แค่นี้ ไม่เป็นไรหรอก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เฮ้อ นี่ฉันท่องจนจะตรัสรู้ละนะ ฉันรู้แหละว่าคนเราไม่ควรจะยึดติดกับอดีต ทุกอย่างควรจะปล่อยมันไว้ให้เป็นแค่ความทรงจำ มีผู้ชายบนโลกอีกตั้งเป็นล้านที่รอให้ฉันเข้าไปแอ๊วอยู่ แต่ไม่ว่าฉันจะลองคบกับใคร คุยกับใคร ฉันก็มีความรู้สึกให้คนอื่นเท่าคนที่อยู่ตรงหน้าฉันไม่ได้ มันโคตรจะฝังใจ ถ้าใครไม่เคยเป็น ไม่รู้หรอก
คงเพราะเขาเป็นรักแรก เป็นคนแรก และเป็นคนเดียวที่ฉันรัก แต่เขาไม่รักฉันมั้ง
ช่างเถอะ ฉันควรจะคอสเพลย์เป็นเอลซ่าแล้วร้องเพลง Lets it go เพื่อปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป
“แล้วสบายดีมั้ย?” แค่คำถามเรียบง่ายและแสนธรรมดา ทำให้เอลซ่าที่สถิตในตัวฉันกระเจิดกระเจิงบันเทิงไปคนละทิศ ฉันนึกด่าตัวเองอยู่ในใจที่กระดี๊กระด๊ากับเรื่องแค่นี้
ให้ตายสิ ฉันอุตส่าห์ปลงตั้งนาน ทุกอย่างพังเพราะประโยคเดียวนี่นะ
“แน่นอนว่าดีเพราะแพลนดูแลเนลทุกย่างก้าวเลยนะ”
เพราะฉันดีใจมากจนฉันตื่นเต้นที่จะตอบ จนแพลนตอบแทนฉัน และนั่นทำให้ฉันหงุดหงิดในความสาระแนของเขามากขึ้นจนฉันเผลอตวัดสายตาไม่พอใจไปทางเขา ฉันพยายามเก็บอารมณ์ไว้ก่อนจะตั้งสติและพูดกับเขาด้วยประโยคดีๆ เช่นเคย
เราขอคุยกับเพื่อนแป๊ปนึงนะ ...นี่คิดในใจ
“แพลนช่วยหยุดเสนอหน้าสักทีได้ปะ? รำคาญ”
...อันนี้พูดออกไปจริงๆ
“ฮะ?” ใบหน้าเหรอหราของคนถูกตอกหน้าทำให้ฉันชะงัก ฉันมองหน้าเขานิ่งและนึกเซ็งว่าเขางงอะไรจนฉันนึกขึ้นได้
ฉิบหายละ... ความคิดกับคำพูดฉันสลับกันว่ะ!
“เนลว่าอะไรนะ?” แพลนเอ่ยถามขึ้นมาอีกอย่างไม่เชื่อสายตา ในขณะที่ฉันนึกอยากจะกุมขมับให้กับความสะเพร่าของตัวเอง