“หนูปลา.. หนูปลาแกเป็นไงบ้าง ไหวไหม”
“อื้อ.. ไหวอยู่ แกมาถึงตั้งแต่เมื่อไร และนี่ฉันเป็นอะไรอ่ะ”
เสียงคุ้นเคยที่เอ่ยเรียกกับกลิ่นยาดมส้มมือที่โชยไปมาอยู่บริเวณจมูก ทำให้ปาลิดายื้อขวดยาดมนั้นมาถือซะเอง ก่อนจะสูดดมเข้าไปแรงๆ หลายๆ ครั้ง ความรู้สึกโขยกเขยกไปมาทำให้รู้ว่าเธอและวิฬาร์น่าจะอยู่ในรถแท็กซี่
“ไม่ต้องลุกเลย นอนเฉยๆ เถอะ เดี๋ยวก็ถึงคอนโดแล้ว”
“หือ.. แล้วแกเป็นอะไร นี่ฉันไม่สบายนะ แกยังจะมางอนฉันอีก”
น้ำเสียงเข้มปนงอนแบบไม่จริงจังเท่าไร แต่ก็ทำให้ปาลิดารู้สึกได้ว่าอารมณ์ของวิฬาร์ไม่ค่อยจะปกตินัก ดวงตากลมโตไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มปรือตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเขม่นมองเพื่อนสาวที่ไม่เจอกันนานตั้งหลายเดือน เพราะตั้งแต่เรียนจบเธอก็มุ่งหน้าเข้าไร่เข้าสวน ใช้ความรู้ด้านการบัญชีที่ร่ำเรียนมาเพื่อบริหารโรงสีข้าวและเรือกสวนไร่นาของที่บ้านให้ดีที่สุด และก็เพื่อใช้ช่วยเหลือผู้เป็นพ่อในการให้คำแนะนำเรื่องต่างๆ ให้กับลูกบ้าน จะได้ไม่ถูกใครเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายๆ
ส่วนวิฬาร์นั้นก็ไปช่วยที่บ้านทำกิจการเหมือนกัน ทว่าลูกสาวเจ้าของสนามยิงปืนอย่างวิฬาร์ ก็มีเวลามากพอที่จะไปท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ต่างประเทศ แต่วิฬาร์กับเธอก็ยังคงติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ เพราะที่เธอหนีมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็ด้วยคำแนะนำของวิฬาร์ทั้งนั้น แต่อาการงอนๆ ที่เห็นนี้ก็ทำให้เธอไม่เข้าใจว่าวิฬาร์จะงอนเธอเรื่องอะไรกัน เพราะคุณลักษณะผู้หญิงขี้งอนนี้ไม่ใช่นิสัยของยัยแมวเหมียวเพื่อนของเธอเลยสักนิด ถ้าเป็นขี้วีนจะเข้าท่ากว่า
“ยัยแมวหง่าว.. แกงอนฉันทำไม”
“แมวเหมียว ฉันชื่อแมวเหมียว”
“หึหึหึ.. ยังจำชื่อตัวเองได้ งั้นก็ไม่เท่าไร”
“ยัยหนูปลาบ้า! อย่ามาทำเนียนเลย หล่อนน่ะมันร้ายนัก”
“ทำเนียนอะไร ร้ายอะไร แกพูดอะไรของแกเนี่ย! โอย.. ฉันไม่คุยกับแกแล้ว แกยิ่งพูดฉันก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้น ไปอยู่เมืองนอกจนเพี้ยนรึไงนะ”
ปาลิดาหลับตาแหงนหน้าขึ้นพิงพนักเบาะ ดวงตาสวยหวานไร้แว่นหนาเตอะปกปิดชำเลืองมองเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะชำเลืองมองมาที่เธออย่างเป็นห่วงเช่นกันแต่ยังทำฟอร์มว่าไม่สนใจอยู่อย่างนั้น
“โอ๋..ดีกันนะ จะงอนฉันไปถึงไหน ไปทำอะไรให้ก็ไม่รู้ ถือคนไม่สบายนี่เขาว่าจะได้สามีเจ้าชู้นะจ๊ะ”
“ยัยหนูปลาเน่า”
“อิอิ.. ดีกันนะยัยแมวหง่าว”
“แมวเหมียว!”
“จ้า..แมวเหมียว ว่าแต่..งอนเรื่องอะไร”
อาการวูบวาบที่ใบหน้าพุ่งริ้วขึ้นมาในทันทีที่ได้ฟังเรื่องราวจากวิฬาร์ เธอเป็นลมที่สนามบินนั่นก็พอจะรู้ เพราะสภาพวิงเวียนศีรษะเมื่อฟื้นขึ้นมาบอกอาการแบบนั้น
ทว่าคนที่บังเอิญเข้ามาประคองเธอในทันทีที่ล้มลงกลับกลายเป็นพ่อเทพบุตรที่วิฬาร์หมายปองและอยากสานสัมพันธ์กับเขานักหนา แต่เพราะต้องเร่งปฐมพยาบาลเธอ
วิฬาร์จึงพลาดโอกาสนั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนงอนไม่เลิกเพราะเขาเป็นหนุ่มลูกครึ่งที่..หล่อมากกกกก ปาลิดาเหมือนจะจินตนาการเห็นภาพคนหล่อนั้น แต่ยิ่งหล่อมากเท่าไรก็ยิ่งจะอันตรายสำหรับเธอ เพราะโรคแพ้คนหล่ออย่างแรงยังไม่มียาใดที่รักษาหาย
“ยิ้มอะไร เห็นแบบนี้มาตั้งแต่ออกจากสนามบินแล้วนะ” อรินชำเลืองมองคนนั่งด้านข้างที่ทำท่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตั้งแต่ออกจากสนามบินจนถึงเดี๋ยวนี้
“ขำว่ะ”
“ขำ.. ขำอะไร นี่ไม่ใช่ว่าได้เบอร์สาวๆ มาทั่วทั้งไฟว์นะ”
“ก็เกือบๆ ว่ะ แค่ต้องแกล้งทำหลับตลอดก็เท่านั้น คนหล่ออะนะสาวๆ คงให้อภัย”
“เออ.. เราเชื่อ ว่าแต่ยิ้มอะไรกันแน่”
“ก็ขำน่ะ ผู้หญิงไทยแปลกดี”
“แปลก.. แปลกยังไง”
“จืด.. เชย.. แต่รวมๆ กลับน่ารักดี แปลกไหม”
ดวงตาคมเข้มเปล่งประกายบางอย่างออกมาจนทำให้อรินต้องหันกลับมามองอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะรีบเบนสายตามองท้องถนนข้างหน้าที่การจราจรเริ่มจะหนาแน่น
“เบน.. อย่าบอกนะว่า นายชอบเธอ”
“Oh! NO. เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดก็เป็นไปไม่ได้ อรินนาย.. นายไม่ได้เห็นหน้าเธอ นายเข้าใจไหมคำว่า..จืด.. หล่อนจืดมาก ทั้งจืดทั้งเชย..”
“แต่ก็น่ารักงั้นสิ”
เบนจามินที่ปฏิเสธเสียงหลงเหมือนจะจนในคำพูดเมื่ออรินเป็นฝ่ายตอบประโยคนั้นออกมาให้เสียเอง แต่คนหล่อลากดินอย่างเบนจามินมีหรือที่จะจนมุม
“ก็แค่เห็นว่าแปลกเท่านั้นแหละ เกิดมาไม่เคยเห็นว่ะ ผู้หญิงไม่แต่งหน้า มันก็เลยรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยเท่านั้น”
“แปลกจี๊ดไปจนถึงหัวใจเลยหรือเปล่า ถ้ามีอาการแบบนั้นเขาเรียกว่า..รักแรกพบ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า.. ไปกันใหญ่แล้วอริน ไม่เจอกันตั้งนาน..นายนี่ยังน้ำเน่าได้ไม่เปลี่ยน”
หนุ่มลูกครึ่งพูดพลางส่ายศีรษะ ดวงตาคมเข้มทอดมองสองฝั่งข้างทาง ประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงไปกว่า 10 ปีที่เคยมาเยือน ความตื่นเต้นที่คิดว่าจะเกิดขึ้นมากกว่านี้กลับถูกแทนที่ด้วยใบหน้าใสๆ ไร้เครื่องสำอางเจือปนนั้น แพขนตาหนางอนงามภายใต้แว่นตาหนาเตอะคู่นั้น จมูกโด่งรั้นนิดๆ แก้มสีเลือดฝาดดั่งคนจะเป็นไข้และริมฝีปากอวบอิ่มที่ให้สีชมพูระเรื่อ