“ทับทิมลูก พี่ปั้นมีศักดิ์เป็นพี่หนูต้องยกมือสวัสดีนะลูกไม่ใช่ยื่นมือออกไปจับ”
“เหรอคะแม่”
“ใช่จ้ะ ลองใหม่สิค่ะ สวัสดีพี่ปั้นสวย ๆ เร็ว” คนเล็กกว่าทำตามที่แม่บอกอย่างว่าง่าย เจ้าตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยกมือประนมไว้แนบอก จากนั้นก็ก้าวขาข้างหนึ่งไปด้านหลังแล้วย่อตัวก้มหน้าอยู่ในท่าสวัสดีแบบที่เห็นได้บ่อย ๆ ตามงานประกวดมารยาทไทย ถึงจะดูทุลักทุเลเพราะติดพุง แต่สุดท้ายก็ยืดตัวกลับมายืนตรงหลังจากโซเซอยู่หลายรอบ
“ทำไมหลานป้าไหว้สวยจังเลย ไม่เจอกันปีเดียวโตขนาดนี้แล้วเหรอลูก” แม่ผมเอ็นดูถึงขั้นสุด หอมแก้มย้วยซ้ายทีขวาทีราวกับคนคลั่ง คนโดนหอมดูจะชอบใจหัวเราะคิกคักไม่หยุดเชียว
“มาเหนื่อย ๆ ขึ้นไปพักข้างบนก่อนดีกว่า ส่วนกระเป๋าเดี๋ยวให้เด็ก ๆ ยกขึ้นบ้านให้” เราสามคนพ่อแม่ลูกทำตามที่ลุงยศบอกแล้วเดินขึ้นบ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา
ลุงยศเป็นเพื่อนสนิทพ่อตั้งแต่ตอนเรียนมหา’ลัย พ่อเล่าว่าลุงยศเป็นคนรักสันโดษ แกไม่ชอบความวุ่นวาย แกชอบอยู่ในที่สงบ ๆ ได้คลุกคลีกับธรรมชาติเลยตัดสินใจทิ้งงานเมืองหลวงที่รายได้เฉียดแสนบาทต่อเดือนมาทำนาทำไร่ที่บ้านเกิดของภรรยา
“ตาปั้นยิ่งโตยิ่งหล่อนะไอ้ป้อง” ลุงยศชมพร้อมตักกับข้าววางลงบนจานผม ท่านยิ้มให้ก่อนที่มือใหญ่จะวางลงบนหัวอย่างเอ็นดู
“ลูกมันก็หล่อได้พ่อมันนั่นแหละ” คนเป็นเพื่อนถอนใจ ถึงจะส่ายหน้าเหมือนระอาแต่ก็ไม่ได้แย้ง
“พ่อขา ทิมอยากได้กับข้าวบ้าง” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นอย่างออดอ้อนทำให้ผมละสายตาจากลุงยศเป็นคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งยัยพุงย้อยเองก็มองผมอยู่เหมือนกัน
“อยากกินจานไหนเดี๋ยวพ่อตักให้”
“อยากกินเหมือนพี่ปั้นค่ะ” นิ้วป้อม ๆ ชี้ลงมายังจานข้าวของผมซึ่งมีไข่เจียวชะอมที่ลุงยศตักให้ ดูท่ายัยเด็กอ้วนคงกลัวว่าพ่อตัวเองจะรักผมมากกว่าถึงได้ออดอ้อนขนาดนี้
เหอะ! ยัยเด็กขี้อิจฉา
พอได้ดังใจก็เคี้ยวตุ้ย ๆ จนเต็มปาก แก้มที่ป่องอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งกว่าอมไข่ไว้ทั้งฟอง กินเก่งแบบนี้สินะร่างกายถึงได้เต็มไปทุกสัดส่วน
“ยัยลูกหมูเอ้ย...” ผมพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง แต่ไม่คิดว่าแม่จะได้ยิน
“ตาปั้นนี่ ว่าน้องแบบนั้นได้ยังไง” แม่ตีแขนดังเพี้ยะจนผมต้องยู่หน้าเพราะไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด แค่เรียกยัยเด็กอ้วนว่าลูกหมูแล้วมันผิดตรงไหน ในเมื่อก็เห็นอยู่ว่าเป็นไปตามที่พูด
“ไม่เป็นไรหรอกพี่นาว ที่ตาปั้นพูดก็ไม่ได้ผิดอะไร ลูกสาวแววเหมือนหมูน้อยจริง ๆ นั่นแหละ” เห็นไหมละ ขนาดน้าแววยังเห็นด้วยมีแต่แม่นั่นแหละที่ยังถลึงตาใส่ไม่เลิก
“พี่กลัวหนูทิมรู้สึกไม่ดีน่ะสิแวว” แม่พูดกับน้าแววแล้วหันหน้าหาหลานรัก “ป้าขอโทษแทนพี่ปั้นด้วยนะลูก พี่เขาเอ็นดูหนูก็เลยพูดว่าหนูเหมือนลูกหมู” ผมเปล่านะ ผมไม่ได้พูดเพราะเอ็นดู ผมพูดเพราะรู้สึกว่ายัยทับทิมอ้วนเหมือนลูกหมูที่กลิ้งไปกลิ้งมาเวลากินรำอิ่ม
“ทิมชอบหมูค่ะ หมูอร่อย” ยัยเด็กอ้วนยิ้มแป้นเมื่อได้ยินผู้ใหญ่พูดถึงหมู ก็น่าจะชอบจริงแหละหุ่นยวบยาบขนาดนี้ แล้วก็คงไม่ได้ชอบหมูธรรมดา แต่คงชอบหมูติดมัน!
“กินข้าวเสร็จเราไปพายเรือดูหิ่งห้อยกันไหม”
“เอาสิ เมียกูพูดตั้งแต่ออกจากบ้านว่าอยากมาดูหิ่งห้อยที่สวนมึง”
“งั้นป่ะ เดี๋ยวให้ทับทิมนำทาง” ลุงยศค้อมตัวหาลูกสาว “วันนี้เป็นไกด์นำเที่ยวให้ครอบครัวพี่ปั้นหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาใด ๆ เลย” ทุกคนหัวเราะให้กับความช่างพูด ผมเองก็เหมือนกันหัวเราะให้กับยัยเด็กปอสามที่พูดจ้อไม่หยุดปาก
ตั้งแต่ออกจากบ้านทับทิมพูดไม่หยุดเลย เดินผ่านต้นไม้ต้นไหนก็หยุดแวะแล้วแนะนำให้รู้จัก อย่างตะไคร้เราทั้งหมดก็หยุดดูเพราะไกด์ตัวน้อยบอกว่าอยากแนะนำ
“ตะไคร้มีประโยชน์หลายอย่างค่ะคุณลูกทัวร์ นำไปปรุงกับข้าวได้ให้กลิ่นหอมดับกลิ่นคาว แล้วก็ยังใช้ไล่ยุงได้ด้วยนะคะ”
“จริงเหรอลูก! ว่าแต่ต้องทำยังไงถึงจะไล่ยุงได้คะ” แม่ผมตาโตโอเวอร์ไปกับเด็ก
“ทำแบบนี้ค่ะ” ยัยลูกหมูพยายามดึงตะไคร้ออกจากกอ แต่ด้วยเรี่ยวแรงมีไม่พอแม้จะกัดฟันจนตาเหลือกก็ยังไม่ได้มาสักเส้นผมเลยต้องยื่นมือเข้าไปช่วย
“ถ้าดึงยากก็แค่หักมันออกมา” คนตัวเล็กพยักหน้า เจ้าตัวยกมือไหว้แล้วแบมือรับตะไคร้จากมือผม
“เราต้องทุบน้องค่ะคุณป้า ถ้าไม่ทุบก็ขยี้ ๆ แบบนี้เพื่อให้กลิ่นลอยออกมา กลิ่นหอมของตะไคร้จะช่วยไล่ยุงได้เพราะยุงไม่ชอบกลิ่นนี้ค่ะ”
“เก่งจังเลยลูก ขอบใจที่แนะนำความรู้ให้ป้านะคนเก่ง” คนถูกชมยิ้มหน้าบาน ร่าเริงพูดจ้อจนกระทั่งมาถึงเรือ
“คุณไกด์เลือกเลยครับว่าจะลงเรือลำไหน” ยัยลูกหมูเม้มปากแน่นอย่างคนใช้ความคิด มองเรือที่พ่อตัวเองนั่งสลับกับเรือที่พ่อผมนั่งอยู่
“ทิมจะไปลำเดียวกับพี่ปั้นค่ะ”
“ตามนั้นครับลูกสาว” พอได้รับอนุญาตมือเล็กป้อมก็จูงมือผมให้เดินตาม
“พี่ปั้นต้องเหยียบตรงนี้นะคะจะได้ไม่โคลงเคลง”
“รู้น่า ห่วงตัวเองเถอะลูกหมู” ผมโตกว่าเธอตั้งหลายปี ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้เด็กอ้วนอย่างเธอมาสอนลงเรือหรอก เอาเวลาห่วงคนอื่นไปห่วงตัวเองเถอะแม่คุณ ตุ้ยนุ้ยขนาดนั้นจะเดินลงบันไดไหวรึเปล่า
“ป้าอุ้มไหมลูก” แม่เห็นท่าทางลำบากเลยเอ่ยปากว่าจะช่วย แต่คนตัวเล็กกลับส่ายหน้าพยายามลงบันไดด้วยตัวเอง จนในที่สุดก็สามารถลงเรือได้จนสำเร็จ
นอกจากนั่งเรือชมหิ้งห้อยผมก็ได้รับหน้าที่ดูแลยัยเด็กอ้วน ต้องคอยดูไม่ให้กวักมือเล่นน้ำ แล้วก็ต้องคอยดึงคอเสื้อไว้เวลาเจ้าตัวตื่นเต้นตอนหิ่งห้อยบินออกมา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตื่นเต้นขนาดนี้ ตบมือแปะ ๆ ดิ้นดุ๊กดิ้กไปมาราวกับไม่เคยเห็นทั้งที่ก็น่าจะเห็นบ่อยจนชินตา
“ลูกหมูอยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวก็ตกลงไปในน้ำหรอก”
“ตกก็ไม่เป็นไรค่ะทิมว่ายน้ำเป็น” พูดจบก็หันมายักคิ้วให้ แสดงออกเหลือเกินว่าตัวเองเก่ง
“ขี้โม้” ขนาดตัวเท่านี้เนี่ยนะจะว่ายน้ำเป็นอย่ามาโกหกกันหน่อยเลย
“จริงนะ ทิมเรียนไว้น้ำกับคุณพ่อตั้งแต่อนุบาล” แถมยังเถียงเก่งอีกต่างหาก
“น้ำในสระกับน้ำในคลองมันต่างกัน ตกลงไปไม่รู้จะเจออะไรบ้าง”
“เจอปลาค่ะ พ่อซื้อน้องปลามาปล่อยเยอะเลย” เฮ้อ... หัวจะปวดกับเด็กอ้วน “พี่ปั้นรู้ไหมคะว่าทำไมทิมไม่กลัวน้ำ” อะไรอีกล่ะ อยู่ ๆ ก็มาถาม
“แล้วทำไมไม่กลัว” เล่นด้วยหน่อยแล้วกัน ไหน ๆ ก็อีกนานกว่าจะขึ้นฝั่ง
“เพราะทิมมีห่วงยางส่วนตัวค่ะ” ว่าจบก็เลิกเสื้อแล้วบีบพุงที่ตั้งเป็นชั้น ๆ ของตัวเองให้ผมดู “ไม่ว่าจะตกน้ำที่ไหนทิมก็ไม่มีทางจม”