ชีวิตนักศึกษาชั้นปีสองของผมผ่านพ้นไปแล้วเรียบร้อย ตอนนี้อยู่ในช่วงปิดเทอม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมาทำงานที่คณะแทบทุกวัน ด้วยความที่ปีนี้ได้รับเลือกให้เป็นประธานสโมสรนักศึกษาของคณะ ผมเลยต้องเข้ามาวางแผนเตรียมงานรับน้องที่กำลังจะมาถึง
หน้าที่รับน้องเป็นของปีสองก็จริง แต่พี่ปีสามอย่างผมก็ต้องคอยให้คำปรึกษา ตรวจสอบแผนงานที่รุ่นน้องส่งมาว่าเหมาะสมที่จะใช้ในการจัดกิจกรรมไหม
อย่างที่รู้ว่าทุกวันนี้ทุกมหา’ลัยเน้นรับน้องเชิงสร้างสรรค์ บวกที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับการรับน้องของคณะวิศวะให้เห็นค่อนข้างบ่อยทางมหา’ลัยจึงค่อนข้างเพ่งเล็งเป็นพิเศษ อย่างปีก่อนที่พวกผมได้รับผิดชอบหน้าที่นี้มหา’ลัยถึงกับส่งคนตามติดทุกกิจกรรม เล่นเอาแทบขยับตัวกันไม่ได้
“เป็นไงเฮีย แผนพวกผมโอเคป่ะ”
“อือ โอเค” พยักหน้าแล้วส่งแผนงานคืน ไอ้ต้นหัวหน้าชั้นปีสองกระโดดหยอย ๆ ด้วยความดีใจที่ในที่สุดแผนงานที่แก้มาถึงสามรอบก็ผ่านได้สักที “อย่าลืมขอลายเซ็นอาจารย์ก่อนยื่นเรื่องให้คณะบดีล่ะ”
“รับทราบครับรุ่นพี่”
“พอได้ลายเซ็นครบให้ถ่ายเอกสารเอามาส่งที่นี่หนึ่งชุดแล้วตัวจริงมึงเก็บไว้ ส่วนพวกใบเสร็จค่าใช้จ่ายให้รวบรวมส่งหลังรับน้องเสร็จไม่เกินหนึ่งอาทิตย์พร้อมรายงานสรุป”
“โห่เฮีย...” คนพูดทำหน้างอ
“มึงมีปัญหาอะไร”
“อาทิตย์เดียวพวกผมจะทำทุกอย่างทันได้ยังไง ขอสักสองอาทิตย์ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้” ผมยื่นคำขาด “หลังรับน้องจบมึงต้องเคลียร์งานให้เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์ ไม่ต้องมาต่อรอง” ชี้หน้าดักเมื่อเห็นรุ่นน้องอ้าปากเตรียมแย้ง
“เฮียจะโหดไปไหนเนี่ย หยวน ๆ ให้น้องหน่อยไม่ได้ไง”
“ดีแค่ไหนที่กูไม่ให้มึงส่งภายในสามวัน ออกไปได้แล้วกูจะคุยโทรศัพท์” ปัดมือไล่แต่ไอ้ต้นก็ยังยืนทำหน้ายุ่งอยู่ที่เดิม ผมเลยสงเคราะห์ด้วยการลุกขึ้นเตะเข้าหน้าขาหนึ่งป้าบใหญ่มันถึงกุลีกุจอวิ่งออกจากห้องไป
“ครับแม่”
(ช่วงนี้งานที่มหา’ลัยเยอะรึเปล่า พอมีเวลาแวะมาที่บ้านไหม)
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”
(แม่มีเรื่องสำคัญคุยด้วยน่ะ ถ้ามีเวลาเสาร์อาทิตย์นี้กลับบ้านนะ)
“ครับ ผมจะกลับ” ไม่ได้ถามว่าเรื่องสำคัญของแม่คืออะไร เพราะถ้าแม่คิดจะบอกแม่ก็คงพูดออกมาแล้วไม่รอให้ผมกลับถึงบ้าน
(โอเคลูกชาย เจอกันวันเสาร์จ้ะ)
“คร้าบ” สายถูดตัดไปแล้วผมเลยเก็บโทรศัพท์เข้าที่เดิมแล้วเริ่มลงมือทำงานต่อ
พอถึงวันเสาร์ผมก็ทำตามที่รับปากกับแม่ไว้ ขับรถออกจากคอนโดประมาณบ่ายสามโมง กะว่าให้ถึงบ้านพอดีเวลาอาหารเย็น
“สวัสดีครับพ่อ” ลงจากรถได้ก็ยกมือไหว้หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบปีที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน
“มาได้สักทีนะพ่อคนกิจกรรมเยอะ” ผมหัวเราะเมื่อโดนแซว “แม่ทำกับข้าวอยู่ในครัว”
“ครับ” ผมรับทราบแล้วปลีกตัวเดินออกมา ยังไม่ทันได้เข้าบ้านหว่างคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นรองเท้าแตะผู้หญิงวางอยู่บนชั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่รองเท้าของแม่ผมเพราะมันดูวัยรุ่นเกินจะเป็นรองเท้าท่าน แล้วถ้าไม่ใช่ของแม่แล้วมันเป็นของใคร?
“มานานรึยังคุณลูกชาย” เสียงทักของแม่ทำให้ผมละความสนใจจากรองเท้าแตะคู่นั้น
“พึ่งถึงครับ ทำกับข้าวเสร็จแล้วเหรอ” เดินเข้าไปสวมกอด กดจูบลงไปยังแก้มนิ่มอย่างที่ทำเป็นประจำเวลากลับมาถึงบ้าน
“ยังเลย ขับรถมาเหนื่อย ๆ ขึ้นไปพักก่อนก็ได้ อีกสักยี่สิบนาทีเดี๋ยวแม่เรียก”
“ครับ” สะพายกระเป๋าเป้ขึ้นชั้นสอง รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างเพียงแค่เดินพ้นบันได ผมเปลี่ยนทิศทางการเดินจากห้องตัวเองเป็นห้องที่อยู่ทางขวามือ
“หือ?” หว่างคิ้วที่คลายไปแล้วก่อนหน้านี้ขมวดรวมกันอีกครั้งเมื่อเห็นว่าห้องที่เคยถูกใช้เป็นห้องรับแขกถูกตกแต่งอย่างดีราวกับจะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ถาวร ซึ่งปกติห้องนี้จะไม่ได้ตกแต่งอะไรมากเพราะนาน ๆ ทีมีคนมา แต่ตอนนี้มันกลับมีทั้งโต๊ะเขียนหนังสือ กระจกบานใหญ่ที่เห็นได้แบบเต็มตัว แล้วไหนจะผ้าม่านลูกไม้สีขาวครีมที่กำลังปลิวสู้ลมผืนนั้นอีก
“ใครมา” ถ้ามีญาติแวะมาเยี่ยมแม่จะบอกผมเสมอ แต่ครั้งนี้แปลกที่แม่ไม่พูดอะไรเลย
ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แล้วช่างมัน เดินกลับเข้าห้องของตัวเองล้มตัวนอนบนเตียงที่แค่ขยับกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มก็หอมฟุ้ง ไม่นานเปลือกตาก็หนักอึ้งแล้วเผลอหลับ
“ปั้นลูก ลงมากินข้าวได้แล้วครับ”
“คร้าบ ลงไปเดี๋ยวนี้คร้าบ” งัวเงียลุกจากที่นอน เดินเข้าห้องน้ำล้างหน้านิดหน่อยเพราะยังไม่หายจากอาการง่วง ระหว่างเดินลงบันไดได้ยินเสียงหัวเราะของแม่แว่วดังมา ดูท่าวันนี้แม่ผมจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“วางตรงนี้เลยลูก ที่เหลือเดี๋ยวป้าจัดการเอง”
“ค่ะคุณป้า” เสียงใสที่ตอบรับคำของแม่ทำผมหยุดการเคลื่อนไหว ผมมองแผ่นหลังบางของคนที่ยืนหันหลังให้ ลากสายตาลงมายังเอวคอดแล้วเคลื่อนต่ำยังบั้นท้ายสู่ก้นงอนที่ถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงยีนส์ขาสั้น จากนั้นก็เป็นเรียวขาสวยที่สามารถทำให้ใจผมกระตุก
“ยืนอยู่ตรงนั้นทำไมลูก มา ๆ น้องรอทานข้าวอยู่” แม่กวักมือเรียกทำให้คนที่ยืนหันหลังให้กันก่อนหน้านี้หันตามราวกับระบบอัตโนมัติ แล้วจังหวะที่เราสองคนสบตากัน เหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่งชั่วขณะ
สวย... นั่นคือคำแรกที่ผมนึกออกหลังจากยืนนิ่งมาสักพัก
“สวัสดีค่ะพี่ปั้น” คนตรงหน้ายิ้มหวานยกมือไหว้ “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ จำทิมได้รึเปล่า”
ทิม? ทิมไหนวะ ผมมองหน้าสวย ๆ ของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา พยายามนึกว่าเคยเจอมาก่อนไหมแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก หน้าตาแบบนี้ถ้าเคยเจอผมไม่มีทางลืมแน่นอน
“เงียบแบบนี้แสดงว่าจำไม่ได้สินะเรา”
“ครับ” ผมตอบคุณแม่ตามความจริง
“จำไม่ได้ก็ไม่แปลก เคยเจอกันตั้งแต่สิบปีก่อนเลยนี่นา” คำพูดของพ่อทำให้สมองผมประมวลหนัก ถ้าตั้งแต่สิบปีก่อนน่าจะเป็นตอนที่ผมอยู่ปอห้า
จำได้ว่าตอนนั้นแม่กับพ่อบอกจะพาไปเยี่ยมเพื่อนที่ต่างจังหวัดช่วงปิดเทอม เรานั่งรถหลายชั่วโมงกว่าจะถึง ผมบิดขี้เกียจเดินลงจากรถด้วยอาการเมื่อยขบไปทั้งตัว ก่อนจะต้องตะลึงกับภาพทุ่งนาเขียวขจีที่ทอดยาวสุดลูกตาในพื้นที่หลายร้อยไร่
ขณะที่ผมกำลังชื่นชมธรรมชาติตรงหน้าก็รับรู้ถึงแรงสะกิดตรงปลายแขน เป็นเด็กผู้หญิงตัวกลมคนหนึ่งกำลังเอียงคอมองมาอย่างสงสัย ผมไล่สายตามองคนเตี้ยกว่า แขนขาเธอเป็นปล้องเหมือนกับตุ๊กตาตัวขาว ๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของยางรถยี่ห้อหนึ่ง พุงก็ป่องยื่นออกมาจนเสื้อสายเดี่ยวตัวเล็กที่ใส่อยู่หดขึ้นไปถึงครึ่งท้อง
ไม่มีเสื้อตัวใหญ่กว่านี้แล้วรึไง เห็นแล้วอึดอัดแทน...
“พี่ชื่อไรอ่า หนูชื่อทับทิมนะยินดีที่ได้รู้จัก” แนะนำตัวเสร็จก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วยื่นมือเล็กป้อมมาหาบ่งบอกว่าต้องการจับมือทักทายแบบฝรั่ง
พอคิดมาถึงจุดนี้ตาผมก็เบิกกว้าง “อย่าบอกนะว่าเธอคือ... ยัยลูกหมู?” ผมชี้มือไปยังคนตรงหน้าด้วยอาการตกใจถึงขั้นสุด
“ดีใจจังที่พี่ปั้นยังจำหมูทิมคนนี้ได้” คนบอกดีใจกำลังยิ้มส่วนผมกำลังอึ้ง
เป็นไปได้ยังไงที่ยัยเด็กอ้วนลงพุงในวันนั้นจะกลายมาเป็นคนที่ผมชมว่าสวยในวันนี้!