“ท่านรองสวัสดีค่ะ” เลขาสูงอายุกว่าฉันซึ่งเธอเป็นเลขาที่เก่งมากเอ่ยทักเมื่อเห็นฉันถ่อสังขารที่ยังไม่เที่ยงมาทำงาน จะหยุดงานเพราะเมาค้างก็ไม่ใช่เรื่อง ถ้าหยุดคุณหญิงสไบทองได้ตามไปจัดการฉันถึงคอนโดแน่
“สวัสดีค่ะคุณแข ชาของกาแฟดำนะคะ” ฉันพยายามฉีกยิ้มที่แสนจะยากให้คุณแข
“รอสักครู่นะคะ” คุณแขบอก ฉันจึงพยักหน้ารับจากนั้นก็เดินมารอภายในห้องทำงานสิคะ
“กาแฟดำได้แล้วค่ะ” คุณแขวางแก้วกาแฟ หลังจากที่ฉันรอประมาณห้านาที
“ขอบคุณนะคะ”
“คุณหญิงบอกให้ท่านรองไปพบที่ห้องของท่านประธานเวลาบ่ายโมงครึ่งนะคะ” แล้วคุณเลขาก็เริ่มรายงานสิ่งที่ฉันต้องทำ จนมาถึงคำสั่งของคุณหญิงสไบทอง
“คุณแม่เข้าบริษัทด้วยเหรอคะ” ฉันเอ่ยขึ้น
“ใช่ค่ะ ท่านโทรมาบอกดิฉันว่าให้แจ้งท่านรอง” คุณเลขายิ้มอย่างเป็นมิตร แต่ฉันนี่สิฉุกคิดถึงเรื่องที่แม่ได้พูดไว้เมื่อคืน
แค่คิดก็เครียดทันทีเลย!
จากนั้นฉันก็ทำงานไปเรื่อยๆค่ะโดยที่ในใจยังคงว้าวุ่น ไอ้เจ้าบ่าวที่จะมายืนเคียงข้างฉันในวันวิวาห์คือใคร? ข้อนี้ฉันก็อยากจะรู้!
ครืด ครืด ครืด!
“อืม” ฉันกล่าวทักปลายสายสั้นๆเพราะเวลาได้คืบคลานเข้ามาใกล้การนัดของฉันและแม่แล้ว ซึ่งฉันอยู่ในอาการเดิมคือเซ็งโคตร
(อาการเป็นยังไงมายเฟรน) ชาช่าถามไถ่ด้วยความห่วงใย
“อาการตอนนี้คืออยากเมา”
(ขนาดนั้นเลยเหรอวะ)
“เออดิ” ฉันฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน ฉันอยากจะร้องไห้
(ให้ไปรับไหมหรือจะมาหากู) ชาช่าเสนอความคิด
“ขออนุญาตค่ะท่านรอง ท่านรองคะถึงเวลาที่คุณหญิงนัดไว้แล้วค่ะ” คุณเลขาแขเปิดประตูเข้ามาเพื่อย้ำเตือนเวลานัดของคุณหญิงสไบทอง ฉันยกมือเป็นสัญญาณเตือนว่ารับรู้
(แม่มึงเข้าบริษัทด้วยเหรอชา) ชาช่าเอ่ยถาม นางคงจะได้ยินที่คุณเลขาแขพูด
“อืม นัดผ่านเลขาให้กูไปพบที่ห้องทำงานของพ่อ”
(เป็นการนัดที่เป็นทางการมาก)
“ก็ใช่ไง กูถึงอยากเมา”
(ใจเย็นๆนะมึง กูว่ารอบนี้แม่มึงเอาจริง อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด) ชาช่าว่า ซึ่งเหมือนจะเป็นคำปลอบใจแต่ฟังดูดีๆก็เหมือนจะมีการซ้ำเติมแอบแฝง
“ถือว่าปลอบใจได้ดี๊ดี” ฉันประชด
(เพื่อนหยอก เพื่อนไม่อยากให้เครียด)
“เออๆ เอาไว้เดี๋ยวกูโทรหามึงนะ กูต้องไปหาแม่ก่อนเลยเวลานัดมาหลายนาทีละ เดี๋ยวคุณหญิงสไบทองจะกริ้วกูอีก” ฉันเหลือบมองนาฬิกาเวลาบ่งบอกว่าล่วงเลยเวลานัดมาเกือบสิบนาทีได้แล้ว
(เคๆ ห่วงใยนะ) ชาช่ากดวางสาย จากนั้นฉันก็ลุกขึ้นจัดแจงเชคสภาพความเรียบร้อยของตัวเอง ฉันต้องสวยต้องเป๊ะถึงแม้ว่าสมองจะยังไม่โล่งก็เถอะ เพราะการเรียกไปพบแบบนี้อาจจะมีแขกที่ฉันต้องแสดงความรู้จักก็ได้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ฉันเคาะประตูให้ดูเป็นมารยาท จากนั้นจึงเปิดประตูห้องของท่านประธานเข้าไป สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ฉัน
แต่มีหนึ่งคู่เท่านั้นที่ฉันสะดุดตา มันคงไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดหรอกนะ!
“ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ พอดีชาแก้งานเพลินไปหน่อย” ฉันยกมือไหว้ด้วยสีหน้าสำนึกผิดที่ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอ
“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่รอได้” เสียงที่เอ่ยมานี้ไม่ใช่เสียงของคุณหญิงสไบทองมารดาของฉันหรอก ท่านคงเป็นแม่ของชายที่นั่งจ้องฉันอยู่นั่นแหละ
“เอ่อ ยัยชาคงจะงงค่ะคุณพี่เอาเป็นว่าเดี๋ยวน้องแนะนำเองนะคะ” และนี่แหละคือประโยคที่คุณหญิงสไบทองกล่าว คุณหญิงสไบทองมองหน้าฉันและฉีกยิ้มแต่สายตาของท่านคล้ายเรียกฉันให้เข้าไปนั่งข้างๆ ซึ่งฉันต้องรีบเลยล่ะไม่งั้นหลังจากพูดคุยเสร็จฉันโดนบ่นหูชาแน่
“นี่คือคุณสายสมรภรรยาของคุณวิสุทธิ์พ่อแม่ของภาคิน ซึ่งภาคินก็คือว่าที่เจ้าบ่าวของหนู” คุณหญิงสไบทองอธิบายให้ฉันรับรู้
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้พ่อแม่ของนายภาคินอีกครั้งและมาหยุดสายตาอยู่ที่นายภาคิน ซึ่งเขาจับจ้องฉันอยู่ก่อนแล้ว
“แม่ดีใจมากนะลูกที่ได้หนูชาลีมาเป็นสะใภ้” คุณหญิงสายสมรท่านยิ้มอย่างสุขใจ แต่ถามฉันบ้างไหมว่าฉันอยากมีผัวเหรอ
“ค่ะ” ฉันตอบไปสั้นๆเพราะถ้าเกิดพูดอะไรผิดไปคุณหญิงสไบทองเล่นงานฉันแน่
“เด็กคงยังไม่คุ้นกัน งั้นวันนี้พี่คินไปส่งน้องนะลูก จะได้สร้างความคุ้นเคย” คุณหญิงสายสมรท่านว่า
“แต่ชาเอารถมาค่ะ ไม่ต้องลำบาก...”
“ชาลีของแม่” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นพร้อมใบหน้าที่มีเลศนัย ฉันรู้ทันทีว่าประโยคเมื่อกี๊ทำให้คุณหญิงสไบทองกริ้ว
“ค่ะ ไปส่งก็ได้ค่ะ” ฉันควรนั่งเงียบๆและปั้นหน้ายิ้มแบบคุณทองสุขบิดาของฉันสินะ การพูดคุยหลังจากนั้นมีแต่เสียงหัวเราะ ซึ่งฉันที่ไม่อยากจะขำก็ต้องพยายามขำให้ได้ ส่วนว่าที่เจ้าบ่าวเขาโฟกัสที่มือถือแทนการจ้องมองฉันแล้ว...
ปึก!
“ให้ไปส่งที่ไหน” เสียงทุ้มที่เคยคุ้นเอ่ยขึ้นหลังจากที่ฉันโดนจับจ้องด้วยสายตาของผู้ใหญ่กระทั่งต้องขึ้นมาบนรถของว่าที่เจ้าบ่าว
“ส่งฉันที่ป้ายรถเมล์ก็ได้”
“นอนป้ายรถเมล์หรือไง”
“ไม่ค่ะ แค่ไม่อยากรบกวน” ฉันว่าจบก็หันมองด้านนอก การที่เรามาอยู่ภายในพื้นที่แคบๆที่มีแค่เราสองคน ฉันอึดอัด!
“ไปหาที่คุยกันหน่อยนะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” เขาเอ่ยขึ้นแล้วฉันมีสิทธิ์ปฏิเสธเหรอในเมื่อเขาคือคนขับ