“ฮ่าๆ ๆ เจ้าช่างเป็นแม่นางน้อยที่น่านับถือ กล่าววาจาได้ตรงกับใจ และยังขวัญกล้าเทียมฟ้า”
หลี่หวางชิงถลึงตาใส่คนตัวโต เขาทำนางเจ็บเมื่อครู่ กระดูกแทบแหลกสลายเป็นผุยผง พอนางกลัวแมงมุมก้นม่วง แสนน่าเกลียด แทนที่เขาจะปลอบขวัญกับส่งเสียงเยาะเย้ย ราวกับว่านางเป็นสตรีขวัญอ่อน ปัญญาทึบ ดังนั้นบุรุษเช่นจ้านซานป๋อ ยังควรเป็นเทพนักรบให้คนกราบไหว้อีกหรือ!
“ท่านไม่ใช่บุรุษ!” นางโพล่งใส่เขา พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่าใบหน้างามล้ำที่ถูกเขาบีบปลายคาง ได้รับความบอบช้ำมิน้อย นางจึงน้ำตาเล็ด รู้สึกปวดหนึบไปหมด
“กล่าวเช่นนั้น นับว่าผิด ข้าย่อมเป็นบุรุษ ดูเหมือนเจ้าชมชอบมากเสียด้วย เพราะเดี๋ยวตบตี เดี๋ยวกอดจนแน่น หากปล่อยให้เจ้าโมโหมากกว่านี้ คงมิแคล้วเราทั้งคู่ต้องถอดเสื้อผ้า แล้วนอนบนเตียงและโต้เถียงกันทั้งวันทั้งคืน!”
หลี่หวางชิงไม่เคยพบกับคนหลงตัวเองถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนนางเป็นนักแสดงชั้นนำแถวหน้าระดับประเทศ รับบทนางเอกแสนดี หวานละมุน ใสซื่อ ไร้ปากเสียงตอบโต้ใคร มักถูกพระเอกกระทำย่ำยี หรือกลั่นแกล้งให้เจ็บช้ำใจ แต่พระเอกที่นางรู้จัก ทั้งนอกจอและในบทมีดีบ้าง ร้ายกาจบ้าง แต่ยังไม่มีใครทำให้นางของขึ้นได้ถึงเพียงนี้!
บัดซบ! มารดาเจ้าเถิดจ้านซานป๋อ เขาคือประตูนรกแห่งแคว้นเป่ย เขาทำให้นางโกรธ ยามนี้บทนางร้ายใดที่ไม่กล้าเล่น หลี่หวางชิงขอประกาศว่า ส่งมาให้นางเถิด นางจะแสดงให้เต็มเหนี่ยว ซัดคนรูปงามให้หน้าหงาย
“ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่ เจ้านิยมในตัวข้า นี่คงอ่านตำราคู่รักมามิน้อย จึงคิดว่ายิ่งตบตี ยิ่งจะมีลูกหัวปีท้ายปีเช่นนั้นสินะ”
หญิงสาวอึ้งจัด นั่นคือวาจาของจ้านซานป๋อหรือ เหตุใดถึงหยาบคาย และเผ็ดร้อนราวกับแม่ค้าในตลาดสด นางอยากมีเวทมนตร์เหลือเกิน จะได้สาปให้เขากลายเป็นบ้าใบ้
ดวงตากลมโตถลึงขึ้นกว่าเดิม พินิจเขา ชายผู้นี้ควรสงบปากสงบคำ ทำตัวน่ายำเกรง พร้อมกับให้เกรียติสตรีมิใช่หรือ แต่ผิดคาด เขากลับส่งเสียงเข้มๆ ขึ้นอีก
“พอเห็นเจ้าโมโห ทำแก้มป่อง และตาพองราวกับปลาทองในบ่อปลาของฮ่องเต้ ข้าจึงวางใจได้ว่า วิญญาณเสี่ยวชิงน้อยๆ ไม่ได้หลุดหายไปออกจากร่างนี้”
ที่ชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น เพราะเมื่อครู่เหมือนเขาตาฝาด เห็นหลี่หวางชิงผิดแผกจากเดิม ดวงตานางฉายแววมาดร้ายต่อเขา มันไม่เหมือนแววตาของเด็กสาวอายุสิบห้าปี แต่พอนางเริ่มแผลงฤทธิ์ มีกิริยากระเง้ากระงอดแสดงชัดแจ้ง จ้านซานป๋อก็โล่งใจ
“ทะ ท่าน ทำให้ข้าขยะแขยง เป็นชายที่ไม่ควรเข้าใกล้อย่างที่สุด”
“กล่าวได้ดี ข้าชักจะมีอารมณ์ขึ้นมาอีกแล้ว” จ้านซานป๋อเองก็ประหลาดใจ เหตุใดจู่ๆ เขาถึงเสียสติ พ่นคำพูดเหลวไหลออกมาไม่หยุด เขากำลังถูกผีร้ายตนใดเขาสิง การโต้เถียงกับสตรีนับว่าเหลวไหลยิ่งนัก
“เฮอะ...ชั่วช้า ข้าไม่เคยพบบุรุษใดชวนให้อยากสำรอกใส่เช่นนี้”
จ้านซานป๋อรู้ว่าหลี่หวางชิงอารมณ์ร้อนดั่งไฟ นางเกเรบ้าง ดื้อรั้นบ้าง แต่ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ทว่าเหตุใดยามนี้ถึงได้เปลี่ยนไป ตั้งแต่วันก่อนนางก็สร้างเรื่องให้เขาแทบคลั่ง เพราะจ้านปี่อี้เศร้าโศกเสียใจ นางหลงรักคนผิดอย่างถังมู่เหริน พอเห็นว่าหลี่หวางชิงนัดพบอีกฝ่าย ทั้งยังหว่านเสน่ห์ให้บุรุษเจ้าสำราญผู้นั้น น้องสาวเขาก็ไม่อยากอยู่บนโลกนี้
“คุณหนูสี่ คงเกลียดชังข้า แต่เอาเถิด...บุรุษเช่นข้ายืดได้ หดได้ ย่อมไม่คิดข่มเหงน้ำใจสตรี แต่หากอยากสำรอกใส่ข้านัก ข้าคงต้องยื่นมือเข้าช่วย”
“ประเสริฐ! นับว่าแม่ทัพจ้านยังน่าคบหา” หลี่หวางชิงประชดประชันเขา
จ้านซานป๋อพยักหน้า แล้วกล่าวว่า
“ดังนั้น ข้าจะให้คนวาดรูปข้าแล้วติดไว้บนหุ่นฟางสักหลายๆ ตัว เอาไว้ให้เจ้านอนกอด ทั้งบนเตียง ในอ่างน้ำ รวมถึงยามที่เจ้าต้องการความอบอุ่นจากบุรุษ”
หลี่หวางชิง ตาเหลือกค้าง นางไม่อาจทนฟังคำพูดแสนน่าเกลียดได้อีก มือเรียวของนางเตรียมฟาดใส่ใบหน้าเขา แต่ชายหนุ่มขึ้งตาดุและจับมือข้างนั้นไว้
หลี่หวางชิงเดือดปุดๆ ความคิดขุ่นเคืองใจพุ่งสูงลิบ
ชาตินี้ นางกับเขาคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ในหัวเกิดความคิดนั้นแล้วจึงใช้เข่ากระทุ้งเข้าที่เป้ากางเกงอีกฝ่าย จ้านซานป๋อนึกไม่ถึงว่านางจะใช้วิธีสกปรก แต่เขาก็ว่องไวหลบทัน ทว่าด้วยขนาดความเป็นชายของเขาหาได้ธรรมดา ดังนั้นบางส่วนที่ไวต่อความรู้สึกจึงถูกกระทุ้งเข้าไปจนได้รับความเจ็บจุก
เมื่อเห็นผลงานที่ตนกระทำสำเร็จ หลี่หวางชิงก็หัวเราะเสียงแหลมเล็ก นางขำพรืดใหญ่ น้ำหูน้ำตาไหลเลยทีเดียว
ในยามนั้น คนตัวโตถอยห่างจากร่างบอบบางไปหลายก้าว เขายืนสงบนิ่งเพื่อปรับลมปราณ เกิดมาจนเป็นแม่ทัพของแคว้นเป่ย ซึ่งมาสามารถกุมกำลังทหารในมือเกือบหนึ่งแสนคน นี่คือครั้งแรกที่จ้านซานป๋อถูกนางจิ้งจอกน้อยลอบกัดแท่งหยกงามและไข่มังกร!
จวนแม่ทัพ
หมอหลวงไป๋ หรือไป๋ตง ถูกรับตัวมาที่จวนแม่ทัพ เป็นการส่วนตัวอย่างเร่งด่วน คราแรกขณะนั่งรถม้า เขาถามคนสนิทของจ้านซานป๋อ ฝ่ายนั้นคือเฉิงเฉิง ชายหนุ่มวัยสิบแปดปี ที่คล่องแคล่วรู้งาน เนื่องจากถูกเลี้ยงดูจากบิดาของจ้านซานป๋อและอนุฉิน
“เจ้าบอกว่า แม่ทัพจ้านท้องผูกบ่อย ทั้งเครียด อารมณ์ฉุนเฉียว นอนไม่หลับ และยังดื่มสุราแทนน้ำ!” ไป๋ตงเอ่ยแล้วก็นึกใคร่ครวญอาการต่างๆ ของจ้านซานป๋อ
“ใช่แล้วขอรับ ทั้งยังให้ข้าหาโสม อุ้งตีนหมี เขากวางอ่อน และยังถั่งเช่า ม้าน้ำ ตุ๊กแกตากแห้งจากเมืองเฮ่ยฉื่อ มาปรุงตามตำรับยาของสกุลจ้าน”
(เฮ่ยฉื่อ คือเมืองที่มีของแปลก และสมุนไพร กล่าวกันว่าเป็นแดนสวรรค์ของหมอเทวดา)
“เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใดอาเฉิง ของเหล่านั้นแม่ทัพจ้าน สมควรนำมาปรุงโอสถหรือ”
ไป๋ตงเอ่ยแล้วจึงนิ่วหน้า จ้านซานป๋ออายุยังไม่มาก ทั้งยังหนุ่มแน่น ไม่น่าจะมีอาการของบุรุษที่เกิดจากการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
“มิผิดไปจากนั้นหมอหลวงไป๋ ตำรับยานี้เป็นของสกุลจ้าน ข้าได้ยินมากับหูว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และบุรุษได้ดื่มจะมีจิตใจแจ่มใส จับดาบ ขี่ม้า โดยไม่หลับไม่นอนได้ยาวนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน”
หมอหลวงส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เขาเรียนรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่อายุน้อย ตำรับยาดังกล่าวเหมาะสมกับบุรุษที่นกเขาไม่ขันต่างหากเล่า!
“ไหนเจ้าเล่ามาให้ข้าฟังอย่างละเอียดได้หรือไม่ แม่ทัพจ้านพบปะผู้ใดบ้าง มีเรื่องกลุ้มใจอย่างไร”
เฉิงเฉิงทำท่านึก เขารับใช้อีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด เหตุใดจะไม่รู้ว่าปัญหาที่ก่อกวนจิตใจจ้านซานป๋อ ย่อมมีสตรีผู้หนึ่งเกี่ยวข้อง
“เมื่อมากลับถึงจวน ท่านแม่ทัพก็ไม่ยิ้ม แทบจะไม่ปริปากพูดกับใครยกเว้นแต่...”
เฉิงเฉิงนึกถึงตอนที่จ้านซานป๋อก้าวออกมาจากสวนหินจวนสกุลหลี่ เขาได้ยินเสียงของชายหนุ่มกับหลี่หวางชิง ทั้งคู่ปะทะคารมกันดุเดือด ตัวเขาเองทั้งกลัว ทั้งตกใจ ทว่าพอเห็นใบหน้าเขียวคล้ำของจ้านซานป๋อก้าวออกมา พร้อมมือข้างหนึ่งกำเสื้อคลุมสีเหลืองปักลายดอกแปะก๊วยและสั่งให้เขานำไปเผา เฉิงเฉิงก็กลัวจนแทบฉี่ราด
แต่เรื่องไม่จบเพียงเท่านั้น ยามบ่ายของวันเดียวกัน จ้านซานป๋อกลับให้เขาตามช่างตัดผ้าฝีมือดีจากหอเซียนร้อยรักมาอย่างเร่งด่วน จากนั้นจึงสั่งให้ทำเสื้อคลุมสตรีสีดอกบัวขาวขึ้นมา และกำชับว่าให้จัดการเรื่องนี้โดยด่วน
“เสื้อคลุมลายดอกบัวขาว ประดับด้วยไข่มุก”
“ถูกต้อง มิผิดจากนี้ขอรับหมอหลวงไป๋”
“แต่มันเกี่ยวอันใดกับการเรียกข้ามาที่นี่โดยด่วน ทั้งที่ตอนนี้องค์ชายเจ็ดกำลังเป็นไข้หวัด ข้าต้องดูแลอย่างใกล้ชิด”
“เกี่ยว เกี่ยวมากที่สุดด้วย เพราะคนที่ทำให้ท่านแม่ทัพ อารมณ์เดือดพล่านอยู่ตอนนี้ ย่อมต้องเป็นคุณหนูสี่สกุลหลี่”
“เอ๋...เป็นนางหรอกหรือ”
ไป๋เติ้งลูบเคราของตน พลางคิดถึงเมื่อหลายวันก่อน ที่เขาได้รับรายงานจากลูกน้องเมื่อไปส่งเทียบยาให้แก่หลี่หวางชิง หลังจากที่นางนอนซมอยู่หลายวัน พอจับชีพจรแล้ว ลูกน้องเขาแจ้งว่า มีความผิดปกติอยู่หลายส่วน หลี่หวางชิงไม่เหมือนคนป่วย หากนางแสดงให้ลูกน้องเขาเห็นว่า คุณหนูสี่เป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้เรื่องการแพทย์!
“เช่นนั้น ข้าต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดี”
หมอหลวงกล่าวจบ ก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือที่ปลูกอยู่กลางสระน้ำในจวนแม่ทัพหนุ่ม
พอเข้ามาถึงห้องหนังสือของจ้านซานป๋อ เขาก็คำนับอีกฝ่าย ก่อนต้องทำจมูกย่น และรู้สึกถึงกลิ่นอาหารลอยอยู่ในห้องหนังสือ มันทั้งเปรี้ยว เผ็ด และฉุนจัด
คราแรกเขาอยากจะถามแม่ทัพหนุ่ม ด้วยสังหรณ์ใจแปลกๆ เกี่ยวกับกลิ่นอาหารดังกล่าว ทว่าจ้านซานป๋อเอ่ยทักเสียก่อน
“เดินทางสะดวกหรือไม่ ขออภัยที่ข้าให้คนไปรับโดยไม่แจ้งท่านล่วงหน้า และค่อนข้างเร่งด่วน”
ไป๋ตงหัวเราะแก้เก้อ พร้อมยกมือโบกไปมาอย่างไม่ติดใจอันใด เขาหรือจะกล้าตำหนิจ้านซานป๋อ ผู้ที่ฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจถึงสามส่วน
“แม่ทัพจ้านอยากให้ข้าฝังเข็มเช่นนั้นหรือ”
จ้านซานป๋อสีหน้าเครียดขรึมขึ้น เขาจะอธิบายให้หมอหลวงไป๋ให้เข้าใจง่ายๆ อย่างไรดี เขาปวดหัว และธาตุต่างๆ ในร่างกายปั่นป่วนไปหมด มันเกิดขึ้นนับแต่กลับมาถึงเมืองเจิน คงหลังจากได้พบหลี่หวางชิง!
ยามนี้ สิ่งที่เขาคาดคิดคือ เขาอาจถูกวางยา ยาพิษร้ายกาจที่ทำให้เขาไม่อาจควบคุมสติของตน เกิดอารมณ์โมโหจนยั้งสติไม่ได้ ทั้งยังฉุนเฉียวบ่อยราวกับสตรีแก่ๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในเช่นนี้ น่ากลัวกว่าการจับดาบฟาดฟันศัตรูในสนามรบ ยิ่งกว่านั้นยามเช้าเมื่อตื่นนอน เขากลับอ่อนเพลีย อาการดังกล่าวนับว่ารุนแรง มันส่งผลต่อมังกรและไข่หงส์ของจ้านซานป๋อ
“ถูกต้อง ข้าเกรงว่า เรื่องเมื่อในอดีตมันฝังใจข้า และช่วงนี้ มารดาเร่งเร้าเหลือเกินเพื่อจะให้ข้ามีหลาน แต่ข้ากลับ...”
จ้านซานป๋อไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เขาค่อนข้างวิตกกังวล ทั้งยังรู้สึกเสียหน้า
“แม่ทัพจ้านกำลังสงสัยว่า ท่านจะมีบุตรยากเยี่ยงนั้นหรือ”
ริมฝีปากบางของชายหนุ่มเม้มชิดเป็นเส้นตรง ในขณะนั้นเขาคิดถึงภาพในวัยเด็ก ซึ่งเกือบจะต้องเป็นขันทีเสียแล้ว หากไม่ได้หมอหลวงไป๋ผู้นี้ ช่วยเหลือไว้!